The Present Move

เพราะนี่คือสิ่งที่ (นักจิตวิทยา) ไม่เคยบอก เราทุกคนล้วนเป็นใครสักคนที่อาจต้องการให้ใครอีกคนรับฟังอย่างเข้าถึงใจและไม่ใคร่ตัดสิน

The Present Move | Mindful Global Citizens

เคยไหม? อยากพูดกับใครสักคนแต่ไม่รู้ว่า
‘เขาคนนั้น’ จะเป็น ‘ใคร’

ในโลกที่แสนปั่นป่วนมากมาย
หลายเรื่องราวที่เข้ามาปะทะ

เราแทบไม่มีใครสักคนที่สามารถ ‘รับฟัง’ เราได้อย่างเข้าถึงใจและไม่ใคร่ตัดสิน

หากคุณกำลังรู้สึกเช่นนั้น
ไม่แปลกเลย
ใครหลายคนก็ไม่ต่างกัน

ในโลกอันแสนปั่นป่วนที่ทุกคนดูเหมือนจะสบายดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ป่วยโรคทางจิตเวช (ที่ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว) จำนวนกลับเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และอาจไม่ใช่ทุกคนที่รู้เท่าทันอย่างท่วงทีว่ามีสิ่ง ‘ผิดปกติ’ บางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นในใจเรา

‘(โลริ ก็อตต์ลิบ’ (Lori Gottlieb) นักจิตบำบัดผู้เขียนหนังสือ Maybe You Should Talk to Someone: A Therapist, HER Therapist, and Our Lives Revealed ก็ไม่ต่างกัน เพราะถึงแม้ว่าอาชีพของเธอจะเป็น ‘นักบำบัด’ ให้กับผู้อื่นมากมาย คอยรับฟังทุกปัญหา และเป็นกำลังใจสำคัญให้หาทางออกได้นั้น แต่ในขณะเดียวกันเธอก็คือมนุษย์ที่มีมากมายหลายเรื่องราว และประสบพบเจอทั้งเรื่องที่ได้และไม่ได้ดั่งใจไม่ต่างจากใครๆ

และแน่นอนว่า เธอเองก็มีวันที่แย่ไม่ต่างอะไรกับคนอื่น

หนังสือเล่มนี้มีชื่อแปลไทยว่า ‘เพราะนี่คือสิ่งที่ (นักจิตวิทยา) ไม่เคยบอก’ แถมขึ้นโปรยหน้าปกว่า “ถึงคุณ… คนที่กำลังพบจิตแพทย์ กำลังคิดว่าจะไปพบจิตแพทย์ และคุณคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ต้องพบจิตแพทย์” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าก็ ‘ทุกคน’ นั่นแหละ! ที่ควรพบนักบำบัดหรือจิตแพทย์สักครั้งในชีวิต

นั่นไม่ใช่เพราะว่าเราไม่ปกตินะ แต่เป็นเพราะว่าในบางครั้งเราเองก็อาจต้องการใครสักคนที่รับฟัง เขาคนนั้นที่จะคอยรับฟังปัญหาบางอย่าง ความคิดบางสิ่งที่อาจถูกกลบอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ อะไรบางอย่างที่เราไม่เคยพูด ไม่เคยบอกใคร หากแต่ต้องการการระบายและรับฟัง

ก็อตต์ลิบได้แชร์ประสบการณ์ของเธอออกมาอย่างหมดเปลือกทั้งในฐานะ ‘ผู้บำบัด’ และ ‘ผู้เข้ารับการบำบัด’ ซึ่งความท้าทายของการเป็นนักจิตบำบัดอาชีพคือ เธอแทบจะแสดงออกไม่ได้เลยว่าเธอกำลัง ‘รู้สึกแย่’ หรือกำลัง ‘พบเจอปัญหา’ บางอย่างเข้า เพราะอาชีพนักบำบัดเองหากไร้ซึ่งความแข็งแรงและมั่นคงทางจิตใจ ก็อาจไม่สามารถไปบำบัดใครได้ตามที่ใครหลายคนเข้าใจ ก็อตต์ลิบยังได้แชร์ถึงเหตุการณ์ที่เพื่อนนักบำบัดของเธอคนหนึ่งที่ร้องไห้อยู่ในที่สาธารณะ หากแต่คนไข้ของนักบำบัดคนนี้กลับไปเห็นเข้า นั่นจึงทำให้คนไข้คนนั้นไม่เข้ารับการบำบัดกับนักบำบัดคนนั้นอีกเลย

นั่นเลยยิ่งเป็นเหตุให้ก็อตต์ลิบยิ่งพยายามกดความรู้สึกและเจ็บปวดบางอย่างของเธอไว้ในใจมาโดยตลอด หากแต่เมื่อถึงเวลาที่ภูเขาไฟปะทุขึ้น เธอก็แทบล้มทั้งยืน และรู้สึกแย่ในแบบที่ถึงแม้ว่าจะเข้าใจเหตุผลทางจิตวิทยาเรื่องของอารมณ์และความรู้สึกหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว ก็ยังไม่สามารถแก้ไขหรือลบล้างความรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่ได้

จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องรีบเฟ้นหา ‘นักบำบัดที่ไกลวงโคจรของเธอที่สุด’ เพื่อที่จะได้รับการรักษาและบำบัดในฐานะ ‘มนุษย์คนหนึ่ง’ ที่เจ็บได้ ร้องไห้เป็น อ่อนไหว และเรียนรู้ชีวิตผ่านบาดแผลบางอย่าง

หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยการบันทึกประสบการณ์ของก็อตลิบบ์ และนั่นก็มีประโยคที่ขึ้นต้นด้วย “ฉันรู้ดีว่า… แต่นั่นก็…” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแม้กระทั่งจิตแพทย์ นักจิตวิทยา และนักจิตบำบัด ที่รู้ทฤษฎีทางจิตวิทยาเป็นอย่างดี พวกเขาเหล่านั้นเองก็ยังต้องเรียนรู้จากประสบการณ์และบาดแผลในชีวิตของตัวเอง ไม่ต่างอะไรจากเราๆ 

เรื่องราวต่างๆ ของก็อตลิบบ์ในฐานะ ‘นักบำบัด’ และ ‘ผู้เข้ารับการบำบัด’ ถูกเล่าตลอด 400 กว่าหน้าในหนังสือเล่มนี้ หลากหลายเหตุการณ์ทำให้เราเห็นว่า แม้กระทั่งนักบำบัดก็อาจต้องการใครสักคนที่รับฟังในฐานะคนแปลกหน้าที่ไว้ใจให้เล่าเรื่องราวหากแต่กลับกล้าเล่าความลับที่อ่อนไหวที่สุด

“คนมักเข้าใจผิดคิดว่า ‘ความเฉยชา’ คือ ‘ไม่รู้สึกอะไรเลย’
แต่ความจริงคนที่เฉยชายังมีความรู้สึกอยู่
มันแค่เป็น ‘การตอบสนอง’ เมื่อเรามีความรู้สึก ‘มากเกินไป’ ต่างหาก”

นี่คือประโยคที่เราชอบที่สุดในหนังสือเล่มนี้

หากคุณคือใครสักคนที่กำลังสงสัยว่า เพราะเหตุใดคุณจึงเป็นคนแบบนี้? และทุกการสูญเสียเพื่อน คนรัก ครอบครัว

หรือกระทั่ง เพราะเหตุใดคุณจึงกลัวการเปลี่ยนแปลง?

หนังสือเล่มนี้อาจเหมาะกับคุณในช่วงเวลานี้
ที่จะช่วยให้คุณสำรวจตัวตนของคุณเองได้บางอย่าง
และอาจทำให้คุณกล้าตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องบางเรื่องให้ใครสักคนฟัง

Writer | ภาพตะวัน

Illustrator | Arunnoon

เปิดเหตุผลทางจิตวิทยา ว่าด้วย ‘Serial Monogamy’ ความสัมพันธ์แบบเลิกกับคนก่อนปุ๊บ ก็มีคนใหม่ปั๊บ

Serial Monogamy เป็นคำเรียกของการไปต่อในความสัมพันธ์ครั้งใหม่ได้เลยในเวลาสั้นๆ หลังจากสิ้นสุดความสัมพันธ์ครั้งเก่า โดยส่วนมากแล้วจะใช้เวลาเพียง 2-3 สัปดาห์ หรืออาจจะไม่เกิน 2-3 เดือนในการคบกับคนใหม่

Kintsugi/Wabi-Sabi เติบโตจากรอยร้าว โอบรับความเป็นเราจากบาดแผลในชีวิต 

คินสึงิ ชวนให้เรามองถึงการเยียวยา กอบกู้คุณค่าของตนเอง และเติบโตผ่านบาดแผลแม้ในวันที่แตกสลาย ขณะที่วาบิ-ซาบิ ชวนให้เราโอบรับตัวตนที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็งดงาม และมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร

ชวนรู้จักการ ‘Observing’ เพราะการ ‘สังเกต’ เป็นอะไรที่มากกว่าแค่ ‘มองเห็น’

ไม่แปลกอะไรถ้าเราจะรู้สึกแบบใดแบบหนึ่งกับคำเหล่านี้ เพราะสมองของมนุษย์มีระบบอัตโนมัติที่คอยจัดหมวดหมู่ประสบการณ์ต่างๆ ที่พบเจอ แบ่งคร่าวๆ ตามความรู้สึกว่า ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