The Present Move

ผศ. ดร.วิมลมาศ ประชากุล : เคล็ดลับระดับทีมชาติของนักกีฬาโอลิมปิก เพราะ ‘สติ’ และ ‘การเรียนรู้’ คือชัยชนะที่แท้จริง

The Present Move | Mindful Global Citizens

เพราะ ‘สติ’ และ ‘การเรียนรู้’ คือชัยชนะที่แท้จริง

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ในช่วงเดือนที่ผ่านมามีความสนใจอย่างยิ่งในการรับชมมหกรรมการกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2024 และได้มีโอกาสเชียร์นักกีฬาหลายคนในการแข่งขันหลากหลายรายการ เราน่าจะได้เห็นหลายภาพความประทับใจไม่ต่างกันนัก 

ไม่ว่าจะเป็นภาพของนักกีฬาที่ได้ทุ่มเทแรงกายใจจนได้รับชัยชนะ การแพ้-ชนะที่ชวนให้เราร่วมลุ้นระลึกไปกับทุกแมตช์การแข่งขันในทุกวินาที หรือกระทั่งท่ามกลางการแข่งขันที่แสนดุเดือดหากแต่การได้เห็นนักกีฬาทีมชาติทุกคนได้แสดงออกถึงศักยภาพของเขาอย่างเต็มที่

สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นนักกีฬาคือ ‘การมีสติ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่คุณจะพลิกวิกฤตจากการเพลี่ยงพล้ำจนเกือบเสียคะแนน นั่นอาจเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่จิตใจของคุณจะแข็งแกร่งมากขึ้น

ดังนั้น ‘สติ’ จึงเป็นอาวุธลับหนึ่งของนักกีฬาที่จะช่วยเข้าไปจัดการกับความคิด อารมณ์ และความรู้สึกที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการแข่งขัน ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือจะ ‘ดึงสติ’ กลับมาอย่างไรในช่วงเวลาที่ต้องกลับมาโฟกัสกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นอยู่ที่ตรงหน้า

 

วันนี้ The Present Move จึงชวนสนทนากับ ผศ. ดร.วิมลมาศ ประชากุล หรือ ‘อาจารย์ปลา’ นักจิตวิทยาการกีฬา ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลนักกีฬาทีมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโด 2 เหรียญทองโอลิมปิก หรือกระทั่ง วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักกีฬาแบดมินตันชายคนแรกที่พาทีมชาติไทยไปคว้าเหรียญเงินจากโอลิมปิกเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ไทย และยังมีนักกีฬาอื่นๆ อีกมากมายที่อยู่ในความดูแลของอาจารย์ปลาในฐานะนักจิตวิทยาการกีฬาที่คอยดูแลและให้คำปรึกษาให้พวกเขาไม่หวั่นไหวแม้จะมีอะไรมากระทบ และพร้อมออกรบในสนามด้วยจิตใจที่มั่นคงแน่วแน่

| คุณมีจุดเริ่มต้นกับอาชีพ ‘นักจิตวิทยาการกีฬา’ อย่างไรบ้าง

แรกเริ่มเดิมทีในปริญญาตรีเรียนคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ซึ่งในขณะนั้นมีอาจารย์ ดร.พิชิต เมืองนาโพธิ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งท่านเป็นนักจิตวิทยาการกีฬาอยู่แล้ว เราจึงได้เรียนรู้ศาสตร์นี้จากท่านอย่างใกล้ชิด ตอนแรกถึงแม้อาจไม่ได้สนใจนักแต่กลับมาอาจารย์อีกท่านหนึ่งมาบอกกับเราว่าคนอย่างเราน่าเรียนศาสตร์จิตวิทยาการกีฬานะ เราจึงเริ่มสนใจขึ้นมา ประกอบกับในขณะนั้นสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาเรียกได้ว่าเป็นสาขาที่ขาดแคลนบุคลากรพอดิบพอดีจึงได้เลือกสาขานี้ไป และเรียนจิตวิทยาการกีฬามาตั้งแต่ปริญญาโทและปริญญาเอก

