The Present Move

จาก ‘อย่าเป็นฉันเลย’ สู่ ‘ผลิบาน’

The Present Move | Mindful Global Citizens

ชวนรู้จัก Uncle Ben ศิลปินที่ถ่ายทอดตัวตนผ่านเสียงเพลง

“ให้หัวใจที่เป็นแผลได้หายดี
ตอนนี้อ่อนแอบ้างไม่เป็นไร”

“ให้น้ำตาปลอบหัวใจ”

ประโยคจากท่อนเพลงนี้ชวนให้ผู้เขียนหยุดหนึ่งวินาที เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังพิมพ์งานอยู่ในยามบ่ายวันอาทิตย์ ก่อนที่จะสลับแท็บหน้าจอไปดูว่า Spotify สุ่มเพลงอะไรมาให้ฟัง

‘ผลิบาน’ โดยศิลปิน Uncle Ben คือชื่อของเพลงนั้น ด้วยท่วงทำนองที่ฟังสบายๆ ประกอบกับโทนเสียงนุ่มๆ และเนื้อเพลงที่บอกเล่าอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เราย้อนกลับไปฟังเพลงนี้อย่างตั้งใจอีกครั้ง และอีกครั้ง ก่อนที่จะรู้สึกปล่อยวางและชุบชูใจไปพร้อมๆ กัน เพราะเนื้อเพลงที่ว่านั้นช่างปลอบประโลมหัวใจเราได้ในวันนี้เหลือเกิน

ผู้เขียนรู้จักกับ Uncle Ben ครั้งแรกจากเพลง ‘อย่าเป็นฉันเลย’ (Tyrion) เมื่อราวสองปีที่แล้ว และเห็นชื่อวงผ่านๆ อยู่บ่อยครั้ง หากแต่ไม่เคยฟังเพลงเขาอย่างจริงจัง และเมื่อได้พบกับเพลง ‘ผลิบาน’ จากการที่อัลกอรึทึมนำพาโดยบังเอิญจึงเกิดสนใจขึ้นมา ว่าเพราะอะไรวงอินดี้ที่ขึ้นชื่อเรื่องเพลงอกหักจึงเปลี่ยนแนวทางกลับมาทำเพลงแนวๆ รักตัวเองเพื่อส่งต่อพลังบวกและให้กำลังใจกับทุกคนที่ผ่านมาแทน

ไม่รอช้า เราจึงได้ติดต่อขอสัมภาษณ์กับ Uncle Ben เพื่อชวนคุยถึงการปรับมุมมองและการถ่ายทอดพลังบวกผ่านเสียงดนตรีภายในไม่กี่วันถัดจากนั้น และเป็นความโชคดีที่ทางวงพอจะมีเวลาว่างมาพูดคุยกัน นั่นจึงเกิดเป็นบทสนทนาอันน่าประทับใจในวันนี้ขึ้นมา

วันนี้ผู้เขียนจึงขอนำพาผู้อ่านทุกท่านไปรู้จักกับพวกเขา Uncle Ben ให้มากยิ่งขึ้น ผ่านการพูดคุยตั้งแต่ความเป็นมาของวง แนวทางการทำเพลงผ่านการเล่าเรื่องที่รีเลทง่ายกับชีวิตประจำวัน ตัวตนของแต่ละช่วงวัยและการตระหนักถึงปัจจุบันขณะในการถ่ายทอดทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และข้อความบางอย่างที่อยากส่งต่อไปถึงผู้คนโดยที่มีบทเพลงเป็นตัวเชื่อมเราเข้าไว้ด้วยกัน

ตัวตนและเรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไร

การที่นำเอาความเจ็บปวดหรือความผิดพลาดบางอย่างของเรามาถ่ายทอดนั้นจะเป็นไปแบบไหน

และมันจะเป็นอะไรไหม? หากเราหยิบยกตัวตนบางอย่างของเรา ทั้งดีและไม่ดี ทั้งที่งดงามและยุ่งเหยิงออกมาถ่ายทอดเพื่อส่งต่อกำลังใจให้กับทุกๆ คนที่ผ่านเข้ามา

