The Present Move

Tum Ulit ศิลปินหนุ่มผู้ใช้บทเรียนชีวิตมาวาดการ์ตูน

The Present Move | Mindful Global Citizens

หลากหลายเรื่องราวความสัมพันธ์
ที่เราประสบมาด้วยกันในฐานะมนุษย์
ผ่านนิทรรศการศิลปะและตัวตนของ Tum Ulit ศิลปินหนุ่มผู้ใช้บทเรียนชีวิตมาวาดการ์ตูน

ฝนพรำ และค่อยๆ เริ่มตกหนักขึ้น เราจึงเดินเข้ามานั่งในคาเฟ่แห่งหนึ่งที่ River City 

เพียงเวลาไม่นาน ตั้ม-ณฐกร อุลิตร ก็เดินเข้ามา หลายคนอาจจะรู้จักเขาในฐานะศิลปินเจ้าของเพจ Tum Ulit ที่มียอดผู้ติดตามถึง 1.7 ล้านคนจากทั่วโลกในเฟซบุ๊ก ภาพวาดของเขาบอกเล่า
เรื่องราวต่างๆ ให้คนเฝ้ามองอย่างเงียบเชียบ ถึงแม้จะไม่มีคำพูดจากตัวละคร
แต่เขาก็สามารถสื่อสารประเด็นและความรู้สึกได้แบบไม่ติดขัด

ตอนนี้ ตั้มกำลังจัดแสดงนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกอยู่ที่ River City Bangkok
ในชื่อ
Who’s Cutting Onions? หรือที่แปลว่า ‘ใครหั่นหัวหอม?’ เมื่อถามถึงเหตุผลของการตั้งชื่อ ตั้มบอกกับเราว่า เพราะชาวต่างชาติที่ได้ดูผลงานของเขาในโลกโซเชียล มักจะคอมเมนต์ใต้โพสต์
ด้วยวลีดังกล่าว คล้ายๆ กับเวลาคนไทยพูดว่า “ฝุ่นมันเข้าตา” ทั้งสองวลีล้วนใช้เป็นข้ออ้าง
เวลาร้องไห้ แต่ไม่อยากให้ใครรู้ว่ากำลังอ่อนไหว ตั้มจึงใช้มันมาเป็นชื่องาน หวังว่าจะสร้างความกล้าให้คนดูปล่อยน้ำตาได้มากขึ้น โดยอ้างว่ามีคนหั่นหัวหอมอยู่

สิ่งที่น่าสนใจในตัวเขา ไม่ใช่เพียงการเป็นศิลปินที่มีผู้ติดตามเยอะ แต่เขายังเป็นคนที่รักการวาดรูปตั้งแต่เด็ก เขาปูทางให้ตัวเองเข้าไปเรียนวาดการ์ตูน ที่คณะ Story Manga Faculty
ของมหาวิทยาลัย Kyoto Seika University อันเลื่องชื่อของญี่ปุ่น ก่อนจะพบกับอุปสรรค
หลายๆ อย่าง จนต้องกลับมาที่ประเทศไทย ได้ตกหลุมรักศิลปะการแสดง พบเจอการอกหัก
และอีกหลายเรื่องราวกว่าจะมาเป็น
Tum Ulit ที่เราฟังแล้วก็อดนึกถึงภาพในนิทรรศการครั้งนี้ไม่ได้

นี่คือบทสนทนาตั้งแต่ฝนโปรยในร้านกาแฟ จนฝนหยุด หลังตั้มพาเราเดินดื่มด่ำในนิทรรศการของเขา ตลอดระยะเวลาที่คุยกัน ทำไมเหมือนมีใครมาแอบหั่นหัวหอมอยู่ตลอดเลย

| เด็กชายตั้ม

“ผมชอบวาดการ์ตูนตั้งแต่ป.1” ตั้มกล่าว

“พอเราวาดรูปได้ ก็เลยมีเพื่อนๆ ในโรงเรียนมาห้อมล้อมเต็มไปหมด ตอนพักเที่ยงเพื่อนก็จะขอให้วาดอันนั้นอันนี้ให้ ผมเลยรับวาดรูปตามสั่งขายตัวละ 5 บาท พอวาดเสร็จ เพื่อนก็จะเอารูปนั้น
ไปเคลือบพลาสติกเก็บไว้ ขายดีมากเลยนะ กระเป๋าสตางค์ตุงเท่านี้เลย มีแต่เหรียญ”

