
หากเราเป็นคนบ้างาน จะมี Work-life Balance อย่างไรได้?
เพราะคำว่า ‘ชีวิต’ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของเราๆ และ ‘งาน’ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หาใช่ทั้งหมด
ตั้งแต่เด็กจนโต หลายครั้งที่รู้สึกไม่ดีหรือเศร้า
เรามักได้ยินคำว่า ‘อย่าคิดมาก’
‘ให้มองโลกในแง่ดี’ หรือ ‘คิดบวกเข้าไว้สิ’
เพื่อให้เรามีกำลังใจฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ
ทั้งหมดนี้ราวกับว่า แค่เพียง ‘คิดบวก’ จะกลายเป็นทางออกที่ดีที่สุดเสมอ ราวกับว่า สามารถเสกปิ๊งให้เรื่องราวทั้งหมดมลายหายไป แค่เพียงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้
แต่อันที่จริงแล้ว อะไรที่มากเกินไปก็อาจไม่เป็นผลดีตามที่คาดเอาไว้ แม้กระทั่ง ‘การคิดบวก’ (Positive Thinking) ก็เช่นเดียวกัน เพราะในบางครั้งการคิดบวกที่มากเกินไปก็อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายเราได้เช่นเดียวกัน
ความคิดบวกที่เป็นพิษ (Toxic Positivity) คือ การปฏิเสธความรู้สึกจริงของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ หรือความกลัว เราจะพยายามหาแต่แง่ดีในทุกสถานการณ์ แม้ว่าสถานการณ์นั้นจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม
หากการคิดบวกคือการมองหาแง่ดีในทุกสถานการณ์ แม้จะเจอปัญหา ก็ยังมองหาโอกาสและบทเรียนที่ได้เรียนรู้ แต่การคิดบวกที่เป็นพิษนั้นต่างออกไป เพราะว่า นั่นอาจเป็นช่องทางในการ ‘ปฏิเสธความรู้สึกเชิงลบ’ ออกไปเลยเสีย ซึ่งนั่นอาจไม่เป็นผลดีเท่าไรนัก เพราะการไม่ยอมรับหรือรู้ไม่เท่าทันความรู้สึกของตัวเองนั้น ก็อาจเป็นหนทางที่เราร่วงหล่นจากตัวตนของตัวเองไป
ดังนั้น การพยายามบังคับให้ตัวเองรู้สึกดีเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายหรือยากลำบากเพียงใดจึงอาจไม่เป็นผลดีเสมอไป
Toxic Positivity สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น การตกงาน หลายคนอาจพูดว่า
“คิดบวกเข้าไว้” หรือ “หางานแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้แล้ว” แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะมีเจตนาดีและต้องการให้กำลังใจ แต่กลับเป็นการปิดกั้นโอกาสที่คนฟังจะได้พูดถึงความรู้สึกที่พวกเขากำลังเผชิญ
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างอีกหนึ่งเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราทุกคน คงหนีไม่พ้นเรื่องการทำงาน อาจมีบางวันที่คุณรู้สึกเครียด กดดัน หรือสภาพแวดล้อมการทำงานเป็นพิษ ถ้าคุณพร่ำบอกตัวเองว่า “ทำๆ ไปเหอะ ดีกว่าไม่มีงานทำ” เพราะช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี การมีงานทำนั้นดีที่สุดแล้ว หากคิดแบบนี้บ่อยๆ ก็มีแต่จะทำให้คุณไม่สามารถขยับขยายไปที่ไหนได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว คุณมีความสามารถมากกว่านั้น และมีโอกาสเติบโตอีกไกลในที่อื่นๆ
หรือกรณีของการสูญเสีย คุณอาจเคยได้ยินคำปลอบประโลมที่ว่า “เขาไปดีแล้ว” หรือ “มีพบก็ต้องมีจาก” แม้คำพูดเหล่านี้จะมีจุดประสงค์เพื่อปลอบโยน แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ แต่ในบางครั้งคำพูดเหล่านี้กลับเป็นการปิดกั้นโอกาสที่ผู้สูญเสียจะได้แสดงความรู้สึกเสียใจออกมา
แม้ว่าการมองโลกในแง่ดีจะเป็นสิ่งที่ดี แต่การพยายามมองโลกในแง่ดีตลอดเวลาโดยไม่ยอมรับความรู้สึกเชิงลบที่แท้จริง กลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจของเราเอง โดยเฉพาะเรื่องการปฏิเสธความรู้สึก ทำให้เราเก็บกดความรู้สึกเหล่านั้นไว้ภายใน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น เช่น ภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวล
จากเดิมที่เรามักใช้คำว่า “สู้ๆ นะ” หรือ “คิดบวกเข้าไว้” อาจลองเปลี่ยนเป็นประโยคที่แสดงความเข้าใจ เช่น
“ฟังดูยากนะที่ต้องผ่านเรื่องราวแบบนี้”
“ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนเข้มแข็ง เชื่อว่ายังไงก็ผ่านไปได้”
“ถ้ามีอะไรที่ช่วยได้ บอกได้เลยนะ”
เพราะหลักการสำคัญอยู่ที่ ‘การให้กำลังใจอย่างมีสติ’ เพราะสิ่งนี้คือการแสดงความเข้าใจและให้กำลังใจผู้อื่นในแบบที่พวกเขาต้องการ ซึ่งส่งผลที่ดีและยั่งยืนมากกว่าการพูดคำหวาน และการฝึกฝนทักษะนี้จะช่วยให้คุณสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีของทั้งตัวคุณเอง รวมถึงผู้อื่นอีกด้วย