ทั้งหมดนี้หาคำตอบได้ที่บทสัมภาษณ์ฉบับนี้

ช่วยแนะนำตัวเองให้เรารู้จักหน่อยได้ไหม

นับ : ผมนับ ร้องนำ
อดิ๊บ : อดิ๊บ เล่นกีตาร์
นอร์ธ : นอร์ธ เล่นเบส
บาส : บาส ตีกลอง

จุดเริ่มต้นของวงมีความเป็นมาอย่างไร เพราะอะไรคุณทั้ง 4 คนจึงมารวมตัวกันได้

นับ : ให้เลือกครับว่าอยากฟังคนไหน
บาส : (ชี้ไปทางซ้าย) อดิ๊บก็ได้ครับ
อดิ๊บ : ได้ครับ เรามาจากโรงเรียนมัธยมเดียวกัน ผมกับบาสเป็นเพื่อนกันและทำวงดนตรีด้วยกัน ชื่อ ยายจ๋า ส่วนพี่นับกับพี่นอร์ธเป็นรุ่นพี่ประมาณ 4 ปี
นับ : ผมกับนอร์ธก็ทำวงด้วยกันตอนนั้นชื่อ แมวเหมียวโหม่งโลก ซึ่งมีการประกวดดนตรีและเราได้กลับมาเป็นกรรมการเลยได้เจอบาสกับอดิ๊บ ด้วยแนวทางที่ลงตัวกันหลายๆ อย่างเลยทำให้เรามาเล่นดนตรีด้วยกันดู จนฟอร์มเป็นวงขึ้นมา
นอร์ธ : แรกๆ ก็เริ่มจากการ Cover เพลงก่อนในห้องซ้อมกันขำๆ
นับ : แล้วก็มันส์นะ จนจุดเปลี่ยนคือได้เข้าร่วมโครงการ  ‘TK band’ โครงการประกวดดนตรีจากอุทยานการเรียนรู้ TK park ทำให้เราเริ่มจริงจังกันมาและเริ่มเติบโตมาเรื่อยๆ

ตอนนั้นที่ได้ทำเพลงวงตัวเองครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง มีแรงบันดาลใจในการคิดเพลงอย่างไร

นับ : ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไรเยอะแค่เอาเท่าที่มีไปก่อน ยังไม่ได้ตกตะกอนว่าวงเราจะชื่ออะไร ทำเพลงแนวไหน แต่งเพลงจากการตีคอร์ดแบบเบสิกสุดๆ เนื้อหาก็เป็นเรื่องพื้นๆ ความรักในช่วงนั้น เลยเป็นอะไรที่ยังแบนๆ
นอร์ธ : จริงๆ ตอนประกวด TK park ยังมีความงงอยู่ แต่ว่าก็เป็นโอกาสที่ดีมากที่พวกเราทุกคนได้ลองทำเพลงแบบจริงจัง ได้เข้าห้องอัดเพลงแบบมืออาชีพ
นับ : หลังจากนั้นเริ่มมาจริงจังและเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นตอนเข้าร่วมโปรเจกต์ GOOD HOPE music academy ซึ่งตอนนั้นจึงเกิดเป็นเพลง ‘แสงไฟ’ ซึ่งเนื้อหาว่าด้วยความรักใสๆ วัยรุ่นไปคอนเสิร์ตแล้วได้เจอกับคนที่ชอบในคอนเสิร์ต อารมณ์แบบ เจอกี่ทีก็มีดนตรีกับเธอ (ยิ้ม)
นอร์ธ : ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดพอดี วงก็เงียบๆ ไป แต่นับเขาแต่งเพลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วง TK park ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเพลง อย่าเป็นฉันเลย (Tyrion) ที่หลายคนน่าจะรู้จักกัน เป็นเพลงที่เราหยิบมาแสดงอยู่บ้าง แล้วพอดีมีเพื่อนทักมาถามว่า “ยังทำวงอยู่ไหม เพลงนี้อยากฟังนะ” วงเลยหยิบเพลงนี้มาทำกันช่วงกักตัว

“เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีความรัก
ฉันจะต้องเป็นคนที่เสียใจ
ไม่ว่าใครก็ทำกับฉันอย่างนี้ เสมอไป เมื่อได้สิ่งที่เขาต้องการ
ฉันไม่อาจจะมีความรัก
ไม่มีเหลืออีกแล้วสิ่งนั้นกับใคร
อย่าเป็นคนที่ทำร้ายฉันคนต่อไป
อย่าเป็นฉันเลย”

อย่าเป็นฉันเลย (Tyrion) หนึ่งในเพลงดังของวง ซึ่งเป็นเพลงที่เศร้ามาก ตอนนั้นที่แต่งรู้สึกอย่างไรบ้าง

นับ : เหมือนไม่รู้เราซวยอะไรของเรา ตอนนั้นเวลาคุยกับใคร ชอบใคร มันไม่เคยลงเอยด้วยอะไรดีๆ เลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเราหรือเป็นเพราะใคร… เลยรู้สึกประมาณว่า “กูอีกแล้วเหรอวะ” 

(เพื่อนๆ ในวงแซวว่าเสียงสั่น นับนิ่งไปสักครู่ก่อนจะพูดต่อ)

นับ : เหมือนมันเจออะไรซ้ำๆ จนรู้สึกว่าเราทำอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่าเลยต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ ความรู้สึกมันโทษตัวเองไปหมด เป็นเพลงที่เอาพลังลบๆ ของเราออกมาเยอะมาก โดยเล่าในมุมที่ตอนนั้นเราไม่ค่อยให้ค่าตัวเองเท่าไร
นอร์ธ : เหมือนเป็นการปลดปล่อย
อดิ๊บ : ต้องบอกก่อนว่าเพลงนี้เวอร์ชันแรกมันหนักหน่วงมาก หนักกว่าเวอร์ชันที่ปล่อยออกไปอีก แต่สุดท้ายเราก็ช่วยกันทำให้เพลงซอฟต์ลงจนกลายมาเป็นที่ทุกคนได้ฟังกัน

แต่เพลงถัดๆ มาหลังจากนั้นของวงก็ดูสดใสขึ้น เช่นอย่างเพลง ‘โตไปด้วยกัน’

อดิ๊บ : เมสเสจสำหรับเพลงนี้มาจากพี่นับแต่งเพราะอยากขอบคุณแฟนเพลงมากกว่า เพราะเป็นช่วงที่วงกำลังเติบโต พวกเราเลยอยากมอบเพลงขอบคุณแฟนเพลงซึ่งเพลงนี้เหมือนตัวแทนของเรา ขอบคุณที่ยังอยู่กับเรา แล้วก็อยากบอกว่าวงเราไม่ได้เศร้าขนาดนั้นด้วยครับ (หัวเราะ)
นับ : จริงๆ เบื้องหลังเพลงนี้ซ่อนอะไรหลายอย่างอยู่เหมือนกัน เช่น เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากศิลปินอิสระมาเป็นวงที่มีค่าย ก็จะซ่อนเมสเสจประมาณว่า “เฮ้ย เรามาโตไปด้วยกันนะ” บอกหลายๆ คนที่ยังอยู่ในชีวิตเรา ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

Uncle Ben ปล่อย EP.แรกมาในชื่อของ ‘Sundown’ ซึ่งเพลง อย่าเป็นฉันเลย ก็อยู่ใน EP. นี้ด้วย ช่วยเล่าถึง EP. นี้ให้ฟังหน่อยได้ไหม

นับ : ช่วงแรกที่เริ่มทำเพลง เราแต่งทีละเพลงเลยอาจยังไม่ได้เป็นคอนเซปต์เหมือนเพลงที่เพิ่งออกช่วงหลัง แต่เหตุผลที่ตั้งชื่อ EP.ว่า Sundown เพราะว่าพระอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ของความสดใส แต่เพลงของเราครึ่งหนึ่งในอีพีนี้เป็นเพลงที่เศร๊าเศร้า ตอนแรกมีความคิดจะตั้งเป็น ‘Sun drown’ (พระอาทิตย์จมน้ำ) ด้วย  อยากเปรียบว่า คนที่สดใสในบางครั้งก็มีช่วงเวลาที่จมดิ่ง แต่มันจะขึ้นมาใหม่ได้ในเช้าวันพรุ่งนี้ ไม่ได้จมตลอดไป
นอร์ธ : แต่สุดท้ายก็เคาะด้วยชื่อ Sundown ตามอาการของชื่อนี้จริงๆ ที่หมายถึงเวลาที่คนเห็นพระอาทิตย์ตกดินแล้วจะรู้สึกเศร้า

การทำงานของพวกคุณใน EP. นี้เป็นอย่างไร ด้วยความที่ในตอนนั้นเองทางวงก็เริ่มเข้ามาเป็นศิลปินในค่าย MILK! (What The Duck) ด้วย

ทั้งวง : ก็ยังเหมือนเดิม จนตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม
บาส : ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนไปอาจเป็นเรื่องของคุณภาพในเชิงอุปกรณ์และสถานที่มากกว่า เมื่อก่อนเราอัดเพลงกันที่บ้าน ในตู้เสื้อผ้า
นับ : แต่วิธีคิดเพลงยังออกมาจากเราทั้ง 4 คนเหมือนเดิม ผมคิดประเด็นหรือเนื้อหามา 3 คนเอาไปทำดนตรีต่อ เรายังทำงานกันเหมือนเดิมแต่อาจจะมีสลับกันบ้าง มีดนตรีขึ้นก่อนบ้าง

วิธีการเขียนเพลงของคุณนับมักเริ่มจากอะไร

นับ : ผมมักจะคิดเนื้อเพลงได้จากแวบแรกที่ตื่นนอน เป็นแนวตื่นขึ้นมาแล้วสมองแล่น คือทุกเพลงใน EP.Sundown ผมแต่งตอนหลังจากตื่นนอนหมดเลยไม่รู้ทำไม อย่างเพลง อย่าเป็นฉันเลย ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะตื่นมาตอนเช้าอย่างสดใส แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนสมองรุงรัง (หมายถึงว่าพรั่งพรูเหรอ? – เราถาม) ไม่ใช่พรั่งพรูแต่ออกแนววุ่นวายมากกว่า แล้วก็เป็นคนที่การนอนหลับและการตื่นนอนไม่ค่อยดี แบบตื่นมาแล้วสมองมันคิดนู่นนี่เลยทันที ซึ่งในช่วงนั้นเองผมคงจะมีอะไรในใจอยู่พอสมควร

คิดว่าการทำเพลงสักเพลงคล้ายกับ ‘การเล่าเรื่อง’ อะไรสักอย่างหนึ่ง รวมถึงเป็นการได้แสดงตัวตนของเราออกไปไหม

นอร์ธ : แน่นอนว่าทุกเพลงคือการเล่าเรื่อง เราคิดอยู่แล้วว่าเราทำเพลงนี้เพื่ออยากจะสื่อถึงอะไร
นับ : สำหรับผมเองมันตลอดเวลาอยู่แล้ว เหมือนพอเป็นคนเขียนเรื่องชีวิตหรือความรู้สึก มันเลยเหมือนได้รู้สึกตลอดเลยเวลาได้เขียนออกมา
อดิ๊บ : คล้ายกันครับ อย่างดนตรีส่วนหนึ่งมันก็มาจากที่เราฟังๆ มาแล้วพอถึงเวลาที่เราต้องสร้างของเราเองแล้วเราทำมันออกมาได้ก็รู้สึกดีใจที่เห็นดนตรีมีชีวิต
บาส : ของผมมันรู้สึกว่า เฮ้ย เสียงนี้มาไงวะ คิดได้ไงวะ อาจจะเป็นคำว่าภูมิใจมากกว่า
นับ : ตอนเสร็จอาจจะแค่ดีใจที่ได้พูดได้ทำสิ่งที่อยากออกไป แต่ผมว่าตอนที่มันไปถึงคนแล้วจริงๆ แล้วได้เห็นว่าเขารู้สึกไปกับเพลง เพลงนี้เป็นสิ่งที่เขาให้ความหมาย มันจะเป็นอีกสเต็ปหนึ่งเลยเวลาได้รับฟีดแบ็กจากผู้ฟัง
นอร์ธ : ซึ่งเหล่านี้ทำให้เราได้เห็นอีกหลายมุมที่อาจจะต่างออกไปจากมุมของพวกเราเช่นกัน

