‘ว้าวุ่น’ (Anxiety) ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกในตอนที่ไรลีย์กำลังรู้สึกกระสับกระส่ายว่าจะต้องทำตัวอย่างไรดีในสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน ไหนจะต้องแยกกับเพื่อนสนิทแล้วเหลือตัวคนเดียวเมื่อเปิดเทอม
นี่เราจะมีเพื่อนไหม?
จะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เข้ากลุ่มกับเพื่อนใหม่ได้กันนะ?
และอื่นๆ อีกมากมายเท่าที่ความคิดจะจินตนาการไปได้
เหล่านี้อยู่ในความคิดของไรลีย์ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อว้าวุ่นเริ่มรู้สึกว่าไม่ได้การแล้ว เราจะต้องรีบควบคุมแผงคอนโซลเพื่อเริ่มปฏิบัติการให้ไรลีย์มีเพื่อนให้ได้ เรื่องราวต่างๆ จึงเกิดขึ้นเมื่อว้าวุ่นผลักไสอารมณ์ทั้ง 5 ที่มีมาแต่เดิมอยู่ก่อนให้หายไปในกระแสสำนึกและบอกว่าไรลีย์ไม่ต้องการพวกเขาแล้ว เธอเติบโตขึ้นและจำเป็นจะต้องมีอารมณ์ที่สลับซับซ้อนขึ้นเพื่อให้เท่าทันกับการเติบโตที่จะต้องรับความเปลี่ยนแปลงให้ได้มากขึ้น
ดังนั้นอารมณ์ทั้ง 5 ซึ่งได้แก่ ลั้ลลา (Joy), กลั๊วกลัว (Fear), หยะแหยง (Disgust), เศร้าซึม (Sadness) และ ฉุนเฉียว (Anger) จึงถูกขับไสไล่ส่งให้หายไป
โดยเฉพาะคนที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดอย่าง ‘ลั้ลลา’
ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเรียกได้ว่าเธอเป็น ‘ผู้นำ’ ทางความรู้สึกของไรลีย์ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา
และเป็นองค์ประกอบหลักใน ‘ตัวตน’ ของเธอก็เป็นได้
“ฉันปกป้องไรลีย์จากสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะฉันหวังดีกับเธอ!”
เจ้าว้าวุ่นกล่าวประโยคข้างต้น ก่อนที่จะทำให้เราเห็นตลอดภาพยนตร์ว่าเขากำลังทำเช่นนั้นจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็น
การพยายามเป็นผู้นำแผงคอนโซล
จินตนาการเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นด้วยภาพที่แยกที่สุดเพื่อที่จะเตรียมตัวรับมือสิ่งที่ (อาจ) จะเกิดได้อย่างเท่าทันท่วงที
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ว้าวุ่นทำด้วยความรู้สึก ‘หวังดี’
อยากให้ไรลีย์สามารถรับมือสิ่งต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างดี
และไม่ตกใจหรือเป็นกังวลจนรับมือไม่ถูกหากสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงๆ
แต่อย่างที่เราเห็น ภาพที่ออกมาอาจไม่เป็นไปเช่นนั้น
ทั้งหมดกลายเป็นว่าไรลีย์กลายเป็นคนที่คิดมากจนวิตก พยายามจนเกินไปจนกลายเป็นไม่เป็นตัวของตัวเอง และร้ายแรงที่สุดคือกลายเป็นคนที่ ‘อยากได้รับการยอมรับ’ จนทำอะไรรุนแรงเกินไป และกลายเป็นคนไม่น่ารักกับคนรอบข้าง
และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความกังวลครอบงำไปทั้งตัวตน
นั่นยิ่งส่งผลโดยตรงกับตัวของเธอเอง
กลายเป็นคนหลงทางเพราะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
ตอบไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน
และสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ คืออะไรกันแน่
ผู้เขียนคิดว่า ความเป็นว้าวุ่นเช่นนี้อาจทำให้ผู้ชมหลายคนรู้สึกอึดอัดและขัดใจว่าเขาจะต้องพยายามอะไรขนาดนั้นกันนะ แต่ว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวละครนี้ได้จี้จุดกับผู้ชมอีกหลายคน (รวมถึงตัวผู้เขียนเองด้วย)
โดยเฉพาะประโยค “ฉันไม่ดีพอ” (I’m not good enough.) ยิ่งเป็นประโยคที่ตอกย้ำและหลอกหลอนเราในฐานะคนที่ Self-doubt ตลอดเวลาได้อย่างดีเยี่ยม