ซึ่งได้เริ่มดูแลนักกีฬาอย่างจริงจังราวช่วงที่คาบเกี่ยวระหว่างการจบปริญญาโทและการเริ่มเรียนปริญญาเอก ในขณะนั้นได้เข้าไปเป็นทีมงานของอาจารย์ ดร.พิชิต จึงเป็นลูกมือท่านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วงใกล้จบปริญญาเอกจึงเริ่มเข้ามาทำงานกับสมาคมเทควันโดก่อนที่จะได้ทุนไปเรียนที่เกาหลีใต้เป็นระยะเวลา 6 เดือน หลังจากกลับมาจึงได้ทำงานด้านนี้อย่างเต็มตัวและได้เริ่มดูแลนักกีฬาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

| นักจิตวิทยาการกีฬาต้องเล่นกีฬาด้วยไหม และการทำงานกับนักกีฬาในแต่ละรูปแบบเป็นอย่างไร

ตัวเราเองเล่นกีฬาแบบหลากหลายแต่ไม่ได้เก่งมาก แต่เน้นทำงานกับนักกีฬามากกว่า อย่างถ้าเริ่มต้นกับทีมชาติไทยเราจะอยู่กับเทควันโดมาตลอด เริ่มตั้งแต่ปี 2002 

| การดูแลนักกีฬาที่เล่นแบบบุคคล VS การดูแลนักกีฬาที่เล่นเป็นทีม
มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

โดยพื้นฐานที่นักกีฬาหนึ่งคนต้องมีไม่ต่างกันมากนัก แต่ในเชิงรายละเอียดจะมีข้อดี ข้อเสีย จุดอ่อน จุดแข็ง และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน

หากเป็น ‘กีฬาประเภททีม’ อาจต้องส่งเสริมเรื่องความเป็น Team Work ที่ดี ซึ่งจุดแข็งคือความกดดันจะไม่ไปถูกวางที่ใครคนใดคนหนึ่ง และเราไม่จำเป็นต้องทำนักกีฬาทุกคนให้กลายเป็นตัวหลักของทีม แต่สิ่งสำคัญคือการสนับสนุนซึ่งกันและกัน และเรื่องการสื่อสารจะมีความสำคัญมากกว่ากีฬาประเภทบุคคล

ส่วน ‘กีฬาประเภทบุคคล’ เขาจะต้องรับผิดชอบในการแสดงออกซึ่งความสามารถและศักยภาพของตัวเขาเอง เพราะผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเขาเพียงคนเดียว ซึ่งนั่นอาจเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน

| ช่วงแรกเริ่มเวลาที่จะต้องเทรนนักกีฬาสักคนหนึ่งมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะนักกีฬาทีมชาติที่จะต้องแบกความคาดหวังของคนทั้งประเทศไว้บนบ่า น่าจะกดดันไม่น้อยเลย

ต้องใช้คำว่าเรามี ‘วิธีการเตรียม’ ที่จะต้องมีขั้นตอนต่างๆ
และทำงานร่วมกันกับผู้ดูแลนักกีฬาอีกหลายฝ่าย ทั้งโค้ช นักกายภาพ แพทย์ ผู้บริหาร และนักกีฬา
ซึ่ง ‘วิธีการเตรียม’ มีขั้นตอนดังนี้

  1. ทำให้เขาเข้าใจว่ากีฬาคืออะไร ที่ใครต่อใครมักบอกว่ากีฬามี ‘แพ้’ มี ‘ชนะ’ เพราะที่จริงแล้วการแพ้ชนะมันเป็นเสน่ห์ของกีฬา และไม่มีใครรู้ว่าใครจะแพ้หรือชนะจนกว่าจะจบการแข่งขันจริงๆ อันนี้เป็นสิ่งที่นักกีฬาต้องเข้าใจ เพราะหากเราบอกว่าเราซ้อมมาดีซ้อมมาเยอะแล้วเราต้องชนะแต่คู่แข่งที่จะต้องมาแข่งกับเราเขาก็เตรียมตัวมาดีเช่นเดียวกัน 

  2. กีฬาให้โอกาสเสมอ ‘การแพ้’ ก็อาจไม่ใช่จุดจบ และเราจะไม่ได้แพ้เสมอไป หน้าที่ของนักกีฬาคือการเตรียมตัวให้พร้อมแล้วแสดงออกซึ่งศักยภาพของตนเองให้เต็มที่ในสนาม แพ้เราดีใจ ชนะเราเสียใจ แต่ความสำคัญคือเราได้เรียนรู้อะไรจากมัน หากชนะแต่คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรนั่นก็อาจไม่มีความหมายอะไรเลยเพราะคุณไม่ได้ชนะตลอดกาล และในหลายครั้ง ‘การพ่ายแพ้’ ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้ และนั่นจะเป็นแรงจูงใจที่ดีมากในการฝึกซ้อมต่อๆ ไป

  3. การควบคุมความคิดและการปรับมุมมองเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน เป็นอีกวิธีการปรับวิธีคิดอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อให้เข้าใจกีฬาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากนักกีฬาสามารถฝึกทักษะการควบคุมความคิดในการควบคุมความตื่นตัวเพื่อให้นักกีฬาสามารถคิดอย่างเป็นลำดับได้ อยู่กับปัจจุบัน เรียนรู้ตัวเองได้ นั่นจะทำให้ความกดดันว่าฉันจะแพ้ไม่ได้นะ ฉันจะต้องชนะเท่านั้นเหล่านั้นมันลดลง และเมื่อพวกเขาปรับความคิดและร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่ปกติได้ เขาก็จะนำสิ่งที่ซ้อมมาใช้ได้และจะได้แสดงถึงศักยภาพได้อย่างเต็มที่

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราเตรียมนักกีฬาไป

| หากช่วงระหว่างการซ้อมนักกีฬารู้สึกท้อแท้ กังวลจนหมดกำลังใจ จะมีวิธีเตรียมรับมืออย่างไรบ้าง

‘เป้าหมาย’ คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยค่ะ

ตอนแรกเลยคือเราต้องเข้าไปคุยกับนักกีฬาแล้วถามถึงเป้าหมายของเขาก่อน เช่น เพราะอะไรเขาถึงอยากเล่นกีฬานี้? คำถามนี้เพื่อให้เขาตอบด้วยการรู้คุณค่าของกีฬานี้จริงๆ และถัดมาเมื่อรู้เป้าหมายแล้วเราก็ต้องจูนให้เขาสนุกกับมันได้แม้ว่าจะเป็นงาน และเมื่อเข้าเกิดความรู้สึกท้อแท้เราก็จะนำเอา
สิ่งนี้มาคุยกับเราว่าเป้าหมายเรายังเหมือนเดิมอยู่ไหม

นอกเหนือไปจากการพูดคุยเรื่องเป้าหมายแล้ว ‘การเตรียม’ ยังมีขั้นตอนอื่นๆ อีก เช่น

‘การฝึกทักษะ’ ให้กับเขา เพราะการที่เขาจะแสดงออกซึ่งศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในสนามแข่ง ต้องมี 3 สิ่งประกอบกันจากภายใน ได้แก่ การมีทักษะที่ดี ร่างกายที่พร้อม และจิตใจที่แข็งแกร่ง และอีกหนึ่งสิ่งสนับสนุนจากภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่คอยสนับสนุน ซึ่งเป็นเรื่องของคนที่อยู่ข้างเขา
ทั้งผู้บริหารและทีมงาน

| หากใกล้การแข่งขันมากๆ แล้วมีหลายความรู้สึกเข้ามาปะทะ
หรืออยู่ในสนามแล้วนักกีฬารู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้
มีคำแนะนำให้เขาอย่างไรบ้าง

ต้องฝึกอย่างเดียวเลยค่ะ ยกตัวอย่างเช่นของน้องเทนนิส (พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ) ตอนที่เขาจะเข้าแข่งรอบชิงชนะเลิศที่โอลิมปิกปารีสปีนี้ เขาโทรกลับมาหาแล้วบอกว่า “พี่ปลา หนูตื่นเต้นมากเลย อยากแข่งให้มันจบๆ ไป” ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะความเครียดและความรู้สึกกดดัน ตอนนั้นเราใช้วิธีการเบี่ยงเบนความสนใจเขาแทนที่จะไปกังวลอนาคตที่ยังไม่เกิด เพราะถึงเรากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะว่าเราก็ไม่รู้ถึงผลลัพธ์ในท้ายที่สุดจริงๆ 

ถ้าถามว่าอยากให้น้องชนะไหม เราอยากให้น้องชนะอยู่แล้ว แต่กีฬาคือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เราเลยบอกน้องไปว่าสิ่งที่น้องทำและนำพาตัวเองมาจนถึงจุดนี้คือการประสบความสำเร็จอย่างสง่างามที่สุดแล้ว เพราะฝ่าฟันด้วยกันมาอย่างแสนสาหัสมาหลายปี หนักไปทั้งกายและใจไหนจะสภาวะอะไรต่างๆ มากมาย เราพยายามพูดให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเอง

“Let enjoy the last dance.” คือสิ่งสุดท้ายที่เราบอกเขาไป เพราะเรารู้ว่านี่เป็นการแข่งขันโอลิมปิกครั้งสุดท้ายของเขา ให้เขาซึมซับทุกอย่างทุกความทรงจำ ไปเล่นอย่างสนุกสนาน ทำให้เต็มที่ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ตัวของเขาเอง

ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน แต่พอแข่งเสร็จได้คุยกับน้อง น้องก็บอกว่าประโยคนี้ช่วยเขาได้มากเลย และเขาเองก็ท่องคำนี้อยู่ในใจตลอดการแข่งขัน เพราะฉะนั้นจึงเหมือนกับว่าเขาอยู่กับตรงนี้ เอ็นจอยกับปัจจุบันขณะแทนที่จะคิดกังวลว่ามันจะเป็นอย่างไร จะแพ้ไหม กลัวจบไม่สวย แต่เราก็พยายามดึงให้เขากลับมาอยู่กับสิ่งที่ต้องทำตรงหน้า

ทั้งนี้ทั้งนั้นกระบวนการเหล่านี้มันใช้ระยะเวลาค่อนข้างมาก จะไม่เหมือนกับความเข้าใจของใครหลายคนที่มองว่า เฮ้ย จะแข่งแล้ว ลองปลุกหน่อยสิ บอกผมหน่อยสิว่าต้องทำอะไร ถ้าอย่างนั้นเราอาจบอกได้แค่ “สู้ๆ ค่ะ” แต่มันไม่เพียงพอหรอก เราต้องใช้ระยะเวลาให้เขาคุ้นชินกับเราสักพักหนึ่งถึงจะจูนกันได้เพราะนักกีฬาแต่ละคนมีความแตกต่างกัน วิธีการอาจคล้ายกันแต่มันก็ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว

| กับ ‘วิว’ (กุลวุฒิ วิทิตศานต์) ที่ได้มีโอกาสดูแลในการแข่งขันโอลิมปิกแรกของเขา มีการเตรียมอย่างไร

จริงๆ คล้ายกันเลย คอนเซ็ปต์คือ ‘มีสติอยู่กับปัจจุบัน’ และ ‘อยู่กับสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ’ 

ในช่วงใกล้การแข่งขันเราอาจจะไม่ได้คุยกับเขาเยอะเพราะว่าทั้งหมดเป็นสิ่งที่เราเตรียมกันมาแล้ว สิ่งที่เราแอบกังวลเล็กน้อยคือเรื่องของ ‘ความคาดหวัง’ เขาต้องคาดหวังให้ถูก

‘คาดหวังให้ถูก’ คือ ความคาดหวังที่เป็นจริงได้ ควบคุมได้ ลงมือทำได้  เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เราถามเพื่อให้เขาค่อยๆ คิดเพื่อทบทวนและมีสติรู้ตัวถึงปัจจุบัน 