พอได้รับฟีดแบ็กว่าเพลงของเราก็สื่อสารและทำงานกับผู้คนอยู่เหมือนกัน คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

นับ : เคยมีคนมาบอกทั้งว่า เพลงนี้มีความหมายกับเขา เพลงนี้ช่วยให้เขานอนหลับได้ หรือเพลงเหล่านี้มันช่วยอะไรบางอย่างในชีวิตของเขาได้ ตรงนี้เป็นอะไรที่เรายินดีมากเลยเพราะในหลายครั้งเวลาเราเขียนเนื้อเพลงสักเพลง เราอยากบอกเขาว่าเรารู้สึกว่าเราเข้าใจเขานะแต่ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร เราเลยถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงมากกว่า หรือว่าเวลามีใครมาบอกเล่าความรู้สึกก็จะรับฟังตลอดถึงแม้ว่าจะไม่กล้ารับปากว่าเราจะช่วยเหลืออะไรเขาได้ แต่ก็อยากรับฟังและให้กำลังใจ

แล้วพอความรู้สึกมันท่วมท้นเลยส่งผลให้อยากทำเพลงให้ดีและสื่อสารมากขึ้นด้วยไหม

นับ : ถ้าสำหรับผมคือใช่ จนในบางครั้งอาจจะรู้สึกมากเกินไปด้วย มีช่วงที่ผมแต่งเพลงให้กำลังใจคนเยอะมาก เขียนจนโดนแซวว่าจะไม่พูดเรื่องอื่นแล้วใช่ไหม แต่ผมรู้สึกว่าถ้าเราสามารถทำอะไรบางอย่างให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นได้ก็อยากทำ อยากให้เพลงสามารถเป็นเพื่อนที่ช่วยเขาได้ก็ยังดี

พวกคุณคิดว่าในช่วงนั้นที่เปลี่ยนแนวทางเพลงถือเป็นการ ‘ปรับมุมมอง’ กับความเศร้า ความผิดหวังในชีวิตของคุณเองด้วยไหม

นับ : ส่วนหนึ่งก็ใช่ อีกส่วนหนึ่งคือเมื่อเราได้เจอคนเยอะๆ ก็ได้รู้ว่ามีอีกหลายคนมากที่ชีวิตเขาไม่ได้ราบรื่น บางทีเราเห็นบางคนยังใส่ชุดนักเรียนแต่มายืนร้องไห้กับเพลงเศร้าแล้ว 

เรารู้สึกว่าโลกมันอาจใจร้ายและคนที่ต้องการกำลังใจยังมีอีกเยอะมากๆ เราไม่ได้เป็นหมอ ไม่ได้เป็นครอบครัว ไม่ได้เป็นคุณครู ไม่ได้เป็นเพื่อนของเขา แล้วนักดนตรีอย่างเราพอจะทำอะไรได้บ้าง ก็ทำได้แต่แต่งเพลง เลยใช้ตรงนี้เป็นสิ่งที่จะช่วยเหลือและส่งต่อมวลพลังงานดีๆ แทนแล้วกัน เพลงนี้ที่อาจจะช่วยเขาในสักวันหนึ่งที่เขาต้องการ

ซึ่งเหตุการณ์นั้นส่งผลพอสมควรกับคนเขียนเพลง เหมือนกับให้เราทบทวนตัวเองมากขึ้นไปด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Uncle Ben จะไม่ทำเพลงเศร้าแล้วนะ เราก็ยังทำอยู่แต่ทำด้วยความรู้สึกว่าเป็นเพลงเศร้าที่เข้าใจมากขึ้น คือเล่าด้วยความคิดบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม 

มาถึง EP. ถัดมาที่ชื่อว่า ‘Uncle’s Closet’ ซึ่งเป็นทั้งอีพีที่ 2 และเป็นอีพีล่าสุดของวง อาจเรียกได้ว่าเพลงมีความหลากหลายและมีความร้อยเรียงบางอย่างมากขึ้น ช่วยเล่าถึงตู้เสื้อผ้าของคุณลุงในมุมของพวกคุณให้ฟังหน่อยได้ไหม

นอร์ธ : ตอนที่เริ่มทำอีพีนี้เราไปทะเลกัน เป็นการย้ายที่ทำเพลงไปเข้าแคมป์ข้างนอกครั้งแรกของพวกเราเหมือนกัน ปกติเรามักจะทำเพลงในสตูดิโอที่บ้าน แต่พอลองออกไปเช่าห้องริมทะเลแล้วทำเพลงยาวๆ กันประมาณ 4 วันก็สนุกดี ได้เค้าโครง ได้เดโมของหลายๆ เพลง แล้วก็ยังได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ
นับ : จริงๆ เรามีเพลง ดอกไม้แห้ง ที่ปล่อยเป็นเพลงแรกออกไปก่อนที่จะเริ่มทำอีพี เราหัวเลี้ยวหัวต่อกันประมาณหนึ่งว่าจะทำอัลบั้มเต็มไหมหรือจะมีแนวทางอย่างไร แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจตัดเพลงก่อนหน้าออกไปหมดเลย ไม่ได้เอามารวมกันในอีพีนี้ เช่น โปรด (ดูแลฉันด้วยใจที่อ่อนโยน), เปลี่ยนไปแล้วทุกอย่าง และ ไม่มีความหมายเลย (none)
อดิ๊บ : เพลง ดอกไม้แห้ง เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า ‘ลุง’ ที่ชัดเจนหลายๆ อย่างจนกลายมาเป็นคอนเซปต์ที่ชัดขึ้น
นับ : เลยคุยกันว่าลองมาทำอะไรให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไหม เสียง ภาพ ความหมาย ให้มันอยู่ในตู้เสื้อผ้าอันนี้ เลยออกมาเป็นภาพที่ย้อมผมหัวหงอก แต่งตัวแบบโบราณๆ  ใส่สูทเก่าๆ ดนตรีก็เอาพวกเสียงสังเคราะห์ออกหมดเลยเหลือแค่เปียโน กีตาร์ ออร์แกน ฟลุต และเสียงร้องของคนก็พอ ให้มัน Old School สุดๆ

นอกเหนือไปอย่างเรื่องที่อยากเล่ากับคอนเซปต์ที่อยากสื่อแล้ว การทำงานใน EP.Uncle’s Closet ยังเป็นการเล่าถึง ‘มุมมอง’ และ ‘ตัวตน’ ของวงไหม

บาส : ของผมเป็นนะ เวลาทำเพลงสำหรับผมมันเหมือนเอาตัวเรา เอาความชอบของเรา สิ่งที่เราได้ยินและอยากสื่อในแบบของเรามาเล่าให้คนอื่นฟัง
นอร์ธ : รู้สึกเหมือนกันครั้ง ในอีพีนี้เองจะมีเพลงหนึ่งที่ชื่อ ด้วยรักและผูกพัน (ด้วยรักและคิดถึง! – ทั้งวงตะโกนพร้อมกัน) ใช่ครับ ด้วยรักและคิดถึง ตอนนั้นนับเขียนเนื้อมาก่อนแล้วอดิ๊บก็คลำๆ กีตาร์จนได้อินโทรมา แล้วเราทุกคนก็รู้สึกว่าใช่เลย ตอนนั้นผมรู้สึก flashback กลับไปตอนทำเพลง อย่าเป็นฉันเลย ที่อดิ๊บขึ้นกีตาร์แบบนั้นแล้วรู้สึกว่ามันอ่อนแอ เพลงนั้นมันเลยรู้สึกว่าเป็นเพลงที่อ่อนแอ กลับมาที่เพลง ด้วยรักและคิดถึง ตอนนั้นมันรู้สึกโหยหาอะไรบางอย่าง

การที่ต้องแกะ ‘ตัวตน’ ของเราเองออกมาทำเพลง ซึ่งมันมีทั้งดี-ไม่ดี สุข-ทุกข์ อ่อนแอ หรือกระทั่งมีความยุ่งเหยิงบางอย่างผสมปนเปกันไป เหล่านี้คุณมีความกังวลอะไรบ้างไหมเวลาที่ต้องถ่ายทอดออกไป

