The Present Move

ในวันที่รู้สึกไม่ดีพอ ไม่เป็นที่รัก และไม่คู่ควร ชวนเรียก Self-esteem กลับมา ด้วยการฝึกรักและใจดีกับตัวเองให้เป็น

The Present Move | Mindful Global Citizens

การวิ่งตามความคาดหวังของคนอื่น เป็นการแข่งขันที่ไม่รู้จบ ถ้าเราพยายามลงสนามแข่งอยู่ตลอดเวลา ผ่านเส้นชัยที่หนึ่งไปได้ ก็จะมีเส้นชัยที่สอง สาม สี่ ห้า ผุดขึ้นมาให้แข่งไปเรื่อยๆ หากเรายังพยายามทำให้ทุกคนพึงพอใจมากที่สุด แล้วตัวเราล่ะ? 

การใจดีกับคนอื่นบางครั้งก็ง่ายกว่าการใจดีกับ ‘ตัวเอง’ นี่คือหนึ่งในเรื่องบอบช้ำของมนุษย์เรา ที่หลายสถานการณ์ในชีวิตก็สั่งสมและถาโถมเข้ามา จนกดดันให้เราอยากจะเป็นคนที่ดีที่สุด อยากจะเป็นคนที่ได้รับการยอมรับ หรืออยากจะเป็นที่รักในสายตา ‘คนอื่น’ มากกว่าเป็นคนที่รู้สึกดีและเห็นคุณค่าในตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมายืนยันคุณค่าในตัวเรา

การขาดความนับถือคุณค่าในตัวเอง (Low self-esteem) มองว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นๆ ไม่เชื่อในความสามารถในตัวเอง ดิ้นรนที่จะพิสูจน์ตัวเองตามความคาดหวังของคนอื่น หรือกล่าวโทษตัวเองอย่างหนักเมื่อเจอเรื่องที่ไม่เป็นดั่งใจ และอีกหลายความรู้สึกที่ทำให้เรามองทุกความ ‘ผิดพลาด’ ในชีวิต และเอาสิ่งนั้นกลับมาทำร้ายใจตัวเอง เพราะเราไม่สามารถรู้สึก ‘ดี’ กับตัวเองได้ 

ซึ่งการที่คนคนหนึ่งจะมี self-esteem ในระดับที่ต่ำ ล้วนมีหลายปัจจัยเข้ามาประกอบ และเราอยากจะบอกทุกคนว่า เราเข้าใจมากๆ และเราอยู่เคียงข้างคุณนะ เพราะสำหรับบางคน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักตัวเองได้เลยทันที บางคนอาจถูกกลั่นแกล้งมาตลอดชีวิต จากคนในสังคม ครอบครัวไม่ยอมรับ ถูกปฏิเสธบ่อยๆ จนทำให้ตั้งคำถามต่อคุณค่าในตัวเอง หรือกระทั่งถูกเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา และมีแผลใจบางอย่างที่ฝังแน่นระหว่างการเติบโต 

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ การชี้นิ้วสั่งให้ตัวเอง ‘รักตัวเอง’ คงเป็นโจทย์หินที่ต้องอาศัยระยะเวลา

ตัวผู้เขียนเอง ก็เคยอยู่ในช่วงที่วิ่งตามความคาดหวังของคนรอบข้างจนเหนื่อย เพราะกลัวว่า หากไม่สวยตามค่านิยมของสังคม ฉันจะไม่ถูกยอมรับ หรือหากฉันไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด ฉันจะสูญสิ้นความรักในตัวเองไป กระทั่งเติบโตขึ้นมาก็ได้เรียนรู้ว่า 

การวิ่งตามความคาดหวังของคนอื่น เป็นการแข่งขันที่ไม่รู้จบ ถ้าเราพยายามลงสนามแข่งอยู่ตลอดเวลา ผ่านเส้นชัยที่หนึ่งไปได้ ก็จะมีเส้นชัยที่สอง สาม สี่ ห้า ผุดขึ้นมาให้แข่งไปเรื่อยๆ หากเรายังพยายามทำให้ทุกคนพึงพอใจมากที่สุด แล้วตัวเราล่ะ? เราจะมีความสุขกับตัวเองจริงๆ ตามทางที่เราเลือกเองได้ตอนไหนกัน? เราจะมั่นใจในความงามของเราในแบบที่เรากำหนดเองได้เมื่อไหร่? หรือเราจะมั่นใจในความสามารถของตัวเอง จนกล้าทำสิ่งที่เรารักจริงๆ ได้ตอนไหน?

ซึ่งหากตอนนี้คุณกำลังมีความคิดสักแวบที่อยากเห็นตัวเองมี Self-esteem ที่ดีขึ้น ยินดีด้วย นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความกล้าหาญที่จะเปิดประตูโอกาสให้คุณได้มีความสุขด้วยตัวเองได้จริงๆ 

เอมี่ โมริน (Amy Morin) นักจิตบำบัดได้เขียนอธิบายลงบนเว็บไซต์ Verywell Mind ว่า

 

“เมื่อเราเชื่อในสิ่งใดก็ตาม เราจะพยายามมองหาหลักฐานมายืนยันความเชื่อของเราว่ามันเป็นเรื่องจริงอยู่เสมอ นั่นแปลว่า หากคุณเชื่อว่าคุณไม่คู่ควร คุณก็จะมองทุกความผิดพลาด ทุกข์เคราะห์ร้าย และทุกการถูกปฏิเสธ มาเป็นข้อพิสูจน์ว่าคุณไม่ดีพอจริงๆ แม้ว่าที่ผ่านมาคุณอาจจะเคยประสบความสำเร็จในบางสิ่งไปแล้ว”

 

เราว่ามันจริงมากนะ การที่เรารู้สึกแย่กับตัวเองจนพยายามมองแต่ข้อเสีย และเผลอลืมไปว่าที่ผ่านมาก็เคยมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น มันเป็นอะไรที่น่าเสียดายจริงๆ ที่เราไม่ยอมให้เครดิตความพยายามของตัวเอง หรือไม่ให้เครดิตกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาตลอดเลย เพียงแค่กลัวว่าบางคนจะ ‘ไม่เชื่อ’ ในตัวคุณ

นั่นเป็นเหตุผลว่า หากคุณพยายามจะมอนิเตอร์บทสนทนาของคนอื่นที่มีต่อตัวคุณซ้ำๆ และบอกตัวเองว่า “สิ่งนี้ไม่เวิร์กหรอก” หรือ “ทุกคนคงหัวเราะเยาะฉันแหงๆ” นั่นจะทำให้คุณรู้สึกแย่กับตัวเอง และอาจจะทำให้คุณระแวงชีวิตจนเกินไป จน ‘ พลาด’ โอกาสต่างๆ ขึ้นมาจริงๆ

วิธีการหนึ่งที่นับว่าน่าสนใจมากๆ และเราเองก็ลองทำดู ซึ่งก็ได้ผล คือการแสร้งว่าตัวเอง ‘มั่นใจ’ ไปเลย แม้ลึกๆ เราอาจจะไม่มั่นใจ ซึ่งการสร้างความมั่นใจนี้

 อาจเป็นการพูดกับตัวเองอย่างเห็นอกเห็นใจ เช่น

“ทำได้อยู่แล้วน่า”

“ฉันจะพยายามทำให้ที่ดีสุด”

“ฉันสวย”

“ฉันมีคุณค่า แม้บางคนจะไม่ชอบฉัน”

“ฉันก็มีความสามารถเหมือนกัน”

ฯลฯ

เพื่อเป็นการทำให้สมองรับรู้ว่าคุณมีความสามารถและเก่งมากกว่าที่ตัวคุณคิด นอกเหนือจากคุณพูดแล้ว บางคนอาจจะจดบันทึกไว้อ่านเลยก็ได้ เพื่อย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอถึงคุณค่าในตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่า ไม่จำเป็นต้องเชื่ออย่างสนิทใจตั้งแต่เริ่มต้น แต่ขอให้พยายามเชื่อสิ่งเหล่านั้นไปเรื่อยๆ เราเชื่อว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อย และไม่ใช่เพียงวิธีคิดอย่างเดียว แต่เราอาจต้องปรับการกระทำของเราให้ดูมั่นใจไปพร้อมกันด้วย อนึ่ง ทำตัวให้ดูเป็นคนมั่นใจไปเลย แม้จะฝืนๆ หน่อย แต่มันอาจช่วยทำให้เรามั่นใจเพิ่มมากขึ้นจริงๆ ก็ได้

หรือบางคนที่เคยชินกับการคิดลบกับตัวเองสุดๆ เราอยากให้ลองเปลี่ยนมาใส่ความคิดบวกเข้าไปในความคิดลบนั้นแทน เช่น หากรู้สึกว่าตัวเองดูไม่ฉลาดเอาเสียเลย ถ้าจะบอกฝ่ายตรงข้ามตรงๆ ว่าคุณไม่รู้เกี่ยวกับข้อมูลบางอย่าง เปลี่ยนเป็น คิดว่า “ฉันจะเก่งขึ้น ถ้าฉันถามเขาตรงๆ ไม่มีใครเกิดมารู้ทุกอย่างตั้งแต่แรก!” นั่นก็อาจเพิ่มความรู้สึกดีให้เราได้เหมือนกัน 

ความมั่นใจในตัวเองถือเป็นกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งที่เชื่อมโยงกับสุขภาพจิตของเราโดยตรง เพราะเมื่อใดที่เราขาดความนับถือคุณค่าในตัวเอง มันอาจนำพาภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวลต่างๆ เข้ามาได้

เรายกตัวอย่างอีกหนึ่งวิธีของลอว์เรน อเล็กซานเดอร์ (Lauren Alexander) นักจิตวิทยา ที่ชวนให้ทุกคนหันมา ‘ยอมรับ’ ความไม่ต้องเพอร์เฟกต์ตลอดเวลาของตัวเองกันบ้าง เพราะในบางครั้งเราก็อยากจะเป็นคนที่เพอร์เฟกต์ที่สุด จนลืมไปว่า ไม่มีใครบนโลกนี้ที่เพอร์เฟกต์ไปเสียทุกเรื่องหรอก และแทบจะทุกคนต่างเคยมีเรื่องผิดพลาดกันบ้างทั้งนั้น 

เช่น หากคุณเคยทำงานพลาด 1 ครั้ง และคุณก็คิดว่า ฉันคงจะไม่สามารถทำอะไรได้อีก ชีวิตฉันล้มเหลวแล้ว เราอยากให้ลองค่อยๆ คิดตามอย่างมีเหตุผลว่า

มีหลักฐานอะไรที่บอกว่าคุณจะไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้อีก?

