The Present Move

Mindful Eating การกินอย่างมี ‘สติ’ ที่เน้นให้เราอยู่กับอาหารตรงหน้า

The Present Move | Mindful Global Citizens

เพื่อนๆ คิดว่าทุกวันนี้เรามี ‘สติ’
ตอนกินข้าวกันมากน้อยแค่ไหน? 

เคี้ยวข้าวช้าๆ ค่อยๆ ละเลียดรสชาติของอาหาร

เวลาเจอเรื่องเครียดก็พยายามยั้งไม่ให้กินตามใจปากมากเกินไป
(เพราะเดี๋ยวจะเครียดหนักกว่าเดิม ถ้าสุขภาพกายพัง)

รู้เท่าทันความอิ่ม ไม่ฝืนยัดอะไรลงท้องเพิ่มเพราะแค่อยากกิน

ไม่กินไป เล่นมือถือไป หรือว่อกแว่กทำกิจกรรมอื่นไปด้วย จนกินไม่หมดสักที

เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่ได้กดดันตัวเองให้เลิกกินอะไรที่ชอบ
ด้วยการจัดตาราง Cheat Day ไว้เป็นสัดเป็นส่วน

ใส่ใจที่มาที่ไปของวัตถุดิบหรือส่วนผสมที่กิน เพื่อ Appreciate มันทีละเล็กน้อย

 

ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างพฤติกรรมคร่าวๆ ของการมี ‘สติ’ ในการ ‘กิน’ หรือที่เราเรียกกันว่า
‘Mindful Eating’ ที่ไม่ว่าจะมีสติมากหรือน้อย แต่ขอแค่ยังพอมีสติอยู่บ้าง
ก็ล้วนส่งผลดีต่อสุขภาพกายใจได้ทั้งนั้น 

ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันเหมาะแค่สำหรับคนลดน้ำหนักเท่านั้นนะ
เพราะไม่ว่าจะควบคุมน้ำหนักหรือไม่ควบคุม การมีสติ รู้เท่าทันสิ่งที่กิน ก็ย่อมดีกับทุกคนมากๆ 

เพราะการที่เราไม่มีสติในการกิน จะส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต
และส่งผลต่ออารมณ์ของเราได้

ดังนั้น การฝึกสติโดยเริ่มจากมื้ออาหารที่เราต้องกินอยู่แล้วในทุกๆ วัน
จะต่อยอดและพัฒนาให้เราเป็นคนมีสติในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้นได้ 

 

| หลักการของ Mindful Eating นั้นเรียบง่าย (แต่บางคนก็ทำได้ยาก) 

เพราะมันเป็นพื้นฐานของการรู้จุดประสงค์ในการกินทุกครั้งว่า
เรากินไปเพื่ออะไร?
เช่น กินเพื่อให้อิ่ม กินเพื่อให้อร่อย กินเพื่อให้สุขภาพดี

ซึ่งจริงๆ แล้ว สามสิ่งที่ว่านี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เราควรจะบาลานซ์มันให้ได้มากที่สุด
เพราะเราคงไม่อยากอิ่มโดยที่ไม่อร่อยแทบทุกมื้อ หรือไม่อยากกินอาหารสุขภาพดี
แต่ไม่มีความสุขเพราะมันไม่อิ่ม
จนถึงไม่อยากอร่อยดีต่อใจ แต่สุดท้ายก็มาทำร้ายร่างกายเราทีหลัง เพราะกินมากเกินไป

การที่เราหันมาโฟกัสเรื่องของอาหารการกิน จึงถือเป็นแนวทางในการฝึกสติของเราไปในตัว 
เพราะทุกคำที่กิน เคี้ยว กลืน เราจะมีสติในการตระหนักรู้อยู่เสมอ 

แม็กซีน สมิธ (Maxine Smith) ผู้เป็นนักกําหนดอาหาร (Dietitian) กล่าวไว้ว่า

“การฝึกเรื่องของ Mindful Eating ก็เหมือน ‘การฟอร์แมตฮาร์ตไดรฟ์ในสมองของเราใหม่’ และคุณก็จะเริ่มตอบสนองต่อการกินอาหารที่แตกต่างออกไปจากเดิม เช่น ที่ผ่านมาเราอาจจะเคยพยายามยัดอะไรเข้าปาก แม้จะอิ่มมากๆ แล้วก็ตาม หรือแม้แต่กินข้าวเย็นเยอะเกินจนรู้สึกอึดอัดและแน่นไปหมด การกินอย่างมีสติ ก็จะทำให้เรารู้ด้วยว่า ตอนนี้ฉันกำลังหิวหรืออิ่มหรือแค่อยาก

การฝึกกินอย่างมีสติจะช่วยไกด์ให้เรารู้ว่าเมื่อไหร่ควรเริ่มกินและเมื่อไหร่ควรหยุดกิน โดยพิจารณามัน จากสิ่งกระตุ้นภายใน ซึ่งมันยังจะช่วยในเรื่องของการกินตามอารมณ์
และรูปแบบการกินที่ผิดปกติได้ด้วย”