นอร์ธ : สำหรับเราอาจจะเป็นตอนแสดงสดมากกว่า มีรุ่นพี่คนหนึ่งเคยพูดด้วยว่า “มึงต้องเชื่อในเพลง มึงต้องส่งให้คนดูว่ามึงทำเพลงนี้ มึงรู้สึกถึงเพลงนี้จริงๆ”
นับ : การเปิดเผยความอ่อนแอของเราออกไปสำหรับผมมันไม่เป็นไรเลย อาจจะด้วยรู้สึกแบบ เออ เราอาจจะไม่ได้เป็นคนเดียวมั้ง คนที่ชอบเพลงนี้เขาก็อาจจะเข้าใจเราด้วยเหมือนกัน อย่างเพลง ผลิบาน ก็อาจจะรู้สึกว่าแบบเห็นไหมคนนี้เศร้า เราไปบอกเขากันเถอะว่า “ร้องไห้ได้ อ่อนแอได้นะ ไม่เป็นไรเว้ย ร้องไห้ก็ร้องไห้” คล้ายกับหนังเรื่อง Inside Out เลยครับ ความเศร้ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับ ณ ตอนนั้น ในเมื่อโลกมันเล่นกับเราแบบนี้ การร้องไห้ก็อาจเป็นวิธีเดียวที่ปลดปล่อยให้ร่างกายไม่ระเบิดออกมา ความสุขก็เช่นกัน เราร้องเพลงไปมันก็สัมผัสได้ว่ามีคนที่เจอเรื่องคล้ายๆ เราและเข้าใจเรามากขึ้น

หากท้องฟ้ายังระบายเป็นสายฝน
โปรยให้ดอกไม้ผลิบาน
ก่อตัวเป็นรุ้งสวยงาม
ให้หัวใจที่เป็นแผลได้หายดี
ตอนนี้อ่อนแอบ้างไม่เป็นไร
ให้น้ำตาปลอบหัวใจ”

เพลง ผลิบาน คุณอยากบอกอะไรกับคนฟัง

นอร์ธ : ตอนฟังเพลงนี้ครั้งแรกเรารู้สึกว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ Positive มากๆ เป็นเพลงที่เราก็ชอบและชอบทุกครั้งที่ได้แสดงสด แล้วเราก็ดีใจนะเวลาที่ใครมาบอกว่าเพลงนี้มีความหมายกับเขา แล้วเวลาแสดงสดก็จะมีช่วงที่แฟนๆ ร้องตาม ตอนนั้นรู้สึกเหมือนมันรู้สึกมีเพื่อนราวกับว่าเป็นการที่ทั้งให้ รับ และส่งต่อพลังบวกตรงนั้นแก่กัน
บาส : สำหรับบาสเหมือนเป็นการส่งกอด มอบกำลังใจให้
อดิ๊บ : ชอบท่อนฮุคเป็นพิเศษ เพราะรู้สึกว่ามันคือเรื่องธรรมดาหมดเลยที่พี่นับเขียนออกมา แต่ว่ามันทำให้ทุกคนมองได้เหมือนกันว่าเรื่องธรรมดาเหล่านี้มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่หว่า มันคือเรื่องปกติที่จะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วด้วย
นับ : ผมเสริมท่อนสุดท้ายแล้วกัน “หมู่ดอกไม้งามแย้มบานเมื่อฝนซา ดาวบนฟ้าพร่างพราวแม้เดียวดาย แค่ระบาย ให้ใจที่สลายได้คืนกลับมา” อยากบอกว่า การร้องไห้มันไม่ได้ผิดอะไร แล้วสุดท้ายเรื่องทุกอย่างจะผ่านไป หรือถึงแม้สุดท้ายเรื่องราวทุกอย่างจะยังไม่ผ่านไป หรือเราจะต้องอยู่ตัวคนเดียว มันก็ไม่เป็นไร สุดท้ายแล้วจะสุขหรือเศร้าก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เราสามารถเป็นคนที่ให้กำลังใจหรือบอกกับตัวเองให้ผ่านเรื่องราวทุกอย่างได้ ไม่มีใครเข้าใจเราก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยตัวเราก็ยังมีตัวเรา

