
Why Has Nobody Told Me This Before? : เรียนรู้ปัจจุบันขณะและการยอมรับความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่
“หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมชุดเครื่องมือที่ใช้กันโดยจิตแพทย์และนักจิตบำบัด...
ความสุข คืออะไร?
คนส่วนใหญ่มักมองหาความสุขในสิ่งใหญ่โต หรือความสุขที่แตกต่างออกไปจากชีวิตประจำวัน แต่ที่จริงแล้วความสุขอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
เรากำลังพูดถึง เซน (Zen) หรือที่หลายคนเรียกว่า วิถีแห่งเซน ปรัชญาเซน หรือนิกายเซน
อย่างที่ทราบกันว่า เซนเป็นแนวคิดที่มีจุดกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ที่ซึ่งประชากรในประเทศถูกยกย่องว่าเป็นประชากรที่มีคุณภาพ และอายุยืนที่สุด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการนำปรัชญาเซนมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
ปัจจุบันความนิยมของแนวคิดแบบเซนไม่ได้อยู่แค่ในญี่ปุ่น แต่ยังแผ่ขยายไปทั่วโลก รวมถึงสตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Apple ก็นำแนวคิดแบบเซนไปใช้ในการออกแบบสินค้า และปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
วันนี้เราจึงอยากชวนทุกท่ามาดูกันว่า คนทั่วไปอย่างเราจะค้นหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในวันปกติธรรมดาตามแนวคิดแบบเซนได้อย่างไร?
| แนวคิดแบบ ‘เซน’ (Zen) คืออะไร?
เซน เป็นแนวคิดหรือหลักคิดทางปรัชญาของคนญี่ปุ่นที่มีพื้นฐานจากพุทธศาสนานิกายมหายาน ที่มุ่งเน้นการฝึกสติและการทำสมาธิเพื่อให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของจิตใจ ธรรมชาติ และโลก โดยไม่ยึดติดกับความคิด ความรู้สึก หรือสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ
คุณคงเคยได้ยินมาบ้างว่ากิจกรรมที่เกี่ยวกับแนวคิดแบบเซนมักเป็นเรื่องวัฒนธรรมญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการชงชา การจัดดอกไม้ หรือการจัดสวนเซน
ซึ่งอาจฟังดูไกลตัวไปสักหน่อยสำหรับคนธรรมดาอย่างเรา
แต่หากถอดแนวคิดแบบเซนมาใช้
เราสามารถนำการตั้งสมาธิ จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อยกระดับจิตใจให้เท่าทันต่อการก่อตัวของความคิด
| ‘มีสติ ยอมรับ และปล่อยวาง’ 3 หลักการสำคัญของแนวคิดแบบเซน
แนวคิดแบบเซนที่เน้นไปถึงการกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ มีแนวคิดซึ่งต่อยอดเป็นหลักปฏิบัติอยู่ทั้งหมด 3 ประการ ได้แก่
| ชวนมาดูวิธีการสร้างความสุขแบบ ‘เซน’
มาถึงตรงนี้ คุณอาจยังไม่เห็นภาพว่าจะนำแนวคิดเซนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร แต่รู้หรือไม่ว่าคุณไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเป็นชั่วโมงก็เข้าถึงแนวคิดเซนได้
แค่ลองฝึกสังเกตตัวเองขณะทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะขณะกินข้าว เดินเล่น หรือทำงาน ลองทำสิ่งสิ่งนั้นโดยไม่คิดถึงเรื่องอื่น หรือลองสังเกตธรรมชาติรอบตัวก็ถือเป็นการฝึกเซนในรูปแบบหนึ่งแล้ว
เช่น การใช้แนวคิดแบบเซนในการเอาชนะความขี้เกียจในการทำงาน ต้องบอกว่าไม่ว่าจะเป็นงานไหนๆ ก็ต้องอาศัยแรงกายแรงใจ และความทุ่มเทที่มากกว่าแค่การพาตัวเองไปถึงที่ทำงาน หรือใช้สมองในการคิดโปรเจกต์
โดยธรรมชาติเราทุกคนต่างก็มีความขี้เกียจ หรือตื่นแล้วไม่อยากไปทำงาน อาจมีความคิดที่แวบขึ้นมาว่า แกล้งลาป่วยดีไหมนะ? และยิ่งต้านทานความขี้เกียจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งฝืนใจมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น อย่าแปลกใจหากพบว่า ตัวขี้เกียจจะกระโดดเกาะหลังคุณเข้าแล้ว
แล้วทีนี้เราจะเอาชนะความขี้เกียจได้อย่างไร?
โดยปกติแล้วเรามักคิดอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นการคิดที่บั่นทอนพลังงานจนบดบังวิถีแห่งเซน เช่น ทำไมต้องทำงาน งานนี้ไม่สนุกเลย ต้องทำอีกนานแค่ไหน ฯลฯ ความคิดเหล่านี้ยิ่งคิดก็ยิ่งสร้างพลังงานลบ ลองเปลี่ยนการใช้คำว่า ‘ต้องทำ’ เป็น ‘น่าทำ’ หรือ ‘อยากทำ’ ก็อาจช่วยให้คุณเข้าใกล้แนวคิดเซนมากขึ้น
แต่แน่นอนว่า พูดง่าย ทำยาก เพราะทันทีที่พูดถึงงาน เรามักนึกถึงความวุ่นวาย ปัญหาอุปสรรค และความเหนื่อยล้า เพื่อที่จะทำให้งานน่าทำยิ่งขึ้น ค่อยๆ หารายละเอียดของงานนั้นว่ามีอะไรน่าสนใจหรืออยากทำ เช่น เป็นงานที่พัฒนาจากไอเดียของคุณ ได้เจอคนใหม่ๆ หรือได้ร่วมงานกับทีมที่ไม่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน หากค้นพบแล้ว จะทำให้งานนั้นน่าทำมากขึ้น
อีกหนึ่งตัวอย่าง สิ่งที่หลายคนไม่อยากทำคือ ‘การซักผ้า’ แต่อาจลองปรับมุมมองที่ปกติแล้วเรามักจะนึกถึงกองผ้าสกปรกขนาดใหญ่ แต่อาจลองเปลี่ยนเป็นนึกถึงความสดชื่นและกลิ่นสะอาดหลังผ้าถูกซักแทนที่
ตอนได้กลิ่นหอมของผ้าหลังตากแดด หากนึกได้แบบนี้ก็ชวนให้คุณอยากซักผ้าขึ้นมาได้เช่นกันนะ นี่แหละคือวิธีคิดตามแนวทางของเซน
| แนวคิดแบบเซนดีอย่างไร?
จากข้อมูลข้างต้น นอกจากสุขภาพจิตจะดีขึ้นยังมีผลต่อสุขภาพกายอีกด้วย เช่น ลดความเครียด ช่วยให้นอนหลับสบาย และสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีต่อร่างกาย อีกทั้งการมีสติและความสงบจากเซน ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น
เพราะความสุขแบบเซนอาจอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด จากการลองเปิดใจและชื่นชมกับช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กในชีวิต มีสติหรือฝึกจิตใจให้สงบ ช่วยให้คุณสัมผัสกับความเรียบง่ายอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม แนวคิดแบบเซนอาจไม่ได้เป็นเป้าหมายปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่เราค้นพบความสุขได้ตลอดเวลา
Writer | เพ็ญทิพา ทองคำเภา
Illustrator | Arunnoon
“หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมชุดเครื่องมือที่ใช้กันโดยจิตแพทย์และนักจิตบำบัด...
เชื่อว่าหลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า ‘Empathy’ กันมาไม่น้อย โดยเฉพาะพักหลังมาคำนี้ก็ยิ่งทวีคูณการใช้บ่อยๆ ขึ้นในหลากหลายบริบท
หลายครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงเวลาที่เราอยากขมักเขม้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีและทำงานเสร็จสิ้นได้ตามเวลานั้น เหล่านั้นอาจเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่สมองและจิตใจของเราจะหลุดลอยล่องไปตามความคิดใหม่ๆ