
Very Demure, Very Mindful สงบ สง่า อย่างมีสติ เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเทรนด์ไวรัลนี้
ใครที่เล่น TikTok ช่วงเดือนที่ผ่านมา น่าจะผ่านตาคลิปวิดีโอสาวผิวสี ผมบลอนด์ ที่ออกมาแนะนำการวางตัวของสาวยุคใหม่ จนกลายเป็นไวรัลที่มีคนนำไปแชร์ต่อกันอย่างแพร่หลาย
มองด้วยสายตาของผู้ใหญ่ เด็กๆ อาจถือเป็นช่วงวัยแห่งสนุก เจี๊ยวจ๊าว อยู่นิ่งได้ยาก
การกลับมามี ‘สติ’ หรือ ‘ปัจจุบันขณะ’
อาจเป็นคำที่ลืมไปได้เลย
แต่ ครูเพลง-ต้องตา จิตดี ผู้บริหารและคุณครูโรงเรียนอนุบาลเทพารักษ์ไม่คิดแบบนั้น เด็กๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปฐมวัยเป็นวัยที่ไม่อยู่นิ่งก็จริง แต่พวกเขาก็มีวิธีเรียกสติในแบบของตัวเอง และมีพลังในการจดจ่อกับอะไรได้นานๆ จนน่าอิจฉา และที่สำคัญ เด็กๆ ต้องการฝึกฝนทักษะ ‘การกลับมารู้เนื้อรู้ตัว’ ไม่ต่างจากผู้ใหญ่เลยล่ะ
แต่จะทำยังไงให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องนี้ได้? หลายคนอาจตั้งคำถาม
ในฐานะที่เป็นทั้งคุณครู นักเขียน ศิลปิน และนักสำรวจตัวยงที่ผูกพันกับธรรมชาติมาอย่างยาวนาน ครูเพลงผสมผสานหลายสิ่งที่เธอรักทั้งดนตรี หนังสือ ศิลปะ และธรรมชาติ ให้กลายเป็นวิชา Story Club and Playlab ชวนเด็กๆ ทำกิจกรรมที่ต่อยอดมาจากเรื่องราวแสนสนุกในหนังสือนิทาน ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป ร้องรำทำเพลง ไปจนถึงการสำรวจธรรมชาติรอบรั้วโรงเรียน
นอกจากจะได้ฝึกทักษะเรื่องการคิดนอกกรอบไปพร้อมกับความสนุกสนาน ครูเพลงยังอยากให้เด็กๆ ได้พัฒนาทักษะเรื่องการรู้เนื้อรู้ตัว และการเข้าใจเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง
เราขออาสาพาไปแอบดูการเรียนการสอนของโรงเรียนอนุบาล และหาคำตอบในบทสนทนาของเรากับเธอไปพร้อมกัน
| ธรรมชาติและเพลง
เพราะเติบโตมากับบ้านที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ เพลงจึงผูกพันกับต้นไม้ใบหญ้า เห็นความสำคัญของมันมาตั้งแต่เด็ก
“เรารู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีพื้นที่อย่างนี้อยู่ใกล้ตัว ทั้งที่ออกไปนิดนึงจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว เมื่อก่อนที่นี่เป็นสวนมะม่วง รุ่นตายายของเราเลือกจะเก็บเอาไว้ เพราะพวกเขาเห็นความสำคัญของต้นไม้และสีเขียว” เธอเท้าความ
“ความรักในธรรมชาติของเราไม่ได้เกิดขึ้นทีเดียว แต่ค่อยๆ หล่อหลอมขึ้นมา ด้วยความที่บ้านเรามีธรรมชาติอยู่ใกล้ตัว ประกอบกับเราชอบไปเดินป่า เข้าเวิร์กช็อปเกี่ยวกับเกษตรหมุนเวียน
“เราชอบอยู่กับธรรมชาติเพราะมันทำให้เราสบายใจดี ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่ใช่จะอยู่กับด้านบวกเท่านั้น บางทีเราก็เจ็บปวดในเรื่องของธรรมชาติที่มันกำลังจะสูญสลายไป สองสิ่งนี้รวมกันแล้วยิ่งทำให้เรามีพลังในการเปลี่ยนแปลง และเราอยากแชร์ให้กับคนอื่นต่อ”