การทำเพลงตามความรู้สึกในปัจจุบันขณะจนออกมาเป็นแต่ละเพลงที่ถ่ายทอดออกมา คิดว่าสิ่งเหล่านี้มีเสน่ห์อย่างไร

นับ : มันมีความเป็นส่วนตัว (Personal) บางอย่างอยู่ ในบางครั้งพอเราแต่งเพลงจากจินตนาการ หรือเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเราทั้งหมดก็อาจมีความรู้สึกที่ว่า “นี่เรากำลังเล่าเรื่องใครอยู่” แต่พอหยิบเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราจริงๆ ออกมา มันคล้ายกับการถ่ายทอดออกมาผ่านไดอารี่ว่าตอนไหนเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ ไม่ใช่แค่ความเศร้า แต่ยังรวมไปถึงความสุข ความรัก คล้ายกับว่าเป็นประวัติศาสตร์ของชีวิต

ทำเพลงมาสักพักแล้ว ใช้ชีวิตมาก็ไม่น้อย ด้วยความที่เสียงเพลงสัมพันธ์กับตัวตน คุณคิดว่าเราได้เรียนรู้หรือมีบทเรียนอะไรสักอย่างจากการทำเพลงไหม

นอร์ธ : ตั้งแต่เด็กๆ เราชอบไปดูการแสดงดนตรีอยู่แล้ว พอมาถึงวันที่เราต้องเป็นฝ่ายถ่ายทอดออกไป เราก็อยากจะถ่ายทอดกับคนดูให้เขาเชื่อว่าเรารู้สึกกับเพลงนี้จริงๆ ในแบบที่เขาเองก็รู้สึก
บาส : สำหรับบาสเป็นการเรียนรู้ที่จะให้ และเป็นการใส่ใจกับอะไรบางอย่างมากขึ้น
อดิ๊บ : ของผมเป็นการเห็นคุณค่าของอะไรเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว ทุกอย่างมันมีเรื่องราวของมัน 
นับ : ตลอดชีวิตผมที่อยู่กับเพลงตลอดเวลา ทำงานกับมันด้วย มันเลยสอนเราหลายเรื่องมากๆ ทั้งคุณค่า การตั้งความคาดหวัง และอื่นๆ อีกมากมายไม่รู้จบ แต่ที่สำคัญที่สุดคงเป็นการที่ดนตรีได้พาเราไปเจอเรื่องราวและผู้คนต่างๆ และมันคือทุกช่วงเวลาไปแล้ว ซึ่งเราคงมีการเปลี่ยนแปลงอะไรกันไประหว่างทาง ความคิดในการทำเพลงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดนตรีก็ยังลองผิดลองถูกได้ตลอด แต่เราก็พยายามเก็บสิ่งที่สำคัญเอาไว้

มีอะไรอยากฝากไหมก่อนที่เราจะจากกัน

นับ : ไม่อยากจากกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องจากกัน เรายังอยู่เสมอ เปิด Spotify, YouTube หรือใดๆ ก็เจอกันได้ตลอดเวลา เรายังไม่ร่ำลากัน เราจะอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ
นอร์ธ : ขอให้เพลงของพวกเราโอบกอดทุกคนเสมอครับ
บาส : ทุกคนพูดไปหมดแล้ว หันมาก็เจอลุงๆ อยู่ในสตรีมมิง
อดิ๊บ : ผมก็ขอบคุณเช่นกันครับ ได้มาแชร์อะไรแบบนี้แล้วรู้สึกดีที่ได้ทำตัวมีประโยชน์กับเขา (ขำ) ขอบคุณครับ

Personal Color ​เรื่องราวของ ‘สี’ ที่สัมพันธ์กับความมั่นใจ และ ‘ตัวตน’ อาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องค้นหาแต่เป็นการ ‘สร้างขึ้นมา’ 

เรื่องของ ‘สี’ มักเป็นอะไรที่สามารถลองนู่นนี่หรือเรียนรู้ได้ตลอดเวลาอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากการจะเจอ ‘สีที่ชอบ’ แล้ว สิ่งที่หลายคนอาจมองหาคือ ‘สีที่เหมาะสม’ กับตัวเองอีกด้วย