ซึ่งกับวิวใช้เวลาราว 4 เดือน ตอนแรกเขาก็งงๆ ไม่เข้าใจแต่ก็ค่อยๆ เปิดใจเรื่อยๆ มันก็มีบางอย่างที่เขาเข้าใจได้เลยหรือบางอย่างที่ต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจ แต่วิวเป็นเด็กดีและฉลาดเลยปรับตัวกันได้ไว สาระสำคัญคือนักกีฬาต้องเชื่อในกระบวนการถึงจะเอาไปใช้ในแต่ละสถานการณ์ได้

หลังการแข่งขันก็ถามเขาว่า “ได้เรียนรู้อะไรบ้าง?” เพราะเราต้องการให้เขาเอาตรงนี้ไปใช้ต่อ เขาบอกว่าได้เรียนรู้เรื่องการควบคุมตัวเอง เข้าใจแล้วว่าการอยู่กับปัจจุบันเป็นอย่างไร และรู้ว่าจะใช้วิธีการไหนดึงตัวเองให้กลับมาเมื่อเผลอหลุดไป

| คนทั่วไปอาจมองว่ากีฬาไม่แพ้ก็ชนะ การที่คุณต้องเตรียมนักกีฬาให้เขายังอยู่กับเป้าหมายตัวเองเสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ให้เขาอยากเอาชนะจนถูกกิเลสครอบงำไป คุณคิดเห็นว่าอย่างไร

คนทั่วไปอาจมองว่ากีฬาไม่แพ้ก็ชนะ ชนะคือบวก แพ้คือลบ แต่สำหรับอาจารย์ปลาทุกการแข่งขันมีคุณค่าเสมอไม่ว่าผลลัพธ์ในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร หากแพ้คุณรู้ว่าคุณแพ้เพราะอะไร คุณยอมรับ Move on และไปต่อ เพราะว่าครั้งต่อไปที่คุณลงสนามก็ยังมีโอกาสเท่าเดิม 

หรือเช่นเดียวกันถึงคุณจะชนะ แต่เมื่อผ่านไปคุณก็ต้องกลับไปฝึกซ้อมเตรียมตัวต่อในการแข่งขันครั้งหน้าซึ่งการเตรียมตัวฟันฝ่ามุมานะเพื่อมาประสบความสำเร็จอีกครั้งอันนี้เป็นกระบวนการที่เราอยากให้ความสำคัญมากกว่าการแค่แพ้หรือชนะ

ให้รู้ว่าการแข่งขันมันเป็นการประเมินการฝึกซ้อม ไม่ใช่การประเมินคุณค่าของตัวคุณเอง

และให้รู้ว่าผลลัพธ์เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตัวคุณเอง

| นอกเหนือไปจากการเตรียมตัวจากภายในของนักกีฬาเองแล้วนั้น
ในแง่ของความกดดันคาดหวังจาก ‘ข้างนอก’
มีวิธีการแนะนำนักกีฬาอย่างไรบ้าง

เป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันเลยค่ะ ทั้งนอกอาจารย์ปลาเองนอกเหนือไปจากการดูแลนักกีฬาทีมชาติแล้วยังมีดูแลทีม e-Sports เช่นกัน ซึ่งเรารู้กันดีว่ากีฬาชนิดนี้มีการปะทะกับโลกโซเชียลที่รุนแรงมากแบบปฏิเสธไม่ได้

วิธีการเตรียมคล้ายกัน คือ บอกเขาให้แยกแยะให้ออกว่าตอนนี้เราอยู่ในบทบาทใดระหว่าง ‘นักกีฬา’ และ ‘สตรีมเมอร์’ เพราะว่าสตรีมเมอร์คือนักเอนเตอร์เทน แต่หากตอนนี้คุณสวมหมวกนักกีฬาอยู่คุณจะเล่นแบบเอาใจผู้ชมไม่ได้เพราะนี่คือการแข่งขัน อยู่ในทีมก็ต้องทำตามระบบทีม อันนี้ก็จะเป็นส่วนที่สอน mindset การเป็นนักกีฬาให้เขา นอกเหนือจากนั้นก็สอนวิธีการรับมือกับคอมเมนต์ที่พุ่งมาหาเขาว่าที่จริงแล้วคนที่มาคอมเมนต์ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร เราอาจจะขอบคุณเขาเพราะที่เขามาดูมาแสดงความคิดเห็นก็เพราะเขาสนใจเราอยู่ 

