ในโลก Multitasking World ที่ทุกคนพยายามเร่งตัวเองให้เก่งขึ้น ถูกกดดันให้เก่งทั้ง ‘รอบ’ และ ‘หลาย’ ด้าน
ไม่ว่าความรู้สึกนี้จะมาจากการกดดันตัวเองเมื่อมองไปยังคนรอบตัว จนเผลอเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง หรือจะเป็นการถูกบีบบังคับให้ทำงานหลายอย่างพร้อมกันด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้สารพัดอย่าง
แม้ท้ายที่สุดการที่คนคนหนึ่งจะมีความสามารถหลายอย่าง และทำได้ทุกอย่าง จะฟังดูเป็น ‘ข้อดี’ มากกว่าข้อเสีย เพราะใครๆ ก็อยากเก่งกันทั้งนั้น
แต่ก็ใช่ว่าเราทุกคนจะมีความสุขดีกับการเป็นคนที่เก่งในหลายๆ ด้าน เพราะบางคนก็อาจรู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่เป็นอยู่ไม่น้อย
และที่จริงแล้ว การโฟกัสความเก่งเพียงแค่ 1 อย่างหรือกระทั่งยังไม่รู้ว่าตัวเองเก่งอะไร
นั่นก็นับว่าไม่ใช่เรื่องผิด และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากเรามีความสุขกับตัวเองดี
ทีนี้ เราจะอยู่ใน Multitasking World ที่มองไปทางไหนก็มีแต่คนเก่งรอบด้านนี้อย่างไร? ให้ไม่รู้สึกเป๋ ไม่วนกลับมาโบยตีตัวเอง ไม่ลดทอนคุณค่าในตัวเอง และกลับมามีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงขึ้นได้บ้าง?
หัวใจหลักอาจอยู่ที่ ‘การกลับมาอยู่กับตัวเอง’ ด้วยการทำความเข้าใจ ‘ความต้องการ’ ของตัวเอง
และรู้เท่าทัน ‘ความรู้สึก’ ของตัวเองให้เป็นลำดับความสำคัญแรกให้ได้ก่อน
เพราะบางครั้งหากเรามัวแต่ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน จนลืมที่จะโฟกัสสิ่งเหล่านี้ งานทั้งหมดที่ทำ ก็อาจจะไม่ได้เป็นตามที่คาดหวังเมื่อเทียบกับงานที่ไม่ต้องทำภายใต้ความท็อกซิกที่ผลต่อใจเราก็ได้ หรือถึงมันอาจสำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ในระยะยาวคุณกลับรู้สึกเหนื่อยล้า และส่งผลต่อสุขภาพจิตเข้า
นั่นก็อาจต้องกลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่า… มันเฮลตี้กับใจเราจริงๆ ไหม?
บทความหนึ่งที่ Irma Becerra อธิการบดีของ Marymount University เขียนลงนิตยสารชื่อดังอย่าง Forbes ถึงปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดกับคนวัยทำงานได้ดี
เธอให้ความเห็นด้วยมุมมองของเธอว่า
“Multitasking สามารถเป็นตัวเน้นย้ำถึงแรงกดดันที่แต่ละคนกำลังเผชิญอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ”
กล่าวคือ ‘แรงกดดัน’ หากมองในบริบทปัจจุบันก็มีอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะแรงกดดันจากครอบครัวที่คาดหวังให้ลูกประสบความสำเร็จมากๆ มีเงินเดือนที่สูง มีหน้าที่การที่ดี จนทำให้หลายคนรู้สึกว่าต้องทำอะไรที่มากกว่าสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำจริงๆ หรือแม้แต่เรื่องของค่าแรงที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ทำให้หลายคนต้องดิ้นรนหา ‘งานเสริม’ เพื่อที่จะทำให้รายได้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต
แม้ว่างานเสริมนั้นจะแลกมาด้วยกับปัญหาสุขภาพจิตที่ต้องเผชิญ ไปจนถึงแรงกดดันจากที่ทำงาน ที่บางบริษัทก็คาดหวังให้พนักงานทำงานได้ ‘หลายอย่าง’ เพื่อองค์กร โดยบางที่ก็ไม่ได้ถามถึงความต้องการจริงๆ ของพนักงานเลยแม้แต่น้อย ทำให้เกิดความรู้สึกท็อกซิกขึ้นมาได้ และสุดท้าย การกดดันตัวเองในสังคมทุนนิยม ที่เรามองไปทางไหนก็เจอแต่คนประสบความสำเร็จ จนทำให้บางคนอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น จนต้องเร่งเปลี่ยนตัวเองให้เป็นมนุษย์ที่เก่งหลายอย่างบ้าง แม้จะไม่ได้มีความสุขก็ตาม
สิ่งที่เกิดขึ้นกลับแย่ลงไปอีกสำหรับบางคน หากเราไม่สามารถ ‘โฟกัส’ อะไรได้สักอย่าง เพราะสิ่งที่เราเก่งจริงๆ เราก็ต้องหันเหความสนใจนั้นของเราไปที่งานอื่นด้วย ทำให้งานทั้งหมดที่ออกมา อาจจะครึ่งๆ กลางๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า ทำให้เราไม่สามารถปล่อยของได้สุด
การศึกษาหนึ่งที่อ้างอิงอยู่ในบทความของ สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association) พบว่า ‘Multitasking’ เป็นสาเหตุของภาวะสมองตัน (Mental block) คิดอะไรใหม่ๆ ไม่ค่อยจะออก ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลงถึง 40% และหากเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพตรงนี้ก็จะลดลงไปด้วย ตามที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ชิคาโก ระบุเอาไว้
นอกจากความสามารถในการคิดไอเดียต่างๆ จะถูกช็อตฟีลไปแล้วจากการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน อีกการศึกษาหนึ่งที่เผยแพร่ใน PLOS ONE วารสารวิทยาศาสตร์ที่ครอบคลุมงานวิจัยหลากหลายสาขาทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ก็ได้ระบุว่า “คนที่ทำงานหลายอย่างพร้อมกันนานๆ มีโอกาสที่จะมีความหุนหันพลันแล่นมากกว่าคนอื่น และมีความเสี่ยงในการจัดการอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งการควบคุมงาน ควบคุมอารมณ์ที่อาจถูกรบกวนได้ง่าย เพราะลองคิดภาพตาม ถ้าเราต้องพยายามทำหลายงานพร้อมกัน เพื่อให้เสร็จในเวลาที่กำหนดอย่างรวดเร็ว เราก็อาจขาดการคิดรอบด้าน หรือขาดความละเอียดในเนื้องาน เมื่อเป้าหมายของเรามีแต่การคิดว่าต้องเสร็จให้เร็ว และให้ทัน ซึ่งนั่นส่งผลต่อความเหนื่อยล้า และนำไปสู่บางอารมณ์ที่เราปฏิบัติต่อคนอื่นไม่ค่อยจะดีได้ด้วย”
เชื่อมโยงกับอีกการศึกษาที่ตีพิมพ์โดย Stanford University ที่พบว่า Multitasking สามารถส่งผลต่อสุขภาพจิตของเรา และเพิ่มความเครียดในชีวิตประจำวันได้ ไปจนถึงส่งผลต่อ Productivity ของเรา แรงขับเคลื่อนของเรา และอารมณ์ของเรา
“เมื่อคุณพยายามที่จะทำงานหลายอย่างพร้อมกัน มันอาจทำให้คุณเสียสมาธิได้ การที่เราจะทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างดี จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ คุณสามารถโฟกัสสิ่งหนึ่งได้อย่างเต็มที่จริงๆ” Dr.Becky Spelman นักจิตวิทยา กล่าว ซึ่งนั่นหมายถึง หากเราหลุดโฟกัส หรือไม่มีเวลาที่จะโฟกัสอะไรเลย ก็กลายเป็นว่าทำให้เราเสียเวลาและปวดหัวมากกว่าเดิมก็ได้
ดังนั้นแล้วการกลับมาสนใจและจัดลำดับความสำคัญของตัวเองจึงสำคัญมากๆ ใน Multitasking World แบบนี้