การทำงานของพวกคุณใน EP. นี้เป็นอย่างไร ด้วยความที่ในตอนนั้นเองทางวงก็เริ่มเข้ามาเป็นศิลปินในค่าย MILK! (What The Duck) ด้วย
ทั้งวง : ก็ยังเหมือนเดิม จนตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม
บาส : ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนไปอาจเป็นเรื่องของคุณภาพในเชิงอุปกรณ์และสถานที่มากกว่า เมื่อก่อนเราอัดเพลงกันที่บ้าน ในตู้เสื้อผ้า
นับ : แต่วิธีคิดเพลงยังออกมาจากเราทั้ง 4 คนเหมือนเดิม ผมคิดประเด็นหรือเนื้อหามา 3 คนเอาไปทำดนตรีต่อ เรายังทำงานกันเหมือนเดิมแต่อาจจะมีสลับกันบ้าง มีดนตรีขึ้นก่อนบ้าง
วิธีการเขียนเพลงของคุณนับมักเริ่มจากอะไร
นับ : ผมมักจะคิดเนื้อเพลงได้จากแวบแรกที่ตื่นนอน เป็นแนวตื่นขึ้นมาแล้วสมองแล่น คือทุกเพลงใน EP.Sundown ผมแต่งตอนหลังจากตื่นนอนหมดเลยไม่รู้ทำไม อย่างเพลง อย่าเป็นฉันเลย ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะตื่นมาตอนเช้าอย่างสดใส แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนสมองรุงรัง (หมายถึงว่าพรั่งพรูเหรอ? – เราถาม) ไม่ใช่พรั่งพรูแต่ออกแนววุ่นวายมากกว่า แล้วก็เป็นคนที่การนอนหลับและการตื่นนอนไม่ค่อยดี แบบตื่นมาแล้วสมองมันคิดนู่นนี่เลยทันที ซึ่งในช่วงนั้นเองผมคงจะมีอะไรในใจอยู่พอสมควร
คิดว่าการทำเพลงสักเพลงคล้ายกับ ‘การเล่าเรื่อง’ อะไรสักอย่างหนึ่ง รวมถึงเป็นการได้แสดงตัวตนของเราออกไปไหม
นอร์ธ : แน่นอนว่าทุกเพลงคือการเล่าเรื่อง เราคิดอยู่แล้วว่าเราทำเพลงนี้เพื่ออยากจะสื่อถึงอะไร
นับ : สำหรับผมเองมันตลอดเวลาอยู่แล้ว เหมือนพอเป็นคนเขียนเรื่องชีวิตหรือความรู้สึก มันเลยเหมือนได้รู้สึกตลอดเลยเวลาได้เขียนออกมา
อดิ๊บ : คล้ายกันครับ อย่างดนตรีส่วนหนึ่งมันก็มาจากที่เราฟังๆ มาแล้วพอถึงเวลาที่เราต้องสร้างของเราเองแล้วเราทำมันออกมาได้ก็รู้สึกดีใจที่เห็นดนตรีมีชีวิต
บาส : ของผมมันรู้สึกว่า เฮ้ย เสียงนี้มาไงวะ คิดได้ไงวะ อาจจะเป็นคำว่าภูมิใจมากกว่า
นับ : ตอนเสร็จอาจจะแค่ดีใจที่ได้พูดได้ทำสิ่งที่อยากออกไป แต่ผมว่าตอนที่มันไปถึงคนแล้วจริงๆ แล้วได้เห็นว่าเขารู้สึกไปกับเพลง เพลงนี้เป็นสิ่งที่เขาให้ความหมาย มันจะเป็นอีกสเต็ปหนึ่งเลยเวลาได้รับฟีดแบ็กจากผู้ฟัง
นอร์ธ : ซึ่งเหล่านี้ทำให้เราได้เห็นอีกหลายมุมที่อาจจะต่างออกไปจากมุมของพวกเราเช่นกัน
พอได้รับฟีดแบ็กว่าเพลงของเราก็สื่อสารและทำงานกับผู้คนอยู่เหมือนกัน คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
นับ : เคยมีคนมาบอกทั้งว่า เพลงนี้มีความหมายกับเขา เพลงนี้ช่วยให้เขานอนหลับได้ หรือเพลงเหล่านี้มันช่วยอะไรบางอย่างในชีวิตของเขาได้ ตรงนี้เป็นอะไรที่เรายินดีมากเลยเพราะในหลายครั้งเวลาเราเขียนเนื้อเพลงสักเพลง เราอยากบอกเขาว่าเรารู้สึกว่าเราเข้าใจเขานะแต่ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร เราเลยถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงมากกว่า หรือว่าเวลามีใครมาบอกเล่าความรู้สึกก็จะรับฟังตลอดถึงแม้ว่าจะไม่กล้ารับปากว่าเราจะช่วยเหลืออะไรเขาได้ แต่ก็อยากรับฟังและให้กำลังใจ
แล้วพอความรู้สึกมันท่วมท้นเลยส่งผลให้อยากทำเพลงให้ดีและสื่อสารมากขึ้นด้วยไหม
นับ : ถ้าสำหรับผมคือใช่ จนในบางครั้งอาจจะรู้สึกมากเกินไปด้วย มีช่วงที่ผมแต่งเพลงให้กำลังใจคนเยอะมาก เขียนจนโดนแซวว่าจะไม่พูดเรื่องอื่นแล้วใช่ไหม แต่ผมรู้สึกว่าถ้าเราสามารถทำอะไรบางอย่างให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นได้ก็อยากทำ อยากให้เพลงสามารถเป็นเพื่อนที่ช่วยเขาได้ก็ยังดี
พวกคุณคิดว่าในช่วงนั้นที่เปลี่ยนแนวทางเพลงถือเป็นการ ‘ปรับมุมมอง’ กับความเศร้า ความผิดหวังในชีวิตของคุณเองด้วยไหม
นับ : ส่วนหนึ่งก็ใช่ อีกส่วนหนึ่งคือเมื่อเราได้เจอคนเยอะๆ ก็ได้รู้ว่ามีอีกหลายคนมากที่ชีวิตเขาไม่ได้ราบรื่น บางทีเราเห็นบางคนยังใส่ชุดนักเรียนแต่มายืนร้องไห้กับเพลงเศร้าแล้ว
เรารู้สึกว่าโลกมันอาจใจร้ายและคนที่ต้องการกำลังใจยังมีอีกเยอะมากๆ เราไม่ได้เป็นหมอ ไม่ได้เป็นครอบครัว ไม่ได้เป็นคุณครู ไม่ได้เป็นเพื่อนของเขา แล้วนักดนตรีอย่างเราพอจะทำอะไรได้บ้าง ก็ทำได้แต่แต่งเพลง เลยใช้ตรงนี้เป็นสิ่งที่จะช่วยเหลือและส่งต่อมวลพลังงานดีๆ แทนแล้วกัน เพลงนี้ที่อาจจะช่วยเขาในสักวันหนึ่งที่เขาต้องการ
ซึ่งเหตุการณ์นั้นส่งผลพอสมควรกับคนเขียนเพลง เหมือนกับให้เราทบทวนตัวเองมากขึ้นไปด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Uncle Ben จะไม่ทำเพลงเศร้าแล้วนะ เราก็ยังทำอยู่แต่ทำด้วยความรู้สึกว่าเป็นเพลงเศร้าที่เข้าใจมากขึ้น คือเล่าด้วยความคิดบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม