
เดือนกันยาฯ กำลังจะผ่านไป ทำอย่างไรให้มีแรงใจสู้ต่อจนถึงสิ้นปี
เดือนกันยายนวนมาทีไร เนื้อเพลง Wake me up when September ends ของวง Green Day ก็เป็นเพลงที่วนกลับมาให้เราได้ชวนนึกถึงเฉกเช่นเดียวกัน
เพราะ ‘สติ’ และ ‘การเรียนรู้’ คือชัยชนะที่แท้จริง
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีความสนใจอย่างยิ่งในการรับชมมหกรรมการกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2024 และได้มีโอกาสเชียร์นักกีฬาหลายคนในการแข่งขันหลากหลายรายการ เราน่าจะได้เห็นหลายภาพความประทับใจไม่ต่างกันนัก
ไม่ว่าจะเป็นภาพของนักกีฬาที่ได้ทุ่มเทแรงกายใจจนได้รับชัยชนะ การแพ้-ชนะที่ชวนให้เราร่วมลุ้นระลึกไปกับทุกแมตช์การแข่งขันในทุกวินาที หรือกระทั่งท่ามกลางการแข่งขันที่แสนดุเดือดหากแต่การได้เห็นนักกีฬาทีมชาติทุกคนได้แสดงออกถึงศักยภาพของเขาอย่างเต็มที่
สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นนักกีฬาคือ ‘การมีสติ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่คุณจะพลิกวิกฤตจากการเพลี่ยงพล้ำจนเกือบเสียคะแนน นั่นอาจเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่จิตใจของคุณจะแข็งแกร่งมากขึ้น
ดังนั้น ‘สติ’ จึงเป็นอาวุธลับหนึ่งของนักกีฬาที่จะช่วยเข้าไปจัดการกับความคิด อารมณ์ และความรู้สึกที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการแข่งขัน ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือจะ ‘ดึงสติ’ กลับมาอย่างไรในช่วงเวลาที่ต้องกลับมาโฟกัสกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นอยู่ที่ตรงหน้า
วันนี้ The Present Move จึงชวนสนทนากับ ผศ. ดร.วิมลมาศ ประชากุล หรือ ‘อาจารย์ปลา’ นักจิตวิทยาการกีฬา ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลนักกีฬาทีมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโด 2 เหรียญทองโอลิมปิก หรือกระทั่ง วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักกีฬาแบดมินตันชายคนแรกที่พาทีมชาติไทยไปคว้าเหรียญเงินจากโอลิมปิกเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ไทย และยังมีนักกีฬาอื่นๆ อีกมากมายที่อยู่ในความดูแลของอาจารย์ปลาในฐานะนักจิตวิทยาการกีฬาที่คอยดูแลและให้คำปรึกษาให้พวกเขาไม่หวั่นไหวแม้จะมีอะไรมากระทบ และพร้อมออกรบในสนามด้วยจิตใจที่มั่นคงแน่วแน่
| คุณมีจุดเริ่มต้นกับอาชีพ ‘นักจิตวิทยาการกีฬา’ อย่างไรบ้าง
แรกเริ่มเดิมทีในปริญญาตรีเรียนคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ซึ่งในขณะนั้นมีอาจารย์ ดร.พิชิต เมืองนาโพธิ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งท่านเป็นนักจิตวิทยาการกีฬาอยู่แล้ว เราจึงได้เรียนรู้ศาสตร์นี้จากท่านอย่างใกล้ชิด ตอนแรกถึงแม้อาจไม่ได้สนใจนักแต่กลับมาอาจารย์อีกท่านหนึ่งมาบอกกับเราว่าคนอย่างเราน่าเรียนศาสตร์จิตวิทยาการกีฬานะ เราจึงเริ่มสนใจขึ้นมา ประกอบกับในขณะนั้นสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาเรียกได้ว่าเป็นสาขาที่ขาดแคลนบุคลากรพอดิบพอดีจึงได้เลือกสาขานี้ไป และเรียนจิตวิทยาการกีฬามาตั้งแต่ปริญญาโทและปริญญาเอก
ซึ่งได้เริ่มดูแลนักกีฬาอย่างจริงจังราวช่วงที่คาบเกี่ยวระหว่างการจบปริญญาโทและการเริ่มเรียนปริญญาเอก ในขณะนั้นได้เข้าไปเป็นทีมงานของอาจารย์ ดร.พิชิต จึงเป็นลูกมือท่านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วงใกล้จบปริญญาเอกจึงเริ่มเข้ามาทำงานกับสมาคมเทควันโดก่อนที่จะได้ทุนไปเรียนที่เกาหลีใต้เป็นระยะเวลา 6 เดือน หลังจากกลับมาจึงได้ทำงานด้านนี้อย่างเต็มตัวและได้เริ่มดูแลนักกีฬาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
| นักจิตวิทยาการกีฬาต้องเล่นกีฬาด้วยไหม และการทำงานกับนักกีฬาในแต่ละรูปแบบเป็นอย่างไร
ตัวเราเองเล่นกีฬาแบบหลากหลายแต่ไม่ได้เก่งมาก แต่เน้นทำงานกับนักกีฬามากกว่า อย่างถ้าเริ่มต้นกับทีมชาติไทยเราจะอยู่กับเทควันโดมาตลอด เริ่มตั้งแต่ปี 2002
| การดูแลนักกีฬาที่เล่นแบบบุคคล VS การดูแลนักกีฬาที่เล่นเป็นทีม
มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
โดยพื้นฐานที่นักกีฬาหนึ่งคนต้องมีไม่ต่างกันมากนัก แต่ในเชิงรายละเอียดจะมีข้อดี ข้อเสีย จุดอ่อน จุดแข็ง และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
หากเป็น ‘กีฬาประเภททีม’ อาจต้องส่งเสริมเรื่องความเป็น Team Work ที่ดี ซึ่งจุดแข็งคือความกดดันจะไม่ไปถูกวางที่ใครคนใดคนหนึ่ง และเราไม่จำเป็นต้องทำนักกีฬาทุกคนให้กลายเป็นตัวหลักของทีม แต่สิ่งสำคัญคือการสนับสนุนซึ่งกันและกัน และเรื่องการสื่อสารจะมีความสำคัญมากกว่ากีฬาประเภทบุคคล
ส่วน ‘กีฬาประเภทบุคคล’ เขาจะต้องรับผิดชอบในการแสดงออกซึ่งความสามารถและศักยภาพของตัวเขาเอง เพราะผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเขาเพียงคนเดียว ซึ่งนั่นอาจเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน
| ช่วงแรกเริ่มเวลาที่จะต้องเทรนนักกีฬาสักคนหนึ่งมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะนักกีฬาทีมชาติที่จะต้องแบกความคาดหวังของคนทั้งประเทศไว้บนบ่า น่าจะกดดันไม่น้อยเลย
ต้องใช้คำว่าเรามี ‘วิธีการเตรียม’ ที่จะต้องมีขั้นตอนต่างๆ
และทำงานร่วมกันกับผู้ดูแลนักกีฬาอีกหลายฝ่าย ทั้งโค้ช นักกายภาพ แพทย์ ผู้บริหาร และนักกีฬา ซึ่ง ‘วิธีการเตรียม’ มีขั้นตอนดังนี้
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราเตรียมนักกีฬาไป
| หากช่วงระหว่างการซ้อมนักกีฬารู้สึกท้อแท้ กังวลจนหมดกำลังใจ จะมีวิธีเตรียมรับมืออย่างไรบ้าง
‘เป้าหมาย’ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยค่ะ
ตอนแรกเลยคือเราต้องเข้าไปคุยกับนักกีฬาแล้วถามถึงเป้าหมายของเขาก่อน เช่น เพราะอะไรเขาถึงอยากเล่นกีฬานี้? คำถามนี้เพื่อให้เขาตอบด้วยการรู้คุณค่าของกีฬานี้จริงๆ และถัดมาเมื่อรู้เป้าหมายแล้วเราก็ต้องจูนให้เขาสนุกกับมันได้แม้ว่าจะเป็นงาน และเมื่อเข้าเกิดความรู้สึกท้อแท้เราก็จะนำเอา
สิ่งนี้มาคุยกับเราว่าเป้าหมายเรายังเหมือนเดิมอยู่ไหม
นอกเหนือไปจากการพูดคุยเรื่องเป้าหมายแล้ว ‘การเตรียม’ ยังมีขั้นตอนอื่นๆ อีก เช่น
‘การฝึกทักษะ’ ให้กับเขา เพราะการที่เขาจะแสดงออกซึ่งศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในสนามแข่ง ต้องมี 3 สิ่งประกอบกันจากภายใน ได้แก่ การมีทักษะที่ดี ร่างกายที่พร้อม และจิตใจที่แข็งแกร่ง และอีกหนึ่งสิ่งสนับสนุนจากภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่คอยสนับสนุน ซึ่งเป็นเรื่องของคนที่อยู่ข้างเขา
ทั้งผู้บริหารและทีมงาน
| หากใกล้การแข่งขันมากๆ แล้วมีหลายความรู้สึกเข้ามาปะทะ
หรืออยู่ในสนามแล้วนักกีฬารู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้
มีคำแนะนำให้เขาอย่างไรบ้าง
ต้องฝึกอย่างเดียวเลยค่ะ ยกตัวอย่างเช่นของน้องเทนนิส (พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ) ตอนที่เขาจะเข้าแข่งรอบชิงชนะเลิศที่โอลิมปิกปารีสปีนี้ เขาโทรกลับมาหาแล้วบอกว่า “พี่ปลา หนูตื่นเต้นมากเลย อยากแข่งให้มันจบๆ ไป” ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะความเครียดและความรู้สึกกดดัน ตอนนั้นเราใช้วิธีการเบี่ยงเบนความสนใจเขาแทนที่จะไปกังวลอนาคตที่ยังไม่เกิด เพราะถึงเรากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะว่าเราก็ไม่รู้ถึงผลลัพธ์ในท้ายที่สุดจริงๆ
ถ้าถามว่าอยากให้น้องชนะไหม เราอยากให้น้องชนะอยู่แล้ว แต่กีฬาคือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เราเลยบอกน้องไปว่าสิ่งที่น้องทำและนำพาตัวเองมาจนถึงจุดนี้คือการประสบความสำเร็จอย่างสง่างามที่สุดแล้ว เพราะฝ่าฟันด้วยกันมาอย่างแสนสาหัสมาหลายปี หนักไปทั้งกายและใจไหนจะสภาวะอะไรต่างๆ มากมาย เราพยายามพูดให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเอง
“Let enjoy the last dance.” คือสิ่งสุดท้ายที่เราบอกเขาไป เพราะเรารู้ว่านี่เป็นการแข่งขันโอลิมปิกครั้งสุดท้ายของเขา ให้เขาซึมซับทุกอย่างทุกความทรงจำ ไปเล่นอย่างสนุกสนาน ทำให้เต็มที่ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ตัวของเขาเอง
ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน แต่พอแข่งเสร็จได้คุยกับน้อง น้องก็บอกว่าประโยคนี้ช่วยเขาได้มากเลย และเขาเองก็ท่องคำนี้อยู่ในใจตลอดการแข่งขัน เพราะฉะนั้นจึงเหมือนกับว่าเขาอยู่กับตรงนี้ เอ็นจอยกับปัจจุบันขณะแทนที่จะคิดกังวลว่ามันจะเป็นอย่างไร จะแพ้ไหม กลัวจบไม่สวย แต่เราก็พยายามดึงให้เขากลับมาอยู่กับสิ่งที่ต้องทำตรงหน้า
ทั้งนี้ทั้งนั้นกระบวนการเหล่านี้มันใช้ระยะเวลาค่อนข้างมาก จะไม่เหมือนกับความเข้าใจของใครหลายคนที่มองว่า เฮ้ย จะแข่งแล้ว ลองปลุกหน่อยสิ บอกผมหน่อยสิว่าต้องทำอะไร ถ้าอย่างนั้นเราอาจบอกได้แค่ “สู้ๆ ค่ะ” แต่มันไม่เพียงพอหรอก เราต้องใช้ระยะเวลาให้เขาคุ้นชินกับเราสักพักหนึ่งถึงจะจูนกันได้เพราะนักกีฬาแต่ละคนมีความแตกต่างกัน วิธีการอาจคล้ายกันแต่มันก็ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
| กับ ‘วิว’ (กุลวุฒิ วิทิตศานต์) ที่ได้มีโอกาสดูแลในการแข่งขันโอลิมปิกแรกของเขา มีการเตรียมอย่างไร
จริงๆ คล้ายกันเลย คอนเซ็ปต์คือ ‘มีสติอยู่กับปัจจุบัน’ และ ‘อยู่กับสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ’
ในช่วงใกล้การแข่งขันเราอาจจะไม่ได้คุยกับเขาเยอะเพราะว่าทั้งหมดเป็นสิ่งที่เราเตรียมกันมาแล้ว สิ่งที่เราแอบกังวลเล็กน้อยคือเรื่องของ ‘ความคาดหวัง’ เขาต้องคาดหวังให้ถูก
‘คาดหวังให้ถูก’ คือ ความคาดหวังที่เป็นจริงได้ ควบคุมได้ ลงมือทำได้ เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เราถามเพื่อให้เขาค่อยๆ คิดเพื่อทบทวนและมีสติรู้ตัวถึงปัจจุบัน
ซึ่งกับวิวใช้เวลาราว 4 เดือน ตอนแรกเขาก็งงๆ ไม่เข้าใจแต่ก็ค่อยๆ เปิดใจเรื่อยๆ มันก็มีบางอย่างที่เขาเข้าใจได้เลยหรือบางอย่างที่ต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจ แต่วิวเป็นเด็กดีและฉลาดเลยปรับตัวกันได้ไว สาระสำคัญคือนักกีฬาต้องเชื่อในกระบวนการถึงจะเอาไปใช้ในแต่ละสถานการณ์ได้
หลังการแข่งขันก็ถามเขาว่า “ได้เรียนรู้อะไรบ้าง?” เพราะเราต้องการให้เขาเอาตรงนี้ไปใช้ต่อ เขาบอกว่าได้เรียนรู้เรื่องการควบคุมตัวเอง เข้าใจแล้วว่าการอยู่กับปัจจุบันเป็นอย่างไร และรู้ว่าจะใช้วิธีการไหนดึงตัวเองให้กลับมาเมื่อเผลอหลุดไป
| คนทั่วไปอาจมองว่ากีฬาไม่แพ้ก็ชนะ การที่คุณต้องเตรียมนักกีฬาให้เขายังอยู่กับเป้าหมายตัวเองเสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ให้เขาอยากเอาชนะจนถูกกิเลสครอบงำไป คุณคิดเห็นว่าอย่างไร
คนทั่วไปอาจมองว่ากีฬาไม่แพ้ก็ชนะ ชนะคือบวก แพ้คือลบ แต่สำหรับอาจารย์ปลาทุกการแข่งขันมีคุณค่าเสมอไม่ว่าผลลัพธ์ในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร หากแพ้คุณรู้ว่าคุณแพ้เพราะอะไร คุณยอมรับ Move on และไปต่อ เพราะว่าครั้งต่อไปที่คุณลงสนามก็ยังมีโอกาสเท่าเดิม