ตั้มยิ้มพลางทำมือกะขนาดกระเป๋าสตางค์ให้เราดู แต่รอยยิ้มของเขาดูหม่นลงเล็กน้อยเมื่อเขาเล่าต่อ

“ส่วนตอนอยู่บ้านจะไม่ค่อยมีคนเล่นกับผม เพราะผมเป็นเด็กเก็บตัว แล้วบางทีก็ขี้โวยวาย
ชอบงอแงด้วย ผิดกับพี่ชายฝาแฝดที่เป็นเด็กฉลาด พูดเก่ง พอเทียบกัน ผู้ใหญ่ก็จะไม่ค่อยอยาก
เล่นกับผม”

เราเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ในฐานะคนมีพี่น้อง

“พอไปโรงเรียน เรามีตัวตนจากการวาดรูป รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าเวลาวาดการ์ตูน ก็เลยหลงรักมัน อาจจะฟังดูแปลก แต่ผมหลงรักการมีตัวตน หลงรักการที่สิ่งที่เราทำมันมีคุณค่า” 

เราสงสัยว่าตั้มหลงรักการวาดรูปก่อน หรือหลงรักการมีตัวตนก่อน ตั้มตอบว่า

“ชอบวาดรูปก่อน เริ่มมาจากการแอบวาดคนเดียว แต่พอเจอว่าสิ่งนี้ทำให้เราได้รับความรัก
มันก็ทำให้ยิ่งชอบ ยิ่งสนุกกับมันมากขึ้นไปอีก” เรานึกถึงภาพ I NEED LOVE AND COMPLIMENTS. ในนิทรรศการของเขา

ภาพ : I NEED LOVE AND COMPLIMENT
จากนิทรรศการ Who’s Cutting Onions?

“ตอนนั้นผมเรียนรู้ว่าต้องทำตัวให้ดี ให้เด่น ให้เก่ง ผู้ใหญ่ถึงจะรักและชอบเรา
เหมือนสิงโตที่ลอดห่วงไฟแล้วคนปรบมือชื่นชม ตัวเราในวัยเด็กเลยเลือกที่จะถือห่วงไฟไว้ตลอดเวลา เพียงเพราะคิดว่าเราจะได้รับความรัก แต่มันเหนื่อยนะ การถือห่วงไฟมันร้อน
หน้าของสิงโตเลยดูไม่มีความสุขเลย แต่เขาก็ยังทำแบบนี้เพราะอยากได้ความรักมากจริงๆ” 

| นายตั้ม

ความรักและความรู้สึกดีๆ ที่ได้รับจากการวาดการ์ตูนให้เพื่อนนั่นเอง เป็นแรงผลักดันส่งให้
เด็กชายตั้มตัดสินใจไปดินแดนแห่งการ์ตูนมังงะ ณ ประเทศญี่ปุ่น

“ผมขอพ่อแม่ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ม.ปลาย เพราะเราแอบเล็งคณะเขียนการ์ตูนที่ญี่ปุ่นไว้”

คณะที่ตั้มพูดถึงคือคณะ Story Manga Faculty ของมหาวิทยาลัย Kyoto Seika University
คณะในฝันของเหล่านักเขียนมังงะ

“ตอนนั้นผมกับพ่อแม่ทะเลาะกันใหญ่โต ผมประท้วงไม่คุยกับเขาเป็นเดือนเลย เพราะเขาอยากให้เราเรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง แต่เราคิดไว้แล้วว่าต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ม.ปลายเพื่อปรับภาษาก่อน
แล้วค่อยพยายามเข้าคณะนี้ให้ได้ จำไม่ได้เหมือนกันว่าสุดท้ายทำไมเขายอมให้ไป แต่จำได้ว่า
เราบิดเบือนความจริงนิดหน่อย เราบอกเขาว่าจะไปเรียนศิลปะ เรียนดีไซน์ เพราะเขาอาจจะไม่เข้าใจว่าเขียนการ์ตูนจะเป็นอาชีพได้ยังไง เราไปบอกความจริงว่า จะเรียนเขียนการ์ตูนเอาตอนวันสอบเข้ามหา’ลัย เขางงกันใหญ่เลย แต่สุดท้ายก็ยอมอีก” 

ตั้มผ่านความทุลักทุเล ทั้งจากการเข้าเรียนม.ปลาย และการทำความเข้าใจกับพ่อแม่ มาจนถึงวันสอบ
ชี้ชะตา การสอบดำเนินไปอย่างดุเดือด เพราะนี่คือคณะในฝันของเหล่านักเขียนมังงะเป็นพันๆ ชีวิต แต่สุดท้ายตั้มก็สอบติด ได้เรียนคณะในฝันสมใจ 

