The Present Move

Hello, Anxiety! เรียนรู้ที่จะอยู่กับความกังวล แบบน้อมรับและไม่ผลักออก

The Present Move | Mindful Global Citizens

“ฉันไม่ดีพอ” (I’m not good enough.) 
เป็นประโยคที่ตอกย้ำและหลอกหลอนเราในฐานะคนที่ Self-doubt ตลอดเวลาอย่างเราๆ
ได้อย่างดีเยี่ยม

เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้วที่ภาพยนตร์แอนิเมชันว่าด้วยเรื่องอารมณ์และความรู้สึกอย่าง Inside Out 2 (2024) ได้ฉายออกมาให้เราได้รับชมกัน จากการรอคอยกว่าหลายปี เรียกได้ว่าภาคนี้ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง นอกเหนือไปจากตัวละครหลักจากภาคที่แล้วอย่าง ลั้ลลา (Joy), กลั๊วกลัว (Fear), หยะแหยง (Disgust), เศร้าซึม (Sadness) และ ฉุนเฉียว (Anger) ในภาคนี้ยังกลับมาด้วยอารมณ์ใหม่ๆ ที่ซับซ้อนขึ้นตามการเติบโตของ เจ้าหนูไรลีย์ (Riley) เด็กสาวผู้เป็นตัวละครเอกของเรื่อง

เมื่อเธอเติบโตขึ้น อารมณ์ ความรู้สึก และตัวตนของเธอจึงซับซ้อนขึ้นไปตามสถานการณ์ที่เจอ
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ ว้าวุ่น (Anxiety), อิจฉา (Envy), เขิ้นเขินอ๊ายอาย (Embarrassment) และ เฉยชิล (Ennui) ถึงคราวปรากฏตัวขึ้นด้วยความสลับซับซ้อนจากการเติบโตทางอารมณ์ของไรลีย์ดังที่กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง

เรื่องราวของ Inside Out 2 ถูกบอกเล่าผ่านเหตุการณ์ Coming of Age สุดคลาสสิกอย่างการเติบโตขึ้นเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นที่ทุกคนจะต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งจากตัวเราเองและสภาพแวดล้อมรอบข้าง ไรลีย์ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่จะต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ และเหตุการณ์สำคัญอย่างการต้องจากเพื่อนสนิทไปเรียนคนละที่ และการไล่ล่าความฝันในการเป็นนักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นส่งผลให้ไรลีย์รู้สึกปรวนแปรและไม่มั่นคง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์ในหัวสมองของเธอเอง

หนึ่งในอารมณ์ที่มีบทบาทมากเกือบตลอดทั้งเรื่องนี้คงหนีไม่พ้น ‘ว้าวุ่น’ (Anxiety) ที่เมื่อเปิดตัวมาก็ขโมยซีนคนอื่นไปเสียยกใหญ่ และกลายเป็นเรื่องราววุ่นๆ ตลอดทั้งเรื่องอย่างที่เราเห็นกัน

วันนี้ The Present Move จึงอยากชวนทุกคนมาสำรวจเจ้าอารมณ์ว้าวุ่นคนนี้ไปพร้อมๆ กันว่าเขามีความเป็นมาอย่างไร เพราะเหตุใดจึงมีบทบาทมากมายกับชีวิตเราขนาดนั้น 

มากไปถึงชวนทบทวนมายาคติที่สำคัญว่า
เมื่อเราโตขึ้น เราจะต้องสูญเสียความสุขไปจริงหรือ?

| ‘ความกังวล’ ที่ทำให้เรา ‘ว้าวุ่น’ จนอาจกลายเป็นคนจอมจุ้นในหลายต่อหลายเหตุการณ์

‘ว้าวุ่น’ (Anxiety) ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในตอนที่ไรลีย์กำลังรู้สึกกระสับกระส่ายว่าจะต้องทำตัวอย่างไรดีในสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน ไหนจะต้องแยกกับเพื่อนสนิทแล้วเหลือตัวคนเดียวเมื่อเปิดเทอม

นี่เราจะมีเพื่อนไหม?

จะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เข้ากลุ่มกับเพื่อนใหม่ได้กันนะ?

