
YOLO : Please Handle with Care เพราะเรามีแค่ ‘ชีวิตเดียว’ จึงควรใช้ให้คุ้มค่า
เมื่อเห็นคำว่า Fragile ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงคำนี้เข้ากับชีวิตของคนเรา เพราะ ‘Fragile’ แปลว่า ‘เปราะบาง’ หรือ ‘แตกสลายได้’ ไม่ต่างอะไรกับชีวิต
ในชีวิตคนเรา คงมีอย่างน้อยสักหนึ่งครั้ง ที่เรามองเห็นหรือรู้สึกถึงความโชคดีบางอย่างที่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เราพูดได้ว่ามันคือ ‘ความบังเอิญ’ แต่แม้ว่ามันจะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของเรา ทว่าลึกๆ แล้ว บางครั้ง ‘ตัวเรา’ เองเนี่ยแหละ ที่อาจจะเป็นคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความโชคดีในความบังเอิญนั้นๆ โดยไม่ทันได้ชื่นชมหรือคิดจะให้เครดิตตัวเองเสียเท่าไหร่
บางคนอาจจะงงว่า ตัวเราน่ะเหรอ? ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องโชคดีในความบังเอิญ ฉันไปทำอะไรตั้งแต่ตอนไหน ซึ่งความจริงแล้ว มันคือวิธีการคิดและการมองเรื่องที่เกิดขึ้นว่าเป็น ‘โชคดี’ หรือ ‘โชคร้าย’ ต่างหาก ที่ตัวเรามีสิทธิ์กำหนดมุมมองต่อเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น และทำให้ความบังเอิญนั้นกลายเป็นโชคดี หรือจะปล่อยความบังเอิญนั้นให้หายไปตามอากาศ หรือบ้างก็มองมันเป็นโชคร้ายฝังใจ บางครั้งมันก็ขึ้นอยู่กับ ‘เรา’ ว่าจะกำหนดให้สถานการณ์นั้นๆ เป็นไปในแนวทางไหนเหมือนกันนะ 🙂
เรากำลังพูดถึงแนวคิดแบบ ‘Serendipity’ หรือความรู้สึก ‘โชคดีที่บังเอิญได้พบ’ ที่ไม่ได้พูดถึงดวง หรือจักรวาลที่มอบโชคดีให้เราจากความบังเอิญ แต่เป็นการที่เรามองความบังเอิญนั้นๆ เป็นโชคดี และต่อยอดมันไปสู่อะไรบางอย่างในชีวิต
ดร.คริสเตียน บัสช์ (Christian Busch) ผู้เขียนหนังสือ The Serendipity Mindset: The Art & Science of Creating Good Luck และเป็นอาจารย์ที่ New York University และ London School of Economics ถือเป็นคนหนึ่งที่พูดถึง Serendipity Mindset ไว้ได้อย่างเฉียบแหลม และคลุกคลีกับแนวความคิดนี้มาโดยตลอด ในการวิจัยหนึ่งของเขา พบว่าผู้นำของโลกหลายต่อหลายคนมักจะเปลี่ยนสิ่งที่ไม่คาดคิด หรือที่เราเรียกกันว่าความบังเอิญ ให้กลายเป็นผลลัพธ์เชิงบวก ซึ่งถือเป็นสกิลที่จะช่วยฝึกฝนการใช้ชีวิตของเราได้
Serendipity เป็นแรงผลักดันและเชื้อเพลิงสำคัญที่ทำให้เรา เปิดหู เปิดตา และเปิดใจ รับสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นเรื่องบังเอิญไว้ในทุกๆ วัน เหมือนกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่หลายครั้ง นักวิทยาศาสตร์ก็พบผลลัพธ์ใหม่ๆ เพราะความบังเอิญด้วยกันทั้งนั้น จนถึงการที่เราพบเจอรักแท้โดยบังเอิญ ได้งานใหม่โดยบังเอิญ ได้ไอเดียคิดงานที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาระหว่างทาง จนถึงได้ทำความรู้จักลูกค้าใหม่ๆ แบบที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ซึ่งถ้าเราเว้น ