The Present Move

ถึงจะยังไม่พร้อมกับความสัมพันธ์ใหม่ แต่ก็อยากได้ใครสักคนมาเติมเต็ม

The Present Move | Mindful Global Citizens

เปิดเหตุผลทางจิตวิทยา
ว่าด้วย ‘Serial Monogamy’
ความสัมพันธ์แบบเลิกกับคนก่อนปุ๊บ
ก็มีคนใหม่ปั๊บ

เรามีแฟนเพราะรักหรือแค่กลัวการโดดเดี่ยว?

ไม่ว่าจะเป็นตัวเราเอง เพื่อนรอบข้าง คนรู้จัก หรือกระทั่งแฟนเก่าของเรา คงจะมีสักคนแหละที่ตอนมีแฟนก็รักกันแบบหวานฉ่ำ แต่พอเลิกกันได้ไม่กี่สัปดาห์ ก็สามารถเปิดตัวแฟนใหม่ หรือคนคุยใหม่ได้เลยอย่างรวดเร็วทันใจ! ซึ่งไม่ได้บอกนะว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดหรือไม่ดี เพราะเมื่อการเคลียร์กับคนเก่าจบแล้ว เป็นธรรมดามากๆ ที่ทุกคนจะมีสิทธิ์มูฟออน หรือเปิดใจให้คนใหม่ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับความเศร้านานๆ 

ทว่าประเด็นที่น่าสนใจจากการมูฟออนไวมันอยู่ตรงที่เราต้องแยกให้ออกว่า การไปต่อในความสัมพันธ์ครั้งใหม่โดยที่ไม่ปล่อยให้ตัวเองได้หยุดพักเรื่องรักเลย มันเป็นเพราะเรา ‘พร้อม’ ที่จะมีคนใหม่แล้วจริงๆ หรือลึกๆ เรา ‘ไม่พร้อม’ แต่แสร้งว่าพร้อมอยู่กันแน่?

ถ้าเป็นอย่างหลังละก็…การไม่พร้อมที่จะมีใคร แต่ดันไปมี อาจทำให้เรากลายเป็นคน ‘ท็อกซิก’ ในความสัมพันธ์ และเผลอทำร้ายใจคนอื่นและใจตัวเองไปพร้อมๆ กัน

Serial Monogamy เป็นคำเรียกของการไปต่อในความสัมพันธ์ครั้งใหม่ได้เลยในเวลาสั้นๆ หลังจากสิ้นสุดความสัมพันธ์ครั้งเก่า โดยส่วนมากแล้วจะใช้เวลาเพียง 2-3 สัปดาห์ หรืออาจจะไม่เกิน 2-3 เดือนในการคบกับคนใหม่ ซึ่งในบางรายก็อาจใช้วิธีหาคนใหม่รอไว้เลย พอจะเลิกกับแฟนคนปัจจุบันก็อาจจะได้มีคนใหม่เลยทันที 

ต้องบอกตรงๆ ว่า เราไม่อาจตัดสินได้ว่า แต่ละคนต้องใช้เวลาในการรักษาใจ คิดวิเคราะห์ อยู่กับตัวเอง หรือไตร่ตรองสถานการณ์เป็นระยะเวลาเท่าไหร่ถึงจะโอเคที่สุด เพราะนั่นเป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะกำหนดมันเอง แต่เราขอพูดในมุมของบางคนที่แท้จริงยังไม่ได้พร้อมจะมีใคร ยังมีแผลใจ ยังเจ็บปวด กระทั่งยังไม่ลืมคนเก่า แต่ต้องการมีคนใหม่เพื่ออุดรอยรั่วในใจ ว่ามันอาจจะเป็นวิธีฮีลใจที่อาจไม่ได้ดีต่อใจเสมอไป

อย่างที่บอกว่า Serial Monogamy ไม่ใช่เรื่องผิด หากเจ้าตัวพร้อมจะมีความสัมพันธ์ครั้งใหม่อย่างจริงจัง แต่บางครั้งสำหรับบางคนมันก็เชื่อมโยงกับปมในใจลึกๆ และปัญหาสุขภาพจิตที่เราควรให้ความใส่ใจและสำรวจตัวเองกันดูสักหน่อย ซึ่งมีได้ตั้งแต่คนที่ไม่ชอบการอยู่คนเดียว หรือเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะเป็นโสด เพราะจะรู้สึกเครียดหรือกังวลมากๆ เนื่องจากเราเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกกับการมีแฟน หากไม่มีแฟนจะรู้สึกไม่มีค่า จนถึงคนที่มีแฟนเพื่อให้ตัวเองรู้สึกถูกเติมเต็ม คนที่กลัวการถูกทิ้ง คนที่มีการนับถือตัวเองต่ำ และคนที่ต้องการพึ่งพาคนอื่นอยู่ตลอด

“มันไม่ได้มีอะไรผิดเลย แต่ธงแดงจะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อคนคนนั้นไม่ได้ให้เวลาตัวเองได้หายใจหายคอ หรือเยียวยาใจตัวเองได้แล้ว” (เอเดรียน แอล มาร์แชล) Adrienne L. Marshall นักบำบัดด้านการแต่งงานและครอบครัวกล่าว นั่นหมายความว่าคนที่เป็น Serial Monogamist บางคนที่ไม่พร้อมจะมีใคร แต่ก็ต้องการที่จะมี เขาอาจไปทำร้ายจิตใจคนในความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ที่ไม่ได้รู้ลึกตื้นหนาบางว่า จริงๆ แล้ว เขาคนนั้น ไม่ได้พร้อมที่จะมีเราตั้งแต่แรก และแน่นอนว่ามันอาจสร้างความเจ็บปวดให้กันได้ง่ายๆ เลยล่ะ

ในมุมมองทางจิตวิทยา เบื้องลึกเบื้องหลังของ Serial Monogamist ที่ไม่พร้อมจะมีใครแต่ก็ดันทุรังที่จะมี อาจเกิดขึ้นจากปมบางอย่าง โดยที่แอนนี่ ทานาสุกราน (Annie Tanasugarn) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ได้อธิบายลงบนเว็บไซต์ Psychology Today ซึ่งเราขอหยิบยกข้อที่น่าสนใจมาให้อ่านกัน

  1. ความรู้สึกไม่ปลอดภัย : เธออธิบายว่า หากคนคนหนึ่งโตมากับสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย ไม่ว่าจะการถูกทำร้าย ละเลย หรือรู้สึกไม่ปลอดภัย ก็มีแนวโน้มที่เขาจะ ‘ระมัดระวัง’ ตัวเป็นพิเศษ ซึ่งการมีความสัมพันธ์โรแมนติก ก็เป็นส่วนหนึ่งในการ ‘ช่วย’ พวกเขาให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น และมีความมั่นคงทางจิตใจมากขึ้น

    ความน่าเศร้ามันอยู่ที่ บางคนเลือกมีคนรักใหม่ได้ทันที เพื่อเอาเข้ามาเป็นผู้พิทักษ์ ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยต่อความรู้สึก แต่จริงๆ อาจจะยังไม่ได้รักเลยก็ได้ ซึ่งถ้ามองอีกแง่ ก็อาจท็อกซิกกับเจ้าตัว หากไปยึดติดว่าคนคนนี้จะต้องเป็นคนที่ ‘ปกป้อง’ ตัวเราได้ ซึ่งก็สุ่มเสี่ยงต่อการถูกควบคุม หรือโดนทำร้ายเหมือนกัน หากเรารู้สึกพึ่งพาอีกคนอยู่ตลอดเวลา
  1. กลัวการถูกทอดทิ้ง : บางคนอาจมีแผลใจจากการถูกทิ้งมาก่อนหน้านี้ จนทำให้ในตอนนี้กลายเป็นคนที่กลัวการถูกทิ้งในความสัมพันธ์โรแมนติก ส่งผลให้บางครั้ง ก็ป้องกันตัวเองโดยการหาคนใหม่เข้ามาเติมเต็มเลยทันทีหลังจากเลิกรากันไป จนถึงหากมีเรื่องอะไรกวนใจเล็กน้อยตอนอยู่ในความสัมพันธ์ ก็อาจเป็นฝ่ายรีบถอนตัวออกมาก่อน เพื่อให้ตัวเองเป็นคนทิ้ง ไม่ใช่ถูกทิ้ง ซึ่งก็อาจพลาดที่จะได้เคลียร์ใจกันก่อนอย่างน่าเสียดาย
  2. มองเห็นคุณค่าตัวเองในระดับที่ต่ำ : หากคนเรายังติดแหง็กอยู่กับความคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า การที่เราไม่มีความสัมพันธ์โรแมนติก ก็อาจไปกระตุ้นให้เกิดความรู้สึก ‘ไม่ดีพอ’ จึงจำเป็นต้อง ‘วิ่งตาม’ ความสัมพันธ์ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกมีคุณค่าและคู่ควร ซึ่งอาจส่งผลเสียในระยะยาว หากเราไม่ได้เลือกคนรักที่เข้ากันได้จริงๆ ทำให้มีโอกาสที่จะเจอคนท็อกซิกได้ง่ายๆ เมื่อเราไม่ได้ไตร่ตรองใครให้ดีๆ จนถึงเราเองก็อาจกลายเป็นคนท็อกซิกในชีวิตอีกฝ่าย เพราะมันไม่ได้เริ่มจากความรัก แต่เริ่มจากการไม่อยากอยู่คนเดียว

เราอยากชวนทุกคนมาทวนถามตัวเองกันก่อนมีความสัมพันธ์ครั้งใหม่ว่า

จริงๆ แล้วเราอยากมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่?

การเป็นโสดมันแย่ต่อชีวิตอย่างไร?

เมื่อมองไปที่เพื่อนหรือคนรอบตัวที่คุณรัก พอพวกเขาเป็นโสด คุณคิดลบกับพวกเขาเหมือนที่คิดลบกับตัวเองเหรอ? 

และตอนเหงาๆ คุณจัดการความเหงาอย่างไร? 

คำถามเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกันไปมา ถ้าเรารู้ว่า ‘หน้าตาความสัมพันธ์’ แบบที่อยากมีในอนาคตคือ การมีความรักที่รู้ใจกันมากๆ และไม่ท็อกซิก มันก็อาจเอื้อให้เราเรียนรู้อีกฝ่ายมากขึ้น และเราก็จะไม่เลือกคนที่เข้าข่ายท็อกซิกมาเป็นแฟนเพื่ออุดความเหงาในใจ 

ถ้าเรามองว่าการเป็นโสดมันทำให้เหงา และไม่มีคุณค่า เวลาคุณมองไปที่คนโสดคนอื่นๆ ทำไมถึงไม่ได้มองเขาว่าไม่มีค่าบ้าง? นั่นอาจเป็นเพราะจริงๆ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การเป็นโสด แต่อยู่ที่ปมในใจของเราเองที่อาจกล่าวโทษตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งถ้าเรายอมรับปัญหานี้ของเรา มันจะนำพาให้เราปลดล็อกและหาทางแก้ไขด้วยการบำบัดใจด้วยวิธีต่างๆ ได้ แต่เราต้องเปิดใจยอมรับมันก่อนนะ

ดังคำกล่าวที่ว่า “ถ้าคุณไม่สามารถมีความสุขตอนเป็นโสดได้เลย คุณก็อาจจะไม่มีความสุขในการเป็นแฟนของใครสักคนเหมือนกัน” ของเคน เฟียร์เฮลเลอร์ (Ken Fierheller) นักจิตบำบัด
ที่ย้ำว่า

“สิ่งที่แย่คือตอนที่คนคนหนึ่งไม่สามารถมีความสุขหรือทำอะไรได้เลยเมื่อไม่มีคนรัก ความสามารถในการเป็นคนโสดที่มีความสุขจึงเป็นสิ่งสำคัญ” เพราะนั่นหมายถึงเราสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเอง และไม่เอาความสุขของเราไปยึดติดกับคนอื่น


เราอาจจะหลีกเลี่ยงความเหงาโดยการรีบมีแฟนใหม่ แม้จะไม่ได้ชอบหรือรักอีกฝ่ายเลย เพราะเรากลัวที่จะโดดเดี่ยวตอนเป็นโสด แต่นั่นมันเป็นการหลีกเลี่ยงความเหงาที่อาจจะไม่ยั่งยืนเท่าไหร่นัก เพราะการใช้ชีวิตคนเดียวไม่ได้เลย มันจะทำให้เราไม่รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองที่ไม่ต้องใช้ชีวิตขึ้นอยู่กับใคร เหมือนกับประโยคที่หลายๆ คนพูดกันมาอย่างยาวนาน และใช้ได้จริงทุกยุคสมัย นั่นคือ “รักตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะรักคนอื่น” 

การมีความรักมันสวยงามเสมอ แต่การมีมันเมื่อ ‘พร้อม’ นั้นสวยงาม และอาจจะทำให้รักครั้งนั้นเป็นความสบายใจที่ช่วยเติมเต็มความสุขซึ่งกันและกันที่ออกมาจากใจโดยแท้จริง