เราชวนคุยต่อถึงเรื่องชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ตั้มตอบแบบยังจำรายละเอียดได้เป็นอย่างดี

“ข้อดีของที่นี่คือการเรียนการสอนของเขาไปสุดมาก เนื้อหาลึกมาก และเขาก็พาคนเก่งๆ มาสอน
ผมเคยได้เรียนกับคนที่เขียนการ์ตูนวาย (Y) เรื่องแรกๆ ของญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้เกิด
กระแสวายในญี่ปุ่นเลย” 

แต่ผ่านไปได้ 1 ปี ตั้มก็เริ่มเผชิญกับความรู้สึกแปลกแยกที่ทำให้เขารู้สึกว่า ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่ของเขา 

“เวลาวาดการ์ตูนผมจะพยายามใส่ปรัชญาอะไรบางอย่างเข้าไป แล้วเราก็ชอบวาดตัวละครแบบบื้อๆ ซึ่งมันไม่สนุกเอาซะเลย มันน่าเบื่อ อาจารย์พูดกับผมว่า เฮ้ย ดีนะ แต่มันไม่สนุก มันขายไม่ได้
พอขายไม่ได้เธอก็จะเลี้ยงชีพไม่ได้นะ ซึ่งมันก็ใช่แหละ แต่เราก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เราไม่เข้าใจว่า
ทำไมเราจะต้องวาดการ์ตูนตามขนบ วาดตัวละครเป็นผู้ชายไฟแรงๆ มีความคิดว่า จะต้องทำความฝันให้เป็นจริง ลึกๆ เราหมั่นไส้ตัวละครแบบนั้นอะ มันจะอยากเก่งอะไรขนาดนั้น”  ตั้มหัวเราะ

“เรียนไปเรียนมาก็พบว่าเพื่อนทุกคนเก่งกว่าผมหมดเลย สมมติในห้องมี 60 คน เขาเก่งกว่าเรา
ไป 50 คนแล้ว มันท้อจนผมไปปรึกษาอาจารย์ เล่าให้เขาฟังว่า ผมติดปัญหาอะไรบ้าง ผมบอกเขาว่า ผมอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนที่ญี่ปุ่นจริงๆ นะ ตอนนั้นอาจารย์เขาพูดกับเราตรงๆ ว่า คนญี่ปุ่น
จะทำอาชีพนี้ยังยากมาก นักเขียนต่างชาติมันก็มีกำแพง ไม่ใช่แค่กำแพงภาษา
แต่ยังมีกำแพงบางอย่างที่สังคมยังยอมรับได้ยาก”

“บวกกับหลายๆ ปัจจัยทำให้ผมรู้สึกว่าที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่ของผม แถมตอนนั้นผมเกิดสภาวะความเหงาขั้นรุนแรง ถึงจะมีเพื่อนคนไทยอยู่บ้างก็เถอะ แต่ก็เรียนคนละคณะ ความรู้สึกไม่มีตัวตนในวัยเด็ก
ก็ย้อนกลับมา ผมว่ามันเจ็บปวดนะ มันเป็นชีวิตวัยรุ่นที่ไม่สนุกเอาซะเลย” 

เราฟังแล้วจินตนาการภาพตั้มในตอนนั้น วัยรุ่นคนหนึ่งเดินตามความฝันมาไกลถึงขนาดนี้
แต่กลับต้องเผชิญความจริงว่า ตอนนี้ตัวเองกำลังหลงทางและทำตัวตนหล่นหาย
เรานึกถึงภาพ SOMETIMES I GET CONFUSED WHAT’S MY TRUE COLOR.

ภาพ : SOMETIMES I GET CONFUSED WHAT’s MY TRUE COLOR.
จากนิทรรศการ Who’s Cutting Onions?