เมื่อถึงวันที่เธอได้กลายเป็นครูและผู้บริหารของโรงเรียนอนุบาลเทพารักษ์แห่งนี้ เธอก็เลือกที่จะส่งต่อสายตาที่มองเห็นความสำคัญของธรรมชาติให้กับเด็กๆ
| ธรรมชาติและบทเรียน
Story Club and Playlab คือหนึ่งในวิชาที่เพลงสอนและเป็นตัวอย่างได้ชัดเจน ในวิชานี้เพลงชวนจะเด็กๆ วัย 2-5 ขวบมาทำกิจกรรมที่ต่อยอดมาจากนิทาน นอกจากจะเป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ
ครูเพลงยังผสมผสานดนตรี ศิลปะ และการเคลื่อนไหวเข้าไปด้วย
“ปกติเด็กๆ จะมีชั่วโมงห้องสมุดของตัวเองอยู่แล้ว พวกเขาจะเข้าไปอ่านหนังสือเฉยๆ และยืมหนังสือกลับบ้าน เราเลยคิดว่าน่าจะดีถ้ามีกิจกรรมพิเศษเกี่ยวกับหนังสือ อ่านแล้วทำอะไรต่อ” คุณครูเพลงเล่าถึงแรงบันดาลใจแรกเริ่ม
สำหรับเธอ ‘หนังสือ’ คือสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเด็ก เรื่องราวบางเรื่องนั้นมีพลังมากพอที่จะต่อยอดไปสู่การเรียนรู้ที่คาดไม่ถึง
“อย่างช่วงนี้เป็นฤดูฝน เราก็จะหยิบเรื่องเกี่ยวกับหน้าฝนมาเล่า มีหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ที่สงสัยว่าทำไมฝนไม่ตกมานาน กบต้องอพยพแล้วเพราะไม่มีน้ำ กบเลยต้องไปถามสัตว์ต่างๆ ว่าเมื่อไหร่ฝนจะตก สัตว์ต่างๆ ก็ให้คำใบ้ว่าตอนไหนที่ฝนจะตก มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่บอกว่า ถ้ากบร้องฝนจะตก กบจึงเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองไม่ได้ร้องมานาน เลยไปชวนเพื่อนมาร้องเพลงเพื่อให้ฝนตก และชวนเหล่าสัตว์มาเล่นน้ำฝนด้วยกัน
“เราเล่าเรื่องนี้ในหน้าฝนนี่แหละ เล่าเสร็จก็จะชวนให้เด็กๆ สังเกตอากาศข้างนอกว่า
เอ๊ะ ช่วงนี้ฝนจะตกหรือยัง ลมพัดแรงหรือยัง ลองฟังเสียงฟ้าดูสิว่าฟ้าร้องหรือยัง จากนั้นจะมีกิจกรรมต่อคือการเล่นดนตรีออร์ฟ (Orff) เป็นดนตรีจากเยอรมันที่เน้นให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ดนตรี ไม่ได้มีถูกผิด และเครื่องดนตรีที่ใช้จะเป็นอะไรที่ง่ายๆ หรือสิ่งที่อยู่ในร่างกายเราอยู่แล้ว” เธออธิบาย
จากนั้น ครูเพลงจะชวนเด็กๆ ทำเสียงฝนที่เกิดจากร่างกายของตัวเอง “ฝนดังขึ้นเป็นยังไง ฟ้าผ่าเป็นเสียงแบบไหน” นอกจากนี้ยังมีสื่อต่างๆ และเครื่องดนตรีเข้ามาเชื่อม ไปจนถึงการชวนเด็กวาดรูปแอ่งน้ำที่เกิดจากฝน แล้วให้เด็กเอาแอ่งน้ำของทุกคนมาต่อกันจนเกิดเป็นสายน้ำ และให้เขาครีเอตท่าว่ายน้ำของตัวเอง
แค่ฟังก็สนุกแล้ว-เราบอกเธอ
“เราพยายามใส่เรื่องธรรมชาติลงไปเยอะๆ อย่างเรื่องฝน เรื่องแหล่งน้ำ เรื่องต้นไม้
เพราะจริงๆ อยากให้เขารู้ตั้งแต่เด็กว่าเราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
“ทุกวันนี้ ยิ่งคนเมือง เราจะคิดว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีไว้ใช้ แต่เราอยากให้คนมองว่าธรรมชาติกับเราเท่ากัน เราเท่ากับหมา แมว ต้นไม้ เห็ด และสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยซ้ำ”
| ธรรมชาติและเด็กๆ
“การทำให้เด็กเห็นความสำคัญของธรรมชาติในตอนนี้ เราว่ามันจะดีกับเขาในอนาคตด้วย ดีกับโลกนี้ด้วย” เธอชี้จุดประสงค์ของการสอน
“ยิ่งเด็กรุ่นนี้เป็นเด็กอายุ 2-5 ขวบ ซึ่งเรียกว่าเป็น ‘ยุคทอง’ กล่าวคือ เป็นวัยที่เด็กเปิดรับสิ่งต่างๆ ได้มาก หากเราใส่อะไรไปตอนนี้เขาจะซึมซับเร็วและเรียนรู้ได้มาจากตรงนี้ สมมติเด็ก 2 ขวบตอนนี้ ถ้าเขากล้าถอดรองเท้าเล่นกับดินทราย โตขึ้นเขาจะไม่กลัวไส้เดือนแล้ว เขาก็จะคิดว่าเฮ้ย มันก็เพื่อนเรานี่แหละ”
มากไปกว่านั้น เพลงบอกว่าการได้เรียนรู้กับธรรมชาติทำให้เด็กได้เห็นวัฏจักรความเป็นไป
ของสิ่งรอบตัว
“สมมติเราพาเด็กออกมาข้างนอกห้องเรียน สัมผัสแสงแดด แสงแดดทำให้เขารู้สึกยังไง หรือเห็นใบไม้แห้งร่วงอยู่ที่พื้นกับใบไม้บนต้น ตั้งคำถามว่าทำไมสีของใบไม้ต่างกัน เขาก็ได้เรียนรู้เรื่องความเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติไม่ได้มีแค่ด้านที่สวยงามอย่างเดียว และการที่เขาได้เรียนรู้เรื่องความไม่สวยงามบ้าง มันจะทำให้เขามีมุมมองแข็งแกร่งขึ้น”
| ธรรมชาติและปัจจุบันขณะ
นอกจากจะได้สนุกสนานกับการสำรวจ เพลงยังสอนให้เด็กๆ ได้พัฒนาทักษะเรื่องการรู้เนื้อรู้ตัว และการเข้าใจเท่ากันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองผ่านแดดอุ่น เงาไม้ และสายลม
“ยกตัวอย่างเช่น การให้เด็กออกมาข้างนอกแล้วชวนเขาเชื่อมต่อกับสิ่งแวดล้อม ลมตอนนี้เป็นยังไง ลองหลับตาแล้วได้ยินเสียงอะไรบ้าง วิธีการนี้เหมือนเป็นชุดคำสั่ง (Prompt) ที่ทำให้เด็กกลับมาอยู่กับตอนนี้ โดยมีธรรมชาติเป็นเครื่องมือที่ดึงเขากลับมา หรือบางครั้งเวลาเราอยากเรียกสติ เราก็จะร้องเพลง เช่น ถ้าเธอได้ยินเอามือแตะหัว ถ้าเธอได้ยินเอามือแตะสะดือ แล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ”
ถึงอย่างนั้น ครูเพลงก็บอกว่าวิธีที่จะกลับมาอยู่กับปัจจุบันของเด็กแต่ละวัยก็แตกต่างนั้น วิธีที่ชวนเด็กให้เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมอาจเหมาะกับเด็กกลุ่มหนึ่ง ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มอาจต้องการวิธีที่ต่างกัน
“ถ้าเด็กเล็กๆ 2-3 ขวบ เลยจะยากหน่อย เราจะชวนเขาว่าโอเค หลับตานะ ก็จะยาก
แต่อาจจะให้เขามีเล่นดินเล่นหญ้า ให้เขารับรู้ของเขาเอง เท่านั้นก็พอแล้ว จริงๆ เด็กวัยนี้เขาอยู่กับปัจจุบันของเขาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้มีเรื่องอื่นที่ดึงความสนใจเขาไปเท่าไหร่ ในขณะที่เด็กโตขึ้นมาหน่อยจะชอบแวบไปคิดเรื่องอื่นบ้าง เราอาจจะชวนเขามานั่ง หลับตา ชวนเขาคิด แล้วให้เขาวาดรูปสิ่งที่คิดออกมา”