และยังบอกอีกว่า “คุณยังต้องใส่ใจด้วยว่า อาหารที่กินนั้นจะช่วยให้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างในระยะสั้น เช่น อาหารนั้นให้พลังงานกับฉัน หรืออาหารนั้นมันทำให้ฉันอยากกินเยอะๆ มากขึ้นไปอีกหรือเปล่า? โดยที่เราไม่ต้องไปตัดสินนะ ว่าอาหารนั้นเป็นอาหารที่ดี หรืออาหารที่ไม่ดี” 

ซึ่งเหตุผลที่เราไม่ควรตีตราอาหารบางอย่างว่าเป็นอาหารที่ไม่ดี หรือบอกตัวเองไว้เลยว่า
“ห้ามกินเด็ดขาด” มันจะสร้างความกดดันให้เรา และทำให้เกิดการตบะแตกได้ง่าย
ฉะนั้นลองเปลี่ยนจากคำว่าห้ามกิน เป็นคำว่า ‘เลือกกิน’ แทนจะดีกว่า
ซึ่งคำว่าเลือกกินก็อาจหมายถึง เราอาจจะเลือกกินเค้ก หรือไอศกรีม แบบนานๆ ที
หรือตั้งเป้าว่าสัปดาห์หนึ่ง จะกินมันเท่าไหร่ไปเลย เป็นต้น

 

ทีนี้ ปัจจัยที่ทำให้เรามีสติ ไม่ได้มีแค่การเลือกกินอย่างเดียวนะ
เรื่องของ
‘สมาธิขณะกินข้าว’ ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะถ้าเรากินไปพร้อมกับทำอย่างอื่นไปด้วย
มันอาจนำไปสู่นิสัยการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะเราไม่ได้โฟกัสในสิ่งที่กินมากพอ
ง่ายที่สุดที่หลายคนอาจจะลืมทำกันบ่อยๆ ก็คือการค่อยๆ เคี้ยวข้าวช้าๆ
หรือที่คุณแม่ชอบสอนลูกๆ ว่าอย่ากินข้าวเร็ว เดี๋ยวติดคอ นี่ก็ถือเป็นการฝึกสติในการกินขั้นเบสิกที่ควรทำเลยแหละ โดยสมิธได้อธิบายว่า “หากใครมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร การกินข้าวให้ช้าลง
จะช่วยเรื่องนี้ได้มาก เพราะการเคี้ยวอาหารให้ดี มันจะช่วยเรื่องกระบวนการย่อย” 

 

อนึ่ง ถ้าเรากินเร็วเกินไป เราจะรู้สึกว่ากินได้เรื่อยๆ ไม่รู้สึกอิ่มสักที จนไปอิ่มอีกทีตอนที่กินไปเยอะมาก ซึ่งหากเป็นแบบนี้บ่อยๆ ก็อาจนำไปสู่สัญญาณของโรคต่างๆ เกี่ยวกับการกินอาหารได้เลยเหมือนกัน กระทั่ง แม้หลายคนจะชอบเล่นโทรศัพท์ไปด้วย หรือดูโทรทัศน์ไปด้วยขณะกิน
แง่หนึ่งมันก็ช่วยทำให้การกินของเรานั้นไม่เหงา และมีความสุขมากขึ้น
แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เราหลุดโฟกัสต่อการกินได้ และทำให้เรากินมันจนเพลิน
การฝึกสติในการกินจึงมีส่วนช่วยให้เรารับรู้ถึงความหิวของเรา ว่ามันหิวจริงๆ หรือไม่ได้หิว
แต่แค่รู้สึกอยากกินเฉยๆ 

 

ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่อยากให้ทุกคนรู้สึกว่าต้องฝึกสติอย่างเคร่งครัดจนเกินไป เพราะนั่นอาจนำมาสู่ความเครียดเพราะกดดันตัวเองก็ได้ ค่อยๆ หาวิธีบาลานซ์ที่เหมาะกับตัวเองกันไป อาจดีที่สุด
ส่วนใครไม่รู้จะเริ่มอย่างไร

 • เรามีวิธีง่ายๆ ซึ่งเป็นคำแนะนำจากนักโภชนาการโดยเฉพาะอย่าง ดร.ลิเลียน เชิง (Lilian Cheung) ผู้เขียนหนังสือ Savor: Mindful Eating, Mindful Life มาฝากกัน

| 1. ซื้อ อย่างมีสติ

เริ่มกันที่การซื้อของเข้าบ้าน ไม่ว่าจะวัตถุดิบประกอบอาหาร หรือกับข้าวต่างๆ
เราก็ควรพิจารณามันถึงคุณค่าด้านสุขภาพไปด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการซื้อแบบหุนหันพลันแล่นของเรานั่นเอง และทางหนึ่ง เราคิดว่าก็อาจช่วยลดจำนวนของกินที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพลงไปด้วย

เช่น เมื่อก่อนเราอาจจะชอบกวาดเยลลีมาหลายๆ ถุง พอมีสติ ก็อาจเหลือแค่ 1 ถุงก็พอ

| 2. กินพออิ่ม แต่ไม่ใช่ยัด!

ข้อนี้ก็คือการกินเพื่อให้ท้องเราอิ่ม มากกว่าการปล่อยจอย ยัดอาหารทุกสิ่งอย่างลงท้อง
เพราะความหิวโหย เมื่อเรายัดไปเยอะๆ ตอนเราหิวมากๆ นอกจากจะทำให้กินในปริมาณเยอะ
กว่าปกติแล้ว ยังอาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร บางคนย่อยไม่ทัน ปวดท้อง
หรือจะอ้วกขึ้นมาก็เป็นไปได้หมด

| 3. ชื่นชมอาหารตรงหน้า

ข้อนี้อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่ทำ แต่ถ้าทำก็จะทำให้เรารู้สึกอิ่มใจในการกินมากขึ้น เพราะบางคน
ก็จะใคร่ครวญถึงแหล่งที่มาของอาหารบนจาน เช่น อาหารบนจานนี้ทำด้วยความพิถีพิถันของเชฟ ผักบนจานเป็นผักปลูกเองปลอดสารพิษจากเกษตรกร หรือร้านอาหารร้านนี้เราตั้งใจเดินทางเพื่อมากินโดยเฉพาะ ฉะนั้นแล้ว เราจึงควรจะค่อยๆ กินมันให้สมกับการรอคอย และให้สมกับคุณค่าทางอาหารที่คนต้นน้ำยันคนปลายน้ำช่วยกันทำ จนกลายมาเป็นอาหารด้านหน้าเรา เป็นต้น

| 4. ใช้ประสาทสัมผัสในการกิน

จากปกติที่อาหารมา ก็ตักเข้าปากเลย ลองเปลี่ยนมาใส่ใจในทุกๆ สิ่งบนจาน
ทั้งการมองอาหารว่ามันมีสีอะไรบ้าง ดมกลิ่นของมันว่ากลิ่นถูกใจหรือเปล่า
เนื้อสัมผัสเวลาเคี้ยวเป็นอย่างไร กรอบ นุ่ม ละมุน หรือเป็นแบบไหน ลองวิเคราะห์มันในหัวเงียบๆ

หรือบางคนอาจจะเก็บดีเทลจนถึงเสียงของอาหารเวลาเคี้ยวเพลินๆ ก็เป็นหนึ่งกิจกรรมฝึกสติ
ที่เราว่าก็สนุกไปอีกแบบนะ

| 5. เคี้ยวให้ละเอียด

จริงๆ ถ้าลองสังเกต เวลาเคี้ยวให้ละเอียด เราจะได้รสชาติอาหารที่มันชัดเจนมากกว่าการเคี้ยวเร็วๆ แล้วกลืน ดังนั้นหากเป็นไปได้ ลองเคี้ยวแล้วนับในใจคำละ 20-40 ครั้ง
อาจจะเพิ่มอรรถรสในการกินอาหารแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อนก็ได้


‘Mindful Eating’ จึงเป็นหลักการที่ช่วยให้เรากินข้าวอย่างมีสติ ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราได้อย่างดี จริงๆ ก็มีอีกหลายวิธีเลยนะที่จะฝึกสติ
และทุกคนอาจจะต้องลองค้นหาทางที่ใช้ในการกินของตัวเอง นอกเหนือจากวิธีเบสิกที่เราได้แนะนำไป

แต่ที่สำคัญ อย่าทำมันจนเครียด เพราะความเครียดจะทำให้เราไม่มีความสุขในการกิน
ค่อยๆ ฝึกมันไป เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้ากันนะคะ

ปล่อยจอยไปตามจังหวะ ใช้ปัจจุบันขณะในการควบคุมจิตใจ

หลายครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงเวลาที่เราอยากขมักเขม้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีและทำงานเสร็จสิ้นได้ตามเวลานั้น เหล่านั้นอาจเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่สมองและจิตใจของเราจะหลุดลอยล่องไปตามความคิดใหม่ๆ

ยอมรับ ≠ ยอมแพ้ วิชาความสุขของคนที่รู้เท่าทันตนเอง

แม้ว่าปัญหาของความอยากหรือไม่อยากนั้น อาจจบลงได้ง่ายๆ เพียงแค่ ‘ยอมรับ’ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคก็คือ มุมมองหรือทัศนคติของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อคำว่า ‘ยอมรับ’ มักอยู่ในบริบทที่ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะ ‘ยอมรับผิด’ หรือ ‘ยอมรับความพ่ายแพ้’