จริงๆ แล้วการมองโลกในแง่ดีไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องดี เราทุกคนต่างมีอารมณ์และประสบการณ์ที่เจ็บปวด แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่อยากรับรู้ แต่เราจำเป็นต้องรู้และจัดการอารมณ์ตัวเองกับเรื่องเหล่านั้นอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์ เพื่อยอมรับความจริงและสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า
สุดท้ายนี้ หาก Toxic Positivity คือการที่เราถูกผลักดันให้คิดบวกจนเกินไป แม้ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรือความท้าทาย เมื่อความคิดบวกเริ่มกลายเป็นสิ่งที่กดทับอารมณ์และปฏิเสธความรู้สึกด้านลบ ส่งผลให้สุขภาพจิตถูกบั่นทอนและปัญหาก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข บทความนี้จะเสนอวิธีรับมือกับ Toxic Positivity เพื่อให้เราได้เผชิญกับความรู้สึกของตัวเองอย่างแท้จริง
| 1. ยอมรับความรู้สึก
ยอมรับความรู้สึกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า โกรธ หรือกลัว ล้วนเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ การปฏิเสธความรู้สึกเหล่านี้จะยิ่งทำให้คุณรู้สึกแย่ลงไปอีก ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การกดทับหรือพยายามผลักดันอารมณ์เหล่านี้ออกไปเพราะคิดว่ามันไม่ดี อาจทำให้เราไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างแท้จริง วิธีง่ายๆ ที่ลงมือทำได้เลยคือการให้เวลาตัวเอง ไม่ตัดสินตัวเอง และจดบันทึกความรู้สึก สำรวจอารมณ์ของตัวเองอย่างลึกซึ้งและชัดเจนมากขึ้น
| 2. พูดคุยกับผู้อื่น
การพูดคุยกับคนที่เราไว้ใจช่วยให้เราได้ระบายและแบ่งปันความรู้สึก การเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวอาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว โดยเลือกคนที่ไว้ใจ รู้สึกปลอดภัย และเชื่อว่าจะรับฟังโดยไม่ใคร่ตัดสิน รวมถึงเปิดใจรับฟังมุมมองของคนอื่น อาจทำให้เรามองสถานการณ์จากอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน พยายามฟังอย่างตั้งใจและให้กำลังใจพวกเขา ไม่จำเป็นต้องรีบหาทางแก้ไขปัญหาเสมอไป บางครั้งแค่มีคนรับฟังก็เพียงพอแล้ว
| 3. มองสถานการณ์ให้รอบด้าน
การมองสถานการณ์ในหลายมิติ ช่วยให้เราเข้าใจความจริงอย่างสมบูรณ์ และหาทางแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยไม่จำเป็นต้องมองในแง่บวกหรือลบเกินไป เช่น การถามตัวเองว่า “เกิดอะไรขึ้น” “ควรปล่อยวางเรื่องไหน” สิ่งสำคัญคืออย่ามองโลกในแง่ดีเกินไปหรือแง่ร้ายเกินไป
พยายามรักษาความสมดุลในความคิดของตัวเองให้ได้
อย่างไรก็ตาม การรับมือนั้นไม่ใช่การปฏิเสธความคิดบวก แต่คือการยอมรับว่าทุกคนมีทั้งความรู้สึกดีและไม่ดี การให้ความสำคัญกับอารมณ์ที่แท้จริงจะช่วยให้เราเติบโตและแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น การแสดงความรู้สึกออกมาบ้างเป็นเรื่องปกติ และการปล่อยให้ตัวเองได้รู้สึกเศร้า โกรธ หรือกลัว ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมันจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและปัญหาที่กำลังเผชิญได้ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาทั้งหมดในทันที การให้เวลาตัวเองได้ประมวลผลความรู้สึกก่อน จะช่วยให้เราจัดการกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น
Writer | เพ็ญทิพา ทองคำเภา
Illustrator | Arunnoon
เพราะคำว่า ‘ชีวิต’ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของเราๆ และ ‘งาน’ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หาใช่ทั้งหมด
เพราะความพอดีอาจไม่ได้มีหน้าตาที่ตายตัวแต่เป็นความรู้สึกที่เราย่อมสัมผัสกับมันได้เมื่อเกิดความพอดีที่แท้จริง
Rooting & Grounding คือหนึ่งในวิธียอดนิยมที่ทำให้ใครหลายคนกลับมาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งวิธีทำนั้นก็ง่ายแสนง่ายคือการผ่อนคลายให้ตัวเองได้เป็นตัวเองในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ ผ่านการถอดรองเท้าให้เปลือยเปล่า