และอื่นๆ อีกมากมายเท่าที่ความคิดจะจินตนาการไปได้

เหล่านี้อยู่ในความคิดของไรลีย์ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อว้าวุ่นเริ่มรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว เราจะต้องรีบควบคุมแผงคอนโซลเพื่อเริ่มปฏิบัติการให้ไรลีย์มีเพื่อนให้ได้ เรื่องราวต่างๆ จึงเกิดขึ้นเมื่อว้าวุ่นผลักไสอารมณ์ทั้ง 5 ที่มีมาแต่เดิมอยู่ก่อนให้หายไปในกระแสสำนึกและบอกว่าไรลีย์ไม่ต้องการพวกเขาแล้ว เธอเติบโตขึ้นและจำเป็นจะต้องมีอารมณ์ที่สลับซับซ้อนขึ้นเพื่อให้เท่าทันกับการเติบโตที่จะต้องรับความเปลี่ยนแปลงให้ได้มากขึ้น

ดังนั้นอารมณ์ทั้ง 5 ซึ่งได้แก่ ลั้ลลา (Joy), กลั๊วกลัว (Fear), หยะแหยง (Disgust), เศร้าซึม (Sadness) และ ฉุนเฉียว (Anger) จึงถูกขับไสไล่ส่งให้หายไป

โดยเฉพาะคนที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดอย่าง ‘ลั้ลลา’ 

ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเรียกได้ว่าเธอเป็น ‘ผู้นำ’ ทางความรู้สึกของไรลีย์ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา

และเป็นองค์ประกอบหลักใน ‘ตัวตน’ ของเธอก็เป็นได้

“ฉันปกป้องไรลีย์จากสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะฉันหวังดีกับเธอ!”

เจ้าว้าวุ่นกล่าวประโยคข้างต้น ก่อนที่จะทำให้เราเห็นตลอดภาพยนตร์ว่าเขากำลังทำเช่นนั้นจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็น

การพยายามเป็นผู้นำแผงคอนโซล

จินตนาการเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นด้วยภาพที่แยกที่สุดเพื่อที่จะเตรียมตัวรับมือสิ่งที่ (อาจ) จะเกิดได้อย่างเท่าทันท่วงที

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ว้าวุ่นทำด้วยความรู้สึก ‘หวังดี’ 

อยากให้ไรลีย์สามารถรับมือสิ่งต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างดี

และไม่ตกใจหรือเป็นกังวลจนรับมือไม่ถูกหากสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงๆ

แต่อย่างที่เราเห็น ภาพที่ออกมาอาจไม่เป็นไปเช่นนั้น

ทั้งหมดกลายเป็นว่าไรลีย์กลายเป็นคนที่คิดมากจนวิตก พยายามจนเกินไปจนกลายเป็นไม่เป็นตัวของตัวเอง และร้ายแรงที่สุดคือกลายเป็นคนที่ ‘อยากได้รับการยอมรับ’ จนทำอะไรรุนแรงเกินไป และกลายเป็นคนไม่น่ารักกับคนรอบข้าง

และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความกังวลครอบงำไปทั้งตัวตน

นั่นยิ่งส่งผลโดยตรงกับตัวของเธอเอง

กลายเป็นคนหลงทางเพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร

ตอบไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน

และสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ คืออะไรกันแน่

ผู้เขียนคิดว่า ความเป็นว้าวุ่นเช่นนี้อาจทำให้ผู้ชมหลายคนรู้สึกอึดอัดและขัดใจว่าเขาจะต้องพยายามอะไรขนาดนั้นกันนะ แต่ว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวละครนี้ได้จี้จุดกับผู้ชมอีกหลายคน (รวมถึงตัวผู้เขียนเองด้วย)

โดยเฉพาะประโยค “ฉันไม่ดีพอ” (I’m not good enough.) ยิ่งเป็นประโยคที่ตอกย้ำและหลอกหลอนเราในฐานะคนที่ Self-doubt ตลอดเวลาได้อย่างดีเยี่ยม

| เรียนรู้ที่จะอยู่กับความกังวล แบบ ‘น้อมรับ’ และ ‘ไม่ผลักออก’

ในหลายต่อหลายครั้ง เราก็อยากทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด จนเผลอกดดันตัวเองด้วยความไม่อยากพลาด จึงพยายามจำลองสถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อคำนวณความเป็นไปได้ เพื่อที่จะได้วางแผนใดๆ ได้อย่างรัดกุมมากที่สุด แต่สุดท้ายก็อาจกลายเป็นว่าพอเราจินตนาการถึงสถานการณ์ล่วงหน้ามากเกินไป อาจทำให้เกิดเหตุการณ์อยู่ 2 อย่าง

หนึ่ง เครซี่สุดๆ ไปเลยคุณน้า
หรือ สอง ไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง

นั่นอาจเพราะเราไม่กล้าน้อมรับ
ความผิดพลาด ซึ่งอาจเป็นเพราะเราไม่อยากโทษตัวเองในอนาคต

ทั้งที่จริงหากเรายังเป็นมนุษย์และยังต้องใช้ชีวิต
เราก็อาจพลาดในบางเรื่องในสักวันนั่นแหละ

คล้ายกับที่ฉุนเฉียวบอกกับลั้ลลาว่า เธอทำอะไรพลาดเยอะมาก และมันจะพลาดอีกนั่นแหละในอนาคต
แต่ความผิดพลาดอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่เสียจนเราจะก้าวข้ามผ่านมันไปไม่ได้

และในอีกหลายความผิดพลาด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านั่นช่วยหล่อหลอมให้ ‘เรา’ เป็น ‘เรา’ เฉกเช่นในทุกวันนี้

การจะปล่อยวางความว้าวุ่นอาจเริ่มต้นได้จากอะไรง่ายๆ เช่น วางอดีต
โยนความสมบูรณ์แบบทิ้งไปเสียบ้าง มองปัญหาตามความเป็นจริง
ให้อภัยตนเอง ไม่จมปลักกับปัญหาเก่าๆ มากนัก
หากผิดพลาดกับอะไรเดิมๆ ให้ลองวิธีรับมือที่ต่างออกไป

เพราะถึงแม้ว่าความกังวลจะเป็นกลไกป้องกันตัวชั้นดีที่ช่วยปกป้องเราจากอะไรที่ยังไม่เกิด
แต่หากมันมากเกินไปก็อาจทำให้ความสนุกในการลิ้มรสลองสิ่งใหม่ๆ
ในชีวิตก็อาจหายไปอย่างน่าเสียดายเช่นกัน

| รู้จักตัวเราให้มากขึ้นผ่านการตระหนักรู้ทางอารมณ์ เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนเกี่ยวข้องกับความเป็น ‘ตัวตน’ ของเราทั้งสิ้น

“เราจะเป็นตัวเองได้อย่างไร? เมื่อเราคนใหม่ยังไม่พร้อม”

หนึ่งในคำถามชวนคิดที่เปิดเผยผ่านช่วงสำคัญในภาพยนตร์ ประโยคนี้ชวนกระตุกจิตกระชากใจเราอยู่ไม่น้อย

เช่นดังในภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงการกลับไปกลับมาใน 2 ความคิดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้นระหว่าง “ฉันเป็นคนดี” และ “ฉันไม่ดีพอ”

แต่อันที่จริงแล้ว ไม่ว่า ‘ฉัน’ จะเป็นคนแบบไหน นั่นก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา สถานการณ์ และบริบทรอบข้างอยู่ไม่น้อยเลย 

นั่นอาจแปลว่าเราไม่สามารถเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไปได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ และในบางครั้ง เราอาจมีอารมณ์และความรู้สึกที่ไม่ดีบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดีหรือไปต่อกับชีวิตไม่ได้

“ฉันเห็นแก่ตัว”
“ฉันใจดี”
“ฉันเป็นคนไม่ดี”
“ฉันกล้าหาญ”
“ฉันทำพลาด”
“ฉันเข้มแข็ง”
“ฉันอ่อนแอ”

ไม่ว่าจะอยู่ในห้วงอารมณ์แบบไหนและอย่างไร
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่นก็ล้วนแต่เป็น ‘ตัวตน’ ของเรา ทั้งหมดไม่ใช่หรือ?

และในทุกๆ การเติบโต เราอาจมี
อารมณ์ที่สลับซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นไปบ้าง

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรไปเสียหน่อย

สิ่งสำคัญไปมากกว่านั้น อาจเป็นการรับรู้และเท่าทันกับความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละห้วงขณะมากกว่า

และไม่ว่าในตอนนี้เราจะรู้สึกอย่างไรอยู่ และกำลังถูกครอบคลุมไปด้วยอารมณ์แบบไหน
แต่ผู้เขียนเองก็อยากชวนทุกคนให้รับรู้และตระหนักในแต่ละอารมณ์และความรู้สึกของเรา
ไปพร้อมๆ กัน

และชวนรักตัวเราเองในทุกสิ่งอย่าง
ในทุกส่วนที่ทั้งดีและไม่ดี
ทั้งที่งดงามและยุ่งเหยิง

Writer | ภาพตะวัน

Illustrator | wajee.

Peaceful Death เพราะ ‘ความตาย’ และ ‘การใช้ชีวิต’ เป็นเรื่องเดียวกัน เราจึงควรใช้ปัจจุบันดูแลทุกความสัมพันธ์ให้ดีที่สุด

วันนี้ The Present Move ขอชวนผู้อ่านทุกท่านมาจับเข่าคุยกันเรื่องความตายกับ คุณเอกภพ สิทธิวรรณธนะ ผู้ประสานงานโครงการชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี กลุ่ม Peaceful Death ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘การตายดี’ และการเตรียมตัวกับความตาย

รวม ‘5 ภาพยนตร์’ น่าดูช่วงหยุดยาวว เพื่อฮีลใจตัวเองก่อนก้าวสู่ปีใหม่

ขอแนะนำทางเลือกหนึ่ง เพื่อเป็นอีกแรงเสริมให้ทุกคนรักและรู้สึกดีกับตัวเอง (self-love) ด้วยข้อคิดจากภาพยนตร์ที่เราหยิบยกมาให้ดูกันในวันนี้