
Pendulum Lifestyle มองชีวิตเป็นลูกตุ้มที่แกว่งไปมา มีขึ้นสูง ลงดิ่ง ไม่ได้บาลานซ์ทุกวัน
การกดดันตัวเองตลอดเวลาว่า “ชีวิตฉันต้องบาลานซ์เท่านั้น!” อยู่ทุกวัน ถ้าไม่บาลานซ์สักวันแปลว่า ต้องมีอะไรผิดพลาด คิดแบบนี้บางครั้งมันก็… เหนื่อย
ท่ามกลางแสงสีของเมืองหลวงอันวุ่นวาย จะดีไหมหากเรามีสถานที่เงียบสงบสักแห่งให้เป็นที่พักใจ เป็นที่ที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากความรู้สึกของตัวเอง
สำหรับเรา ‘อวโลกิตะ’ คือสถานที่แบบนั้น หากฟังจากชื่อที่ตั้งตามพระอวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์แห่งความรักความกรุณาของพระพุทธเจ้าทั้งปวง หลายคนอาจเดาว่า นี่คือสถานปฏิบัติธรรมของชาวพุทธ แต่สำหรับคนที่เคยมาเยือนแล้วจะรู้ว่า อวโลกิตะเป็นมากกว่านั้น เพราะที่นี่เป็นสถานที่นั่งภาวนาที่อ้าแขนต้อนรับทุกคนอย่างไร้ข้อจำกัด
ไม่ว่าจะนับถือศาสนาหรือไม่ ไม่ว่าจะมีความเชื่อแบบใด ไม่ว่าจะมาจากแห่งหนไหนของโลก คุณสามารถเข้ามานั่งภาวนาร่วมกันโดยไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีคนนำ ที่สำคัญคือไม่จำเป็นว่าจะต้องนั่งเพื่อบรรลุอะไร หรือนั่งภายใต้กรอบจำกัดว่าการนั่งภาวนาที่ดีควรเป็นอย่างไร
เพราะเหตุใดอวโลกิตะจึงอยากเป็นพื้นที่ที่โอบรับทุกคน หากเป้าประสงค์ของการนั่งภาวนาไม่ใช่การบรรลุธรรมแล้วคืออะไร เราขอชวนทุกคนมานั่งเงียบๆ แล้วฟัง ลูกแก้ว-ภัทรมน พัวไพโรจน์ หนึ่งในผู้ดูแลโครงการอวโลกิตะเล่าให้เราฟังไปพร้อมกัน
| พื้นที่เรียนรู้ด้านจิตวิญญาณ
ย้อนกลับไปราว 2 ปีก่อน อวโลกิตะก่อตั้งโดย วิจักขณ์ พานิช และ คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง สองผู้ก่อตั้ง ‘วัชรสิทธา’ พื้นที่การเรียนรู้ด้านจิตวิญญาณและการเดินทางภายใน ที่มีรากฐานมาจากศาสนาพุทธฝ่ายวัชรยาน ความตั้งใจแรกเริ่มของวิจักรณ์และคมกฤชคือ อยากหาพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมของกลุ่ม จนมาเจอพื้นที่นี้ที่ตั้งอยู่บนชั้น 9 ของอาคารตั้งฮั่วปัก ซ่อนตัวลึกลับในซอยสาทร 10 ที่รายล้อมไปด้วยตึกระฟ้าโดยบังเอิญ
“ห้องตรงนี้เป็นเหมือนความสงบเงียบท่ามกลางความวุ่นวายของย่านสาทร เข้ามาแล้วรู้สึกพลังงานบางอย่าง รู้สึกเข้ามาแล้วสงบ โล่ง แต่ด้วยพื้นที่แล้วจะเล็กเกินกว่าจะใช้เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมของวัชรสิทธา เลยอยากใช้เป็นพื้นที่วิปัสสนาในนามอวโลกิตะ” ลูกแก้วแนะนำ แล้วพาเราเดินดูห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่เข้ามาแล้วรู้สึกโล่ง เบาสบาย เงียบสงบท่ามกลางตึกรามย่านสาทรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งทำงานของชาวพนักงานออฟฟิศ
ลูกแก้วเล่าต่อว่า ด้วยลักษณะห้องและสภาพแวดล้อม ผู้ก่อตั้งทั้งสองอยากให้ที่นี่เป็นเหมือนประภาคารที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด และเป็นดอกบัวที่เบ่งบานท่ามกลางโลกอันวุ่นวาย
มากกว่านั้น การมีอยู่ของอวโลกิตะยังช่วยอำนวยความสะดวกให้คนเมืองและนักท่องเที่ยวได้เข้าถึงการภาวนาได้ง่ายๆ เพราะเดินทางมาได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ใกล้และไม่ไกลจากตัวเมืองมาก
| พื้นที่ที่ไร้กรอบ
ลูกแก้วบอกว่า แท้จริงแล้วอวโลกิตะนั้นก็ไม่ต่างจากวัดหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมนักหรอก เพราะคนที่มาก็มักจะมาเพื่อปฏิบัติภาวนา เพียงแต่ที่นี่จะเน้นการเป็นพื้นที่ว่างที่เปิดรับทุกคน ไม่ว่ามีศาสนาหรือความเชื่อแบบใดก็ตาม
“เราเปิดรับทุกอย่างโดยไม่ตัดสินใคร ถ้าเป็นการปฏิบัติตามรูปแบบ มันอาจมีกฎเกณฑ์ที่ไม่ถูกจริตกับบางคน เราอยากให้ทุกคนผ่อนคลาย สบายขึ้น โดยไม่มีการจำกัดรูปแบบหรือแพทเทิร์นในการนั่งใดๆ ใครจะนั่งหลับตา ลืมตา กำหนดลมหายใจอย่างไรก็ได้ เพียงแต่จะขอให้เคารพซึ่งกันและกัน ด้วยการมานั่งในความเงียบด้วยกัน”
มากกว่านั้นคือมาที่นี่จะแต่งตัวฟรีสไตล์อย่างไรก็ได้ เพราะตั้งอยู่บนหลักของการเคารพซึ่งกันและกัน
“ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำงานอะไร ทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อมาสัมผัสพื้นที่ว่างเหมือนกันหมด มาสัมผัสข้างในของตัวเอง และรู้ว่าแก่นแท้ข้างในของเราทุกคนเหมือนกัน”
ในทางวัชรยานเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีความดีงามและจิตตื่นรู้เป็นพื้นฐานในตัวทุกคน การปฏิบัติภาวนาไม่มีเป้าหมายอื่นใด นอกจากเพื่อบ่มเพาะจิตตื่นรู้ที่มีอยู่แล้วให้งอกงามขยายกว้างออกไป ซึ่งอาจถูกบดบังจากความคิดและชีวิตประจำวัน
“สำหรับบางคน การรู้เนื้อรู้ตัวเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่การมีพื้นที่แบบนี้มันช่วยให้เขาได้สงบและมีสันติกับข้างใน กลับมาสู่แก่นแท้ของเขา ซึ่งก็คือความดีงามพื้นฐานในตัว”
| พื้นที่แห่งการกลับมาอยู่กับตัวเอง
อวโลกิตะดำเนินการโดยอาสาสมัครจำนวน 30 คนที่ทำงานเป็นจิตอาสา พวกเขาไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ จากที่นี่ หากล้วนมาด้วยความเชื่อสุดหัวใจในการ ‘กลับมาอยู่กับตัวเอง’
“ก่อนหน้านี้เราเคยปฏิบัติรูปแบบอื่นมา คืออยู่ในสถานที่ปิดและโฟกัสกับการนั่งโดยตัดขาดจากโลกภายนอก แต่การมานั่งที่นี่ไม่ได้ส่งเสริมให้เราตัดขาดหรือหลีกหนี แต่สนับสนุนให้เรากลับมาอยู่กับความเป็นจริงของเรา หมายถึงว่า ทุกสภาวะ ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้น เราก็รู้สึกกับมัน และยอมรับในแบบที่มันเป็น”
นี่คือสิ่งที่เธอเพิ่งได้มาเรียนรู้จากการปฏิบัติภาวนาที่นี่ หญิงสาวบอกว่าการนั่งเงียบๆ อยู่กับตัวเองก็ช่วยให้เธอผ่านช่วงเวลายากลำบาก วันที่วิตกกังวลจากการงาน ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยความรู้สึกกดดันอันน่าอึดอัด
แน่นอนว่าการปฏิบัติภาวนาไม่ใช่ยารักษา แต่คือการจ้องมองความรู้สึกเหล่านั้นด้วยสายตาที่จริงใจ ในทางหนึ่ง หญิงสาวเปรียบว่ามันเหมือนการชาร์จแบตให้ตัวเองได้ ‘ว่าง’ ปล่อยตัวเองให้รู้สึกสิ่งที่รู้สึกเพื่อที่จะก้าวเดินต่อ
“ยุคนี้เรามักได้ยินคำว่าความยืดหยุ่น (Resilience) ทำอะไรก็ตาม เราต้องล้มแล้วลุกให้เร็ว ซึ่งเราคิดว่าพื้นฐานของมันคือการรู้เนื้อรู้ตัวอยู่กับปัจจุบันก่อน ถ้าเรามีปัญหาแล้วจมกับมัน เราจะไปต่อไม่ได้เลยถ้าเราไม่ตระหนักว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
“สำหรับเรา การกลับมาอยู่กับปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญนะ เพราะมันคือความจริงแท้ของชีวิต ถ้าเราไม่กลับมาอยู่กับปัจจุบัน เราคิดว่าเราจะทำให้เราก้าวต่อไปในชีวิตได้ยากมาก ถ้าเราเอาแต่คิดว่าชีวิตของเราต้องมีความสุข มีทุกข์เราต้องหนี มันเป็นไปไม่ได้หรอก ความเป็นจริงคือทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราแค่ต้องหาวิธีอยู่กับมัน และการกลับมารู้เนื้อรู้ตัวเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราได้ใช้ทุกขณะแบบที่มันเป็นจริงๆ”
| พื้นที่แห่งการบ่มเพาะ
รูปแบบการนั่งของที่นี่ไม่มีหลักตายตัวหรือพิธีรีตอง เพียงแต่ตั้งต้นที่ลมหายใจและรับรู้ถึงมัน จากการรับรู้ลมหายใจ ลูกแก้วแนะว่า อยากให้เปิดการรับรู้ไปสู่ทุกสิ่งที่ได้ยิน ได้เห็น และรู้สึก มากกว่านั้นคือรับรู้ความคิดที่ผุดขึ้นมา และไม่ปฏิเสธมัน
“ช่วงแรกบางคนอาจจะรู้สึกว่ายาก วอกแวก นั่งไม่ได้ นั่งไม่เป็น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะรู้สึกแบบนั้น ประเด็นคือเราจะไม่ตัดสินใครแม้กระทั่งตัวเองว่าวันนี้นั่งได้ดีหรือไม่ดี เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือส่วนหนึ่งของการภาวนา เราไม่ต้องนั่งเพื่อสงบร้อยเปอร์เซ็นต์ แค่กลับมาอยู่ตัวเรา
“สำหรับเรา สิ่งสำคัญของการภาวนา คือ การกลับมาอยู่กับตัวเอง สร้างความสงบสุขกับตัวเองโดยไม่ต้องไปหาจากที่ไหน”
ปกติแล้วที่นี่จะเริ่มนั่งกันตั้งแต่ 5 โมงจนถึง 3 ทุ่ม โดยแบ่งเป็นรอบละ 45 นาทีและพักเบรก ถึงอย่างนั้น ลูกแก้วก็จะย้ำว่าทุกคนจะเข้าออกเวลาไหนก็ได้ตามอัธยาศัย ไม่ต้องรอให้นั่งจบรอบก็ลุกออกไปได้
แต่ละรอบจะไม่มีคนนำนั่ง ยกเว้นตอนช่วงหนึ่งทุ่มที่จะมีการสวดมนตราภาวนา เป็นการคลื่นเสียงเพื่อสร้างความถี่ภายในตัวเรา ประกอบกับจินตนาภาพดอกบัวที่เปล่งประกาย เปรียบเสมือนแก้วมณีที่เป็นความดีงามพื้นฐานที่อยู่ในตัวทุกคน ก่อนจะจบที่การเผื่อแผ่บุญกุศลให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ในมุมหนึ่งของห้อง ยังมีบอร์ดติดภาพผู้ล่วงลับ ซึ่งในโอกาสพิเศษจะมีการนั่งสวดภาวนาเพื่อคนที่จากไปด้วย
“เราเชื่อว่าการอยู่ในสังคมได้เราต้องมีความรักและความกรุณาเป็นพื้นฐานในใจ เพราะฉะนั้น เป้าหมายของที่นี่คือการบ่มเพาะความรัก ความกรุณา และสันติในใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องไปขวนขวายที่ไหนแต่อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว และเราจะใช้ความรักความกรุณานี้ในการขับเคลื่อนชีวิตและสังคมต่อไป
“ปกติแล้วในการต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหง เราอาจใช้สัญชาตญาณที่เป็นความรุนแรงหรือก้าวร้าว ตอบโต้ไปด้วยความโกรธ แต่ถ้าเราบ่มเพาะความรักความกรุณาให้มันเป็นธรรมชาติในตัวเรา เราจะสามารถทำให้ความก้าวร้าว รุนแรง แก่งแย่งในสังคมให้ลดลงได้ไปโดยอัตโนมัติ หากเราเชื่อว่าเรากับเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งเดียวกัน เราจะอยู่ด้วยกันอย่างสันติได้
“แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องมีสันติกับตัวเองก่อน ซึ่งเราก็เพิ่งรู้จากการมานั่งภาวนาที่นี่เหมือนกัน มันเริ่มจากการไม่ตัดสินการนั่งของตัวเองว่าดีไม่ดี วันนี้คิดฟุ้งซ่านหรือร้องไห้ก็ไม่เป็นไร เราเริ่มจากไม่ตัดสินตรงนี้ แต่ยอมรับว่านี่คือตัวเราที่เราเป็น” ลูกแก้วย้ำ
นอกจากกิจกรรมนั่งภาวนา ที่นี่ยังมีเสวนา อวโลกิตะทอล์ก ที่ทีมชวนกัลยาณมิตรมานั่งคุยกันเรื่องความรักและกรุณา และสำหรับชาวพุทธ ในวันสำคัญทางศาสนาก็จะมีการนำสวดมนต์ที่นี่ และทุกสิ้นปีจะมีพิธีสุขาวดีที่จะสวดมนต์แด่ผู้ล่วงลับด้วย
| พื้นที่ของทุกคน
หนึ่งในคำถามที่เราสงสัยก่อนจะก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ คือหากเป็นคนที่ไม่ได้นับถือพุทธ หรือไม่นับถือศาสนาใดเลย จะเข้ามานั่งในอวโลกิตะได้ไหม
ลูกแก้วยิ้ม แล้วตอบว่าที่นี่พร้อมจะอ้าแขนเปิดรับอย่างเต็มกอด
“ไม่ว่ามีความเชื่อแบบไหนหรือไม่มีความเชื่อก็ได้ เราเชื่อในความเป็นมนุษย์ ศาสดาของเราสอนว่าเราไม่ได้สอนให้เธอเป็นชาวพุทธ แต่สอนให้เป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยม นี่เป็นจุดหลักที่ทำให้เราไม่ตัดสินใคร ทำให้ที่นี่เปิดกว้างรับทุกคน ไม่แบ่งแยก ไม่มีการนำว่าปฏิบัติแบบไหน ถ้าเขาไม่เชื่อในอะไรเลยก็แค่มานั่งอยู่กับความว่าง ความสงบ ความรู้สึกตัว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสากลและเป็นธรรมชาติ
“ก่อนหน้านี้ก็มีคนที่มาด้วยความคาดหวัง แต่พอมาจริงๆ แล้วเอ๊ะ ไม่สอนอะไรเลยเหรอ เขาจะรู้สึกว่าไม่ได้อะไรกลับไป แต่จริงๆ การที่เขามา อย่างน้อยก็แปลว่าเขาอาจจะอยากหลุดพ้นจากบางอย่างจนต้องการพื้นที่เงียบๆ แบบนี้ การที่เขาพาตัวเองมาแล้วตั้งใจว่าฉันจะมาอยู่กับความเงียบ ยิ่งมีคนมานั่งด้วยก็ยิ่งรู้สึกมีพลังที่สนับสนุนกัน เท่านี้เขาก็ได้แล้ว”
ตอนนี้อวโลกิตะเปิดมา 3 ปีแล้ว มีผู้คนแวะเวียนเข้ามามากมายในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเด็กนักเรียน วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ซึ่งแล้วแต่อยากหาสถานที่พักใจจากโลกภายนอก หรือมานั่งภาวนาตามชีวิตประจำวันปกติของตัวเอง
“ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกที่ผลักดันให้เราต้องทำ ต้องเป็น ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ตลอดเวลา เหมือนคำว่า ‘ต้อง’ มันเยอะมาก และมันสร้างความกดดันและเครียดจนมีปัญหาสุขภาพจิตกันเยอะ เราคิดว่าการมีพื้นที่ตรงนี้ให้ตัวเองได้มาผ่อนคลาย บ่มเพาะตัวเอง มันจะทำให้เรามีสันติข้างในและจะขยายไปสู่โลกภายนอก
“สำหรับเรา อวโลกิตะคือความหวัง มันเป็นพื้นที่ที่ทำให้เรารู้สึกว่า ไม่ว่าจะเจอความมืดมิดอะไรก็ตาม เรายังมีพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่เป็นเหมือนแสงสว่าง มันมีพลังงานที่สนับสนุนเรา ทุกครั้งที่เรามามันเติมเต็มพลังให้เราไปใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น” ลูกแก้วทิ้งท้าย
การกดดันตัวเองตลอดเวลาว่า “ชีวิตฉันต้องบาลานซ์เท่านั้น!” อยู่ทุกวัน ถ้าไม่บาลานซ์สักวันแปลว่า ต้องมีอะไรผิดพลาด คิดแบบนี้บางครั้งมันก็… เหนื่อย
กัปตันบางคนก็อาจเชื่อในเรื่องของ ‘ความพยายาม’ และ ‘ความมุ่งมั่น’ ที่จะนำเรือเหล่านั้นฝ่าฟันพายุฝนต่อๆ ไป
เพราะความพอดีอาจไม่ได้มีหน้าตาที่ตายตัวแต่เป็นความรู้สึกที่เราย่อมสัมผัสกับมันได้เมื่อเกิดความพอดีที่แท้จริง