หรืออย่างกับ ‘เทนนิส’ เองในหลายครั้งเมื่อน้องโดนโจมตีแล้วเขารู้สึกไม่ดี ก็อาจจะแนะนำไปว่าให้เขาแยกแยะว่าอันไหนคือความคิดเห็น อันไหนคือตัวตนของเขาจริงๆ ให้ ‘การตระหนักรู้ในตัวเอง’ สำคัญที่สุดเพราะไม่มีใครรู้ตัวเราดีไปกว่าตัวเรา 

เรามักจะบอกกับนักกีฬาเสมอเกี่ยวกับความคาดหวังจากคนนอกว่า ที่จริงแล้วสิ่งที่คนอื่นคาดหวังกับสิ่งที่คุณคาดหวังเป็นสิ่งเดียวกันคืออยากชนะใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราอาจจะไม่ต้องแบกความคาดหวังจากคนอื่นขนาดนั้นก็ได้ เล่นอย่างเต็มที่ก็พอ เพราะไม่งั้นอาจจะไม่ต่างอะไรไปจากแบกเป้ไปในสนาม ถ้ามันหนักเกินไปเราก็แค่วาง

| คุณคิดว่า ‘การมีสติอยู่กับปัจจุบัน’ สำคัญกับนักกีฬามากน้อยแค่ไหน

สำคัญมากๆ เลย มันคือเคล็ดลับของการแสดงความสามารถที่ดีที่สุด เพราะปัญหาที่มักเกิดกับนักกีฬาคือความกดดัน ความคาดหวัง และความไม่มั่นใจ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมาจากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ปัจจุบัน

การที่นักกีฬาไม่มั่นใจเพราะกลับไปย้อนนึกถึงว่าเคยทำแล้วออกมาไม่ดี กลัวว่าจะเล่นอีกไม่ได้ หรือความไม่มั่นใจต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นเพราะพยายามไปควบคุมอนาคตซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความกังวลและความกดดัน เพราะยิ่งเมื่อเขาคิดอะไรในหัวเยอะจะส่งผลต่อการตัดสินใจได้ช้าลง แต่ถ้าเมื่อใดที่นักกีฬาพาตัวเองกลับมาอยู่ ณ ปัจจุบันได้ เขาจะทำทุกอย่างได้อย่างเต็มที่ตามศักยภาพ 

เป็นความจริงที่ว่าพลังงานโฟกัสของเรามีจำกัด การอยู่กับปัจจุบันขณะเป็นการใช้พลังงานที่น้อยที่สุด ยิ่งเอ็นจอยกับสิ่งที่ทำด้วยก็จะยิ่งใช้พลังงานน้อย 

คล้ายกับกีฬาฟุตบอล คุณลองสังเกตดูสิว่าเพราะอะไรจึงมักไปแพ้กันท้ายเกม? อาจจะเป็นเพราะ ณ ตอนนั้นคือแบกความหวังมาแล้วทั้งเกมพอมาถึงช่วงท้ายเลยหลังงานหมด

| เทคนิควิธีในการ ‘กลับมาอยู่กับปัจจุบัน’ ที่อยากแนะนำมีอะไรบ้าง

ฝึกการหายใจ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่ทำได้เลยค่ะ เทคนิคที่อาจารย์ปลาใช้คือการหายใจด้วยกะบังลม ซึ่งมีวิธีการ 4 ขั้นตอน คือ