“วิธีทำกุหลาบสีแปลกๆ คือเอากุหลาบปกตินี่แหละไปแช่น้ำ ตัวเราก็เหมือนกุหลาบที่ดูดซึมสีรอบตัวมาโดยที่เราไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งใจ สุดท้ายสีดอกที่คนอื่นเห็น มันมาจากสิ่งรอบตัวที่เราอยู่
เพราะฉะนั้น คำถามคือเราเป็นสีที่เราอยากเป็นแล้วหรือยัง เราเป็นสีที่ตัวเองชอบแล้วหรือยัง”

ตั้มเล่าต่อว่า “ช่วงนั้นฝาแฝดผมเข้ามหาวิทยาลัยพอดี เขาเรียนที่มหิดล ซึ่งเพื่อนเยอะมาก
ผมเคยกลับมาที่ไทยแล้วไปที่นั่น เชื่อไหมว่ามีคนมาทักเต็มเลย มันรู้สึกเหมือนนี่เป็นที่ของเรา
ตอนนั้น จู่ๆ ก็คิดได้ว่าถ้าวันนึงจะได้เป็นนักเขียนการ์ตูน ก็ไม่ต้องเรียนคณะมังงะโดยตรงก็ได้ล่ะมั้ง บวกกับค่าเทอมคณะที่ผมเรียนมันสูงมาก รวมทุกปัจจัยที่ว่ามาก็เลยทำให้เราตัดสินใจลาออก
แล้วกลับมาที่ไทย”

เขาบอกว่าการตัดสินใจครั้งนั้นถูกต้องแล้วล่ะ เราเห็นด้วย พลอยยินดีกับเขาที่เลือกเชื่อความรู้สึกของตัวเอง และยังตามหาความสุขเจอ

ตั้มเลือกเข้าเรียนด้านแอนิเมชันในหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการผลิตแอนิเมชัน (หลักสูตรนานาชาติ) ของ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งทำให้เขาได้เรียนรู้ศิลปะของโลกตะวันตก
ที่เปิดกว้างขึ้น และถูกจริตเขามากกว่า เขาได้เจอพื้นที่ที่เป็นตัวเอง และหายใจได้สะดวกขึ้น


อีกสิ่งหนึ่งที่ตั้มเล่าให้ฟังว่าได้ลองทำตอนกลับมาที่ไทยคือ ได้ทดลองเรียนการแสดง 

“กลับมาไทยแล้วผมยังหลงทางอยู่ดี ไม่รู้ว่าเราวาดรูปไปเพื่ออะไร ก็ยังอยากเข้าคณะที่เกี่ยวกับศิลปะอยู่แหละ แต่ทำไปเรื่อยๆ ก็ยังหาคำตอบไม่เจอว่าเราทำไปเพื่ออะไร ตอนนั้นเลยไปสนใจการแสดงแทน เพราะเราชอบดูหนังแล้วก็สังเกตการแสดงของนักแสดง ก็เลยอยากลองเรียนดู ทีนี้พอลองเรียนการแสดงแล้ว รู้สึกว่า เฮ้ย เราได้ปลดปล่อยบางอย่างออกมา สิ่งที่เราได้เรียนมันไม่ใช่แค่การเป็น
นักแสดง แต่เราได้ทำความรู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะพื้นฐานของการละครมันคือความเป็นมนุษย์อะ” 

ศาสตร์การแสดงนั้น ต้องใช้ความเข้าใจทั้งตัวเองและผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง ผู้ที่ศึกษาศาสตร์นี้
จึงต้องละเอียดอ่อนกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง คอยสังเกตและพยายามระบุว่า
ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะคืออะไร เมื่อเข้าใจตัวเองและผู้อื่นแล้ว ก็จะสามารถทำความเข้าใจบทบาทของตัวละครต่างๆ ได้ และแสดงออกมาได้อย่างสมจริง

ตั้มเล่าต่อว่า “เราชอบการแสดงมากจนหมดไฟกับการวาดรูปเลย เบนเข็มอยากจะไปโฟกัสด้าน
การแสดงแทน แต่ก็ทำไม่ได้ดีมาก ความรู้สึกวัยเด็กที่กลัวการโดนปฏิเสธก็ยังอยู่ เวลาเราไปคัดตัวนักแสดง แล้วเราไม่ได้เป็นคนที่ถูกเลือก เราก็จะรู้สึกอีกว่า อ๋อ เพราะเราไม่หล่อ เพราะเราไม่ดีพอ
แต่ก็ด้วยความที่เราอยู่กับการวาดรูปกับการเขียนการ์ตูนมานานกว่าด้วย เราเลยเลือกวาดรูปต่อ
เนี่ยแหละ แต่เอาการแสดงมาผสมกับมันแทน”

“ถ้าไม่ได้เรียนการแสดง เรารู้สึกว่างานเราจะไม่ได้เป็นแบบที่มันเป็นทุกวันนี้นะ
ก่อนหน้านั้น เราไม่รู้ว่าตัวละครมันต้องมีปฏิกิริยากับสถานการณ์ยังไง แต่พอเราเรียนการแสดงแล้ว

เราเห็นมิติของตัวละครมากขึ้น มันทำให้งานมีความเป็นมนุษย์ เราจะคิดแทนตัวละคร
ลองมาดูการแสดงสีหน้าของตัวการ์ตูนที่ผมวาดดูได้นะ” 

|  Tum Ulit

จากเรื่องที่ฟังมาทั้งหมด เราแอบคิดว่า ถ้าเป็นเราคงฝังใจจากตอนเรียนที่ญี่ปุ่นจนไม่วาดการ์ตูนแล้ว แต่นายตั้มกลับเปิดเพจวาดการ์ตูนเสียอย่างนั้น แถมยังมีผู้ติดตามเป็นล้านอีก เราจึงถามเขา
ถึงที่มาที่ไป
ตั้มบอกเราว่า

“หลังเรียนจบ ผมยังทำงานสาย Creative เป็น Art Director แล้วผมก็อกหัก
ค้นพบว่าไอ้ที่เราไม่รู้ว่าเราวาดรูปไปเพื่ออะไร มันเป็นเพราะเรายังไม่มีอะไรจะเล่า แต่พออกหักปุ๊บ อาการสาหัสเลย ได้เรียนรู้ว่า เราเห็นความสำคัญของสิ่งที่มีอยู่เมื่อมันหายไป มันคับแค้นใจมาก
จนอยากระบายความเสียใจนี้ออกมา เราเลยวาดการ์ตูน พอวาดไปแล้วก็ได้รู้ว่ามันคือการบำบัดนี่นา มันทำให้เราสบายใจขึ้น”

“ทีแรก ผมกะว่าจะเก็บไว้ดูคนเดียว แต่พอเสร็จแล้ว เกิดอยากลองดูว่าเพื่อนจะคิดยังไง
ก็เลยเอาไปลงเฟซบุ๊กส่วนตัว แล้วเพื่อนเข้ามาคอมเมนต์เยอะมากๆ บอกให้เปิดเพจไปเลยสิ
มันเซอร์ไพรส์นะ เพราะก่อนหน้านั้นเราก็โพสต์งานส่วนตัว โพสต์การ์ตูนที่วาดบ้าง
แต่เพื่อนก็ไม่ได้คอมเมนต์เยอะแบบนี้ คงเพราะเราเล่าเรื่องที่หลายๆ คนก็คงเคยเจอเหมือนกัน
มันเข้าใจง่าย มันโดนใจ”

เราลองถามตั้มตรงๆ ว่า การกลับมาวาดการ์ตูนเป็นงาน มันยากไหม? ทั้งที่วันหนึ่ง
เขาเคยท้อใจกับมันจนลาออกจากคณะที่เรียน ตั้มตอบว่า

“ตอนเปิดเพจไม่ได้คิดอะไรเท่าไหร่เลย มันไม่ได้มีสัญญาณอะไรที่บอกว่านี่จะกลายมาเป็นอาชีพ
หรือเป็นอะไรมากกว่านั้นได้ด้วย แต่เราก็ไม่ได้หยุด เพราะเรารู้สึกว่า
ยังสนุกกับการค้นหาปมข้างในออกมาเล่าอยู่”

แล้วเขาสนุกกับการได้สื่อสารสิ่งที่อยู่ภายในใจมากกว่าการวาดรูปสินะ? เราถาม
ตั้มตอบว่า “อื้ม! เพราะเลิกยึดติดว่ามันต้องสวยเป๊ะได้แล้ว ตอนนี้ให้ความสำคัญกับความรู้สึก
ความคิด และไอเดียของงานมากกว่า ในนิทรรศการครั้งนี้ก็ใช้วิธีคิดแบบนั้นนะ”

“ผมสร้างงานให้ตัวเองมีความทุกข์น้อยลงก่อน แล้วเราก็ค่อยแชร์มันออกไป ถ้าคนอื่นเข้ามาเห็น
แล้วทุกข์น้อยลงได้ก็ยิ่งดี ผมมีความสุขเวลาสิ่งนี้ทำให้คนอื่นมีความสุขได้มากขึ้น
เห็นคุณค่าของสิ่งที่เขารักได้มากขึ้น ผมเลยพยายามทำให้งานเข้าถึงทุกคน พยายามที่สุดเลย
คนดูไม่ต้องชอบศิลปะก็ได้ ไม่ต้องดูงานศิลปะเป็นก็ได้ แค่เข้าใจสิ่งที่เราสื่อสารก็พอ

ในนิทรรศการนี้ ผมก็มี Qr code ให้สแกนฟังคำอธิบายเบื้องหลังของแต่ละภาพด้วยนะ เพราะเราอยากสื่อสารจริงๆ ผมไปอัดเสียงพากย์มาเองเลย แต่ก็ไม่ได้บอกความหมายทั้งหมดของภาพหรอก เราก็ชี้นำแหละ แต่ว่าคุณจะมองไปทางนั้นหรือเปล่าก็ไม่เป็นไรนะ จะมองแบบอื่นก็ไม่เป็นไร”

เมื่อถามว่า แล้วตอนนี้การวาดรูปเป็นอะไรสำหรับเขา ตั้มตอบว่า

“เราว่าศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอก มันถ่ายทอดความคิดจิตใจข้างในของเราออกไป เช่นเดียวกับเวลาเราไปเจอโลกข้างนอก เราก็ทำงานศิลปะมาพูดกับข้างในได้อีก เหมือนเป็นโทรโข่งให้ตัวเรา”

เรานึกถึงภาพ LOVE HAPPENS WHEN NO ONE WINS และภาพ WELCOME TO THE LAND YOU CAN’T DENY.

ภาพ : WELCOME TO THE LAND YOU CAN’T DENY.
จากนิทรรศการ Who’s Cutting Onions?

“ในโลกของเด็ก อะไรก็เป็นไปได้ นักบินจะบินด้วยเครื่องบินกระดาษก็ได้ แต่เมื่อเขาร่อนลงมาสู่
ดินแดนที่ชื่อว่า ดินแดนของผู้ใหญ่ มันเป็นที่ที่แห้งแล้ง โหดร้าย แล้วก็ต้องเอาตัวรอด
มันเป็นความรู้สึกที่ว่า เราจะเอาตัวรอดยังไงนะ เราจะอยู่ต่อไปยังไงได้”

ภาพนี้คือตัวแทนของโลกภายในคุยกับโลกภายนอก เป็นภาพที่ตั้มเล่าว่า ตอนวาดก็ไม่ได้คิดมาก
แต่พอวาดเสร็จกลับน้ำตาซึม เพราะเหมือนได้มองเห็นตัวเองที่อยู่ในภาพ เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่
ที่ไม่ได้บินด้วยเครื่องบินกระดาษอีกแล้ว

ภาพ : LOVE HAPPENS WHEN NO ONE WINS.
จากนิทรรศการ Who’s Cutting Onions?

ในกีฬาทวนม้า คนหนึ่งจะชนะต่อเมื่ออีกคนร่วงลงจากม้าและบาดเจ็บ แต่ชั่วขณะหนึ่ง
ก่อนที่เราจะปะทะกัน ทำไมเราไม่วางอาวุธลงก่อน กอดกัน และบอกรักกันก่อนล่ะ
สีหน้าของตัวละครมันคือการรับรู้ว่า เราไม่ควรจะทำร้ายกันเลย

ภาพนี้คือภาพที่ตั้มบอกเราว่า เขาชอบที่สุดในงาน เป็นตัวแทนของภาพที่โลกภายนอกกระทำต่อ
จิตใจของตั้ม จนเขาระบายมันออกมาเป็นภาพวาด 

“เราเสพข่าวสงครามแล้วมันกระทบจิตใจเรารุนแรงมากซะจนเราอยากจะพูดถึงมัน
แต่เราก็ไม่ได้พูดเรื่องสงครามโดยตรง เวลาผมรู้สึกกับเรื่องอะไรบางอย่าง
ผมมักจะเอามันมาเชื่อมโยงกับเรื่องความสัมพันธ์ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราสนใจ เราชอบ
คือพูดง่ายๆ ว่า มีสิ่งที่ไปเจอข้างนอก มาบวกกับเรื่องของเราแล้วทำให้มันย่อยง่ายหน่อย”

ตั้มนำเรื่องราวที่เขาประสบและความรู้สึกที่เขาพบเจอมาใช้สร้างงานอยู่ตลอด
เราจึงถามว่า เ
ขามีเรื่องที่กลัวหรือไม่กล้าเล่าหรือเปล่า? ตั้มตอบว่า

“เมื่อก่อนไม่มีเลยเพราะเล่าแต่เรื่องของความสัมพันธ์ชายหญิง แต่ว่าพอผ่านเวลามา
ก็เพิ่งรู้ว่า มีเรื่องที่กลัวอยู่ อย่างเรื่อง
ครอบครัว เป็นเรื่องที่เรายังไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่ในตอนนี้ อาจจะเพราะเรายังไม่เข้าใจทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ด้วย แต่ตอนนี้ก็กำลังลองเผชิญกับความรู้สึกต่างๆ อยู่ กำลังลองพูดถึงปมในวัยเด็ก หรืออะไรที่เรากลัว อย่างการไม่ถูกรัก การโดนเมิน
อาจจะยังไม่ได้ลงลึก แต่ในนี้งานเราก็จะพยายามดึงส่วนผสมของความรู้สึกนั้นเข้ามาใช้ด้วย”

“แต่ยิ่งเป็นคนที่กลัวการไม่มีตัวตน ผมยิ่งรู้สึกว่าโชคดีจังเลยที่เราได้ทำงานศิลปะ
เพราะว่าเราได้ทิ้งบางอย่างไว้ให้โลกรู้ว่ามนุษย์คนนี้เคยทำสิ่งนี้ไว้ ในวันที่เราลาจากโลกนี้ไป
สิ่งนี้มันก็ยังดำรงอยู่”

เราทราบมาว่า ตั้มเป็นคนที่สนใจประเด็นเรื่อง ‘การจากลา’ อยู่ก่อนแล้ว
เชื่อว่าหากใครติดตามผลงานของเขาก็อาจจะเดาออกเช่นกัน เมื่อตั้มเอ่ยถึงประเด็นนี้
เราจึงถามออกไปว่า
เขายังอินกับเรื่องการจากลาอยู่ไหม? ซึ่งแน่นอน เขาตอบเรากลับมาว่า

“ยังอินอยู่สิ ก่อนหน้านี้เกือบตั้งชื่อนิทรรศการว่า Best Before แล้วนะ
เหมือนคำที่เขียนไว้หน้าวันหมดอายุของอาหารน่ะ แต่มันค่อนข้างแคบไปหน่อย ก็เลยเปลี่ยนให้
เราทำงานได้หลากหลายขึ้น”

เราขอให้เขาอัปเดตมุมมองต่อการจากลา ตั้มเล่าว่า

“ตอนนี้ก็ยังกลัวการต้องจากกันอยู่ เพราะผมเป็นคนที่จำแม่น ลืมยาก ยิ่งจำได้ก็ยิ่งยึดติดมาก
ยิ่งยึดติดมากก็ยิ่งกลัวการเสียอะไรไป แต่ก็พยายามอย่างมากที่จะไม่กลัว ผมว่าคนเรากลัวเมื่อเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ไอ้การมัวแต่นึกถึงอดีตกับกังวลอนาคตนี่แหละ
คือสิ่งที่มาทำลายความสุขของปัจจุบันขณะ”

ตั้มเสริมว่า วิธีแก้ของเขาคือพยายามระลึกถึงความตายอยู่เสมอ หนึ่งในวิธีการที่เขาทำแล้วเราทึ่งมากคือการตั้งชื่อแมว “ผมตั้งชื่อแมวว่า Goodbye (ลาก่อน) กับ Say hi (หวัดดี)
ผมรู้ว่าสัตว์เลี้ยงมีอายุขัยสั้นกว่าเรา เพราะฉะนั้น เขานี่แหละ คือครูที่จะมาสอนเราเรื่องการพบเจอ
และลาจาก ซึ่งมันก็จะเกิดขึ้นในไม่ช้า เพราะ Say hi เขาเป็นโรคหัวใจ” แน่นอนว่าเขาเองก็เสียใจ
ตามระเบียบ

“แต่มันก็เป็นบทเรียนที่ผมต้องรับมือเอง เพราะเรากำหนดมันขึ้นมาเอง เราจะพยายามเข้าใจเรื่องนี้ แล้ววันที่เขาจากไปจริงๆ ผมจะรับมือให้ได้ อย่างเข้าใจที่สุด”

ภาพ : WHEN WE’RE OUT DANCING TOGETHER, CHEEK TO CHEEK.
จากนิทรรศการ Who’s Cutting Onions?