หรือเช่นเดียวกันถึงคุณจะชนะ แต่เมื่อผ่านไปคุณก็ต้องกลับไปฝึกซ้อมเตรียมตัวต่อในการแข่งขันครั้งหน้าซึ่งการเตรียมตัวฟันฝ่ามุมานะเพื่อมาประสบความสำเร็จอีกครั้งอันนี้เป็นกระบวนการที่เราอยากให้ความสำคัญมากกว่าการแค่แพ้หรือชนะ
ให้รู้ว่าการแข่งขันมันเป็นการประเมินการฝึกซ้อม ไม่ใช่การประเมินคุณค่าของตัวคุณเอง
และให้รู้ว่าผลลัพธ์เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตัวคุณเอง
| นอกเหนือไปจากการเตรียมตัวจากภายในของนักกีฬาเองแล้วนั้น
ในแง่ของความกดดันคาดหวังจาก ‘ข้างนอก’
มีวิธีการแนะนำนักกีฬาอย่างไรบ้าง
เป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันเลยค่ะ ทั้งนอกอาจารย์ปลาเองนอกเหนือไปจากการดูแลนักกีฬาทีมชาติแล้วยังมีดูแลทีม e-Sports เช่นกัน ซึ่งเรารู้กันดีว่ากีฬาชนิดนี้มีการปะทะกับโลกโซเชียลที่รุนแรงมากแบบปฏิเสธไม่ได้
วิธีการเตรียมคล้ายกัน คือ บอกเขาให้แยกแยะให้ออกว่าตอนนี้เราอยู่ในบทบาทใดระหว่าง ‘นักกีฬา’ และ ‘สตรีมเมอร์’ เพราะว่าสตรีมเมอร์คือนักเอนเตอร์เทน แต่หากตอนนี้คุณสวมหมวกนักกีฬาอยู่คุณจะเล่นแบบเอาใจผู้ชมไม่ได้เพราะนี่คือการแข่งขัน อยู่ในทีมก็ต้องทำตามระบบทีม อันนี้ก็จะเป็นส่วนที่สอน mindset การเป็นนักกีฬาให้เขา นอกเหนือจากนั้นก็สอนวิธีการรับมือกับคอมเมนต์ที่พุ่งมาหาเขาว่าที่จริงแล้วคนที่มาคอมเมนต์ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร เราอาจจะขอบคุณเขาเพราะที่เขามาดูมาแสดงความคิดเห็นก็เพราะเขาสนใจเราอยู่
หรืออย่างกับ ‘เทนนิส’ เองในหลายครั้งเมื่อน้องโดนโจมตีแล้วเขารู้สึกไม่ดี ก็อาจจะแนะนำไปว่าให้เขาแยกแยะว่าอันไหนคือความคิดเห็น อันไหนคือตัวตนของเขาจริงๆ ให้ ‘การตระหนักรู้ในตัวเอง’ สำคัญที่สุดเพราะไม่มีใครรู้ตัวเราดีไปกว่าตัวเรา
เรามักจะบอกกับนักกีฬาเสมอเกี่ยวกับความคาดหวังจากคนนอกว่า ที่จริงแล้วสิ่งที่คนอื่นคาดหวังกับสิ่งที่คุณคาดหวังเป็นสิ่งเดียวกันคืออยากชนะใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราอาจจะไม่ต้องแบกความคาดหวังจากคนอื่นขนาดนั้นก็ได้ เล่นอย่างเต็มที่ก็พอ เพราะไม่งั้นอาจจะไม่ต่างอะไรไปจากแบกเป้ไปในสนาม ถ้ามันหนักเกินไปเราก็แค่วาง
| คุณคิดว่า ‘การมีสติอยู่กับปัจจุบัน’ สำคัญกับนักกีฬามากน้อยแค่ไหน
สำคัญมากๆ เลย มันคือเคล็ดลับของการแสดงความสามารถที่ดีที่สุด เพราะปัญหาที่มักเกิดกับนักกีฬาคือความกดดัน ความคาดหวัง และความไม่มั่นใจ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมาจากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ปัจจุบัน