  1. ขยายปอดให้ได้มากที่สุดผ่านการหายใจเข้าสุดท้อง สลับกัน ท้อง-ปอด ปอด-ท้อง เพื่อให้กะบังลมต่ำลงและปิดขยายตัวได้มากขึ้น
  2. พอเต็มช่วงท้องแล้วก็ยกอกขึ้นเพื่อให้กะบังลมยกตัวขึ้น และให้ปอดส่วนกลางขยายได้
  3. Hold ลมหายใจเอาไว้เล็กน้อยเพื่อเป็นการเปิดเวลาในการแลกเปลี่ยนลมหายใจ ซึ่งนี่จะเป็นช่วงที่จะไปกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic) ที่รู้สึกนิ่ง สงบ และผ่อนคลาย
  4. จบด้วยการหายใจออกโดยหายใจอย่างช้าๆ ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่เราจะได้เปรียบเรื่องการหายใจออกมากที่สุด เพราะเมื่อเราหายใจได้อย่างถูกต้องเราก็จะได้ปริมาณออกซิเจนเข้าไปหมุนเวียนในปอดมากขึ้น และออกซิเจนมีประโยชน์กับการผลิตพลังงานในทุกส่วนของร่างกายอยู่แล้ว

| อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการโฟกัสที่เป้าหมายและให้นักกีฬาเชื่อมั่นในตัวเองใช่ไหม

เชื่อมั่นในตัวเองและเชื่อมั่นในกระบวนการ เพราะกระบวนการคือเครื่องมือที่ใช้ควบคุมตัวเขาซึ่งแต่ละคนมีความแตกต่างกัน เราก็สร้างกระบวนการไว้ให้และให้เขาเชื่อในกระบวนการตรงนี้ เชื่อว่าเราซ้อมมาแล้ว เราฝึกและเตรียมตัวมาอย่างดีแล้ว นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

หากให้กล่าวถึงกระบวนการทั้งหมดเป็นคำพูดอาจจะยกตัวอย่างได้ประมาณว่า

สติ
อยู่กับปัจจุบัน 
จัดลำดับให้ถูก
อยู่กับสิ่งที่ควบคุมได้
โฟกัสให้ถูกจุด
เตรียมให้พร้อม-มองให้ถึง-คิดสิ่งที่ถูก
อยู่กับสิ่งที่ต้องทำเพื่อสิ่งที่ต้องการ

| สิ่งที่อยากฝากก่อนจะจากกัน

เรื่องจิตใจเป็นเรื่องที่สำคัญมากค่ะ และเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนจึงจะสามารถนำเอาไปใช้ได้ บางครั้งแค่การพูดคุยอาจไม่พอ แต่ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ฝึกกันได้แน่นอน (ยิ้ม)

Writer | รุอร พรหมประสิทธิ์

Photographer | อนุชิต นิ่มตลุง

Illustrator | ลักษิกา บรรพพงศ์

เมื่อกายและใจเหนื่อยล้า ‘การเดินเข้าป่า’ อาจพบคำตอบ Forest Bathing การอาบป่าที่ชวนพาใจให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ

ในช่วงเวลาดีๆ อากาศเป็นใจ เราอยากชวนทุกท่านปลดปล่อยสัมภาระ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าป่าไปสำรวจโลกใบใหม่ไปกับเรา

Lagom ปรัชญาว่าด้วยทางสายกลางที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เพราะความ ‘พอดี’ นั้นดีที่สุด

เพราะความพอดีอาจไม่ได้มีหน้าตาที่ตายตัวแต่เป็นความรู้สึกที่เราย่อมสัมผัสกับมันได้เมื่อเกิดความพอดีที่แท้จริง

บทเรียนจาก ‘วิชาคนตัวเล็ก’ หนังสือที่ชวนค้นความพิเศษใน ‘ตัวเอง’ ค่อยๆ ละทิ้งชีวิตที่หมุนรอบความคิดคนอื่น

“ฟังหูไว้หู อย่าเชื่อจนหมดใจ” ประโยคนี้ในหน้าแรกๆ ของหนังสือ ‘วิชาคนตัวเล็ก’ โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ไม่โน้มน้าวให้เราเชื่อทุกคำแนะนำที่ปรากฏในหนังสือ แต่ก็โน้มน้าวให้เราอ่านทุกบรรทัดตั้งแต่หน้าแรกจนจบหน้าสุดท้ายได้ในเวลาอันรวดเร็ว