ทำไมการรู้เนื้อรู้ตัวถึงสำคัญกับเด็ก-เราสงสัย
“เราว่ามันสำคัญกับทุกคนนะ” เพลงตอบ “บางทีเรารับข้อมูลเยอะ มีสิ่งที่ทำให้ฟุ้งซ่านตลอด เราคิดว่าบางทีเราควรหาเวลากลับมาอยู่กับตัวเองบ้างให้มันเบาลง อย่างเราเองก็พยายามหาเวลาในการอยู่กับตัวเองทุกวัน ทำให้เป็นรูทีนและด้วยวิธีอะไรก็ได้ ถ้ามีเวลาน้อยจัดเราแค่หายใจให้รู้ตัวเฉยๆ บางทีก็ไปนั่งใต้ต้นมะขาม บางทีก็ไปเหยียบหญ้า หรือบางทีก็ Mindful Eating คือสัมผัสทุกรสชาติตอนเรากิน รวมๆ คือทำให้เซนส์ของร่างกายมันชัดขึ้น
กลับมาที่เด็ก เราคิดว่าถ้าเขามีทักษะรู้เนื้อรู้ตัวมาตั้งแต่เด็ก เราคิดว่าเขาน่าจะโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่รับมือกับเรื่องต่างๆ ได้ รับมือกับความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลง ความเจ็บปวด และทุกอย่างที่มันยากในการรับมือ เพราะเขารู้ตัวว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ และการรู้เนื้อรู้ตัวคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาไปต่อ”
เพลงออกปากว่า ในขณะที่เธอถ่ายทอดทักษะวิธีการกลับมาอยู่กับปัจจุบันให้เด็ก ตัวคุณครูเองก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการสอนเช่นกัน
“บางครั้งเรามองเด็กเล่นกับทรายนานๆ หรือทำงานศิลปะของเขาโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก เราก็เรียนรู้จากเขาว่าบางทีการอยู่กับอะไรบางอย่างได้นานและลึก มันก็สบายใจดีนะ” ครูเพลงยิ้ม
| 2 วิธีง่ายๆ ในการชวนให้เด็กกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ
คำแนะนำโดยครูเพลง-ต้องตา จิตดี
“วิธีแรก อยากให้ครอบครัวหาเวลามาอยู่ด้วยกันเงียบๆ จะเป็นในห้องหรือในธรรมชาติก็ได้
พ่อแม่อาจจะชวนเด็กมาอยู่กับลมหายใจด้วยกัน สัก 10 ครั้งก็ได้ ไม่เยอะ เพราะถ้าเยอะก็อาจจะไม่ทำ (หัวเราะ)
หรืออาจจะเปิดเพลงแล้วชวนเด็กวาดรูป แต่ต้องวาดโดยเชื่อมโยงกับจังหวะที่ได้ยิน
ถ้าตรงไหนเสียงยาวอาจจะลากเส้นยาว ถ้าเสียงสั้นอาจจะแค่จุด มันทำให้เขาตั้งใจฟังเพลงและอยู่กับ ณ ปัจจุบันขณะตรงนั้น”
ใครที่เล่น TikTok ช่วงเดือนที่ผ่านมา น่าจะผ่านตาคลิปวิดีโอสาวผิวสี ผมบลอนด์ ที่ออกมาแนะนำการวางตัวของสาวยุคใหม่ จนกลายเป็นไวรัลที่มีคนนำไปแชร์ต่อกันอย่างแพร่หลาย
เคยสงสัยไหม? เพราะอะไรใครต่อใครจึงมักพูดว่า “กำลังค้นหาตัวตน” เราบอกเล่าและกล่าวต่อสิ่งนี้ราวกับว่า ‘ตัว’ และ ‘ตน’ เป็นสิ่งที่เราต้องค้นหา
ชวนคุยกับ แม่ตา-วรณัน โทณะวณิก ผู้บริหาร MaMaTa_Nurturing Nature in Your Child และผู้ร่วมก่อตั้ง The HUMAN Academy