การที่นักกีฬาไม่มั่นใจเพราะกลับไปย้อนนึกถึงว่าเคยทำแล้วออกมาไม่ดี กลัวว่าจะเล่นอีกไม่ได้ หรือความไม่มั่นใจต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นเพราะพยายามไปควบคุมอนาคตซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความกังวลและความกดดัน เพราะยิ่งเมื่อเขาคิดอะไรในหัวเยอะจะส่งผลต่อการตัดสินใจได้ช้าลง แต่ถ้าเมื่อใดที่นักกีฬาพาตัวเองกลับมาอยู่ ณ ปัจจุบันได้ เขาจะทำทุกอย่างได้อย่างเต็มที่ตามศักยภาพ
เป็นความจริงที่ว่าพลังงานโฟกัสของเรามีจำกัด การอยู่กับปัจจุบันขณะเป็นการใช้พลังงานที่น้อยที่สุด ยิ่งเอ็นจอยกับสิ่งที่ทำด้วยก็จะยิ่งใช้พลังงานน้อย
คล้ายกับกีฬาฟุตบอล คุณลองสังเกตดูสิว่าเพราะอะไรจึงมักไปแพ้กันท้ายเกม? อาจจะเป็นเพราะ ณ ตอนนั้นคือแบกความหวังมาแล้วทั้งเกมพอมาถึงช่วงท้ายเลยหลังงานหมด
| เทคนิควิธีในการ ‘กลับมาอยู่กับปัจจุบัน’ ที่อยากแนะนำมีอะไรบ้าง
ฝึกการหายใจ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่ทำได้เลยค่ะ เทคนิคที่อาจารย์ปลาใช้คือการหายใจด้วยกะบังลม ซึ่งมีวิธีการ 4 ขั้นตอน คือ
| อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการโฟกัสที่เป้าหมายและให้นักกีฬาเชื่อมั่นในตัวเองใช่ไหม
เชื่อมั่นในตัวเองและเชื่อมั่นในกระบวนการ เพราะกระบวนการคือเครื่องมือที่ใช้ควบคุมตัวเขาซึ่งแต่ละคนมีความแตกต่างกัน เราก็สร้างกระบวนการไว้ให้และให้เขาเชื่อในกระบวนการตรงนี้ เชื่อว่าเราซ้อมมาแล้ว เราฝึกและเตรียมตัวมาอย่างดีแล้ว นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
หากให้กล่าวถึงกระบวนการทั้งหมดเป็นคำพูดอาจจะยกตัวอย่างได้ประมาณว่า
สติ
อยู่กับปัจจุบัน
จัดลำดับให้ถูก
อยู่กับสิ่งที่ควบคุมได้
โฟกัสให้ถูกจุด
เตรียมให้พร้อม-มองให้ถึง-คิดสิ่งที่ถูก
อยู่กับสิ่งที่ต้องทำเพื่อสิ่งที่ต้องการ
| สิ่งที่อยากฝากก่อนจะจากกัน
เรื่องจิตใจเป็นเรื่องที่สำคัญมากค่ะ และเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนจึงจะสามารถนำเอาไปใช้ได้ บางครั้งแค่การพูดคุยอาจไม่พอ แต่ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ฝึกกันได้แน่นอน (ยิ้ม)
เดือนกันยายนวนมาทีไร เนื้อเพลง Wake me up when September ends ของวง Green Day ก็เป็นเพลงที่วนกลับมาให้เราได้ชวนนึกถึงเฉกเช่นเดียวกัน
หากถามว่า Old Soul คืออะไร? และแปลกไหมหากเรามีจิตวิญญาณที่แก่กว่าอายุ ในหลายครั้งที่เราอาจเคยถูกใครสักคนบอกว่า ‘แก่กว่าอายุ’
ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจลิสต์รายชื่อหนังสือที่ต้องการ เพื่อบุกงานหนังสือฯ เติมสต๊อกหนังสือใหม่เข้ากองดอง แต่เมื่อหันกลับมามอง เฮ้ย ที่ซื้อมาก่อนยังไม่ได้อ่าน