เรื่องที่คุยเมื่อกี้ ทำให้เรานึกถึงภาพนี้ เป็นอีกภาพที่ตั้มบอกว่ามันทำให้เขาคิดอะไรได้หลายๆ อย่าง

“คุณตาเขากำลังเต้นกับชุดที่ไม่มีคนใส่ เพราะคนในชุดนั้นไม่อยู่แล้ว มันคือการยึดติดกับความทรงจำเดิมๆ แต่ต้นไม้ยังผลัดใบแล้วเลย เราให้ฤดูใบไม้ร่วงมาบอกใบ้คุณตาถึงการเปลี่ยนแปลง
ภาพนี้สื่อถึงการยอมรับความจริง เพราะสุดท้ายทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนแปลง”

พอดูภาพนี้เสร็จ เราได้รับข้อมูลใหม่มาอย่างหนึ่งว่า นอกจากการจากลาแล้ว อีกเรื่องที่ตั้มอิน
ก็คือการยอมรับความจริงให้ได้นี่แหละ

ตั้มบอกว่า ข้อดีของการที่เรารู้ว่า ทุกสิ่งจะต้องจากโลกนี้ไปในท้ายที่สุดก็มีอยู่นะ 

“เพราะเราจะใช้ชีวิตมีคุณค่าต่อเมื่อเรารู้ว่า เราไม่ได้เป็นอมตะ เรารู้ว่าเรามีวันหมดอายุ” 

บทสนทนาเดินทางมาถึงตอนที่เราต้องแยกย้ายแล้วเช่นกัน สุดท้ายตั้มบอกกับเราว่า
นิทรรศการนี้ ไม่ได้อยากให้ใครมาร้องไห้เสียใจ แต่ว่าอยากให้มาดูแล้วคิดอะไรได้มากกว่า

“ผมชอบดูหนังที่มันร้องไห้ เพราะเรารู้สึกว่า มันทำให้เราเห็นคุณค่าของบางอย่าง หรือทำให้เรากลัว
ที่จะสูญเสียบางอย่าง มีหนังอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมดูกี่รอบก็ร้องไห้ คือเรื่อง
Wonder (2017)
ดูแล้วเราไม่ได้ร้องไห้ด้วยความเสียใจ แต่เราร้องไห้เพราะว่าเราซาบซึ้งกับความเป็นมนุษย์
เรารู้สึกว่ามนุษย์มันซับซ้อน เราร้องไห้เพราะรู้สึกว่า มีคนรักเราอยู่ มีคนปกป้องเราอยู่” 


เราเดินออกจากนิทรรศการมายังนอกอาคาร พื้นยังคงเฉอะแฉะจากฝน
ใจของผู้คนเปียกปอน น้ำตาของความซาบซึ้งยังเปรอะแก้มผู้คน
ที่เดินเคียงกันในนิทรรศการเมื่อกี้อยู่ เราว่าตั้มบรรลุวัตถุประสงค์แล้วล่ะ
เพราะเราอยากรีบลาเขาไปกอดคนที่บ้านที่สุดเลย

วิธีชวนเด็กๆ กลับมารู้เนื้อรู้ตัวผ่านธรรมชาติ ฉบับครูเพลง-ต้องตา จิตดี แห่งโรงเรียนอนุบาลเทพารักษ์

ในฐานะที่เป็นทั้งคุณครู นักเขียน ศิลปิน และนักสำรวจตัวยงที่ผูกพันกับธรรมชาติมาอย่างยาวนาน ครูเพลงผสมผสานหลายสิ่งที่เธอรักทั้งดนตรี หนังสือ ศิลปะ และธรรมชาติ ให้กลายเป็นวิชา Story Club and Playlab

สมุดบันทึกการเดินทางตลอด 6 ปีของ ‘Peachful’ ศิลปินนักวาดภาพประกอบผู้สนใจจิตวิทยาและการออกแบบประสบการณ์

The Present Move ชวนคุยกับ พีช-พัชณาพร วิมลสาระวงค์ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อของ ‘Peachful’ ศิลปินนักวาดภาพประกอบเจ้าของลายเส้นสุดน่ารักพร้อมด้วยนัยที่แฝงไปด้วยการฮีลใจ และ แมค-ณัฐพงศ์ วิวัฒนะประเสริฐ ผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Peachful : Peace of mind’

หากมนุษย์ไร้ซึ่งไทม์แมชชีนย้อนเวลา จึงอาจต้องหัดเรียนรู้จาก ‘ความเสียดาย’ ให้เป็น

“รู้อะไรไม่สู้ รู้งี้” คำพูดนี้คงเป็นอารมณ์ที่ใครหลายคนรู้สึกในสักช่วงหนึ่งของชีวิต เพราะในบางครั้งเราก็เลือกที่จะ ‘ทำ’ หรือ ‘ไม่ทำ’ อะไรสักอย่างลงไป และในท้ายที่สุดเราเองก็กลับมารู้สึก ‘เสียดาย’ กับการตัดสินใจข้างต้นลงไป