คุณจะล้มแล้วลุกไม่ได้จริงเหรอ?

การยอมรับให้ได้ว่าเราไม่ได้เพอร์เฟกต์ และไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกต์ทุกกระเบียดนิ้วจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยปลดล็อกและทำให้เราเติบโตขึ้นได้

“ส่วนหนึ่งของการเห็นคุณค่าในตัวเองที่คนกำลังมีปัญหาอยู่มากที่สุดคือการเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และเรียนรู้วิธีก้าวผ่านการยึดติดในความผิดพลาดเหล่านั้นด้วย”

ลอว์เรนกล่าว

แน่ล่ะ ใครๆ ก็อยากประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ราบรื่นกันทั้งนั้น แต่เราก็ไม่ควรการกลัวที่จะล้มมากเกินไป เพราะมันจะปิดโอกาสในชีวิตของเรา และทำให้เราหวาดระแวงในการใช้ชีวิตมากเกินไป จนสุดท้าย เราอาจจะไม่มีความสุขเลย

และหากลองเริ่มต้นที่ตัวเอง ปรับความคิดตัวเองก็แล้ว แต่คนรอบข้างก็ยังทำไม่ดีกับเรา เราอยากให้ลองถามตัวเองว่า กำลังอยู่ผิดที่หรือเปล่า? และนั่นใช่ความผิดเราตรงไหน? เพราะแน่นอน แบบนี้มันไม่ใช่ความผิดเราแน่ๆ แต่เป็นนิสัยที่ชอบตัดสินคนอื่น หรือทำให้คนอื่นรู้สึกแย่กับตัวเองของคนบางคนที่เขากำลังใช้ทำร้ายเราอยู่ 

โครี เฮนเนซซี่ (Kori Hennessy) นักบำบัดด้านการแต่งงานและครอบครัว แนะนำว่า “หากเรารายล้อมไปด้วยคนที่เห็นคุณค่าของเรา เราก็มีโอกาสที่จะเริ่มมองเห็นคุณค่าในตัวเองเหมือนกัน” 

สิ่งที่สำคัญเลย หากเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจอกับคนที่มีพลังงานลบๆ หรือสถานการณ์ที่ชวนให้เราต้องตั้งคำถามถึงคุณค่าในตัวเอง เราอยากให้ทุกคนไม่ลืมที่จะสนใจคนดีๆ รอบตัวที่ยังเป็นกำลังใจ และมองเห็นคุณค่าของคุณอยู่เสมอ 

เพราะในวันที่คุณคิดว่าไม่มีใครรักคุณ จริงๆ อาจจะยังมีคนที่รักคุณอยู่ หรือวันที่คุณคิดว่าจะไม่มีใครอยู่ข้างคุณในวันที่ล้ม ก็อาจมีคนที่พร้อมจะอยู่ข้างคุณอยู่ก็ได้ 

และสุดท้ายคนที่เราไม่ควรลืมที่จะรักมากที่สุด ก็คือ ‘ตัวเรา’ อย่าลืมชมตัวเองเยอะๆ และให้ค่ากับความพยายามในการใช้ชีวิตของตัวเอง ถึงเราจะไม่ได้เก่งในสายตาคนอื่นที่สุด ก็ขอให้ยังเก่งในสายตาตัวเอง คนอื่นไม่ได้รักเราที่สุด แต่ก็ขอให้เรายังรักตัวเองที่สุด คนอื่นบอกให้เราเป็นแบบนั้น แบบนี้ แต่ก็อย่าลืมที่จะยืนหยัดในตัวตนของเรา ที่มีคุณค่า และไม่จำเป็นต้องวิ่งตามตัวตนที่คนอื่นอยากเห็น

 

ขอแค่เป็นเราในแบบที่เราคิดว่าดีแบบที่ไม่เดือดร้อนใครเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว 🙂 

ชวนรู้จักการ ‘Observing’ เพราะการ ‘สังเกต’ เป็นอะไรที่มากกว่าแค่ ‘มองเห็น’

ไม่แปลกอะไรถ้าเราจะรู้สึกแบบใดแบบหนึ่งกับคำเหล่านี้ เพราะสมองของมนุษย์มีระบบอัตโนมัติที่คอยจัดหมวดหมู่ประสบการณ์ต่างๆ ที่พบเจอ แบ่งคร่าวๆ ตามความรู้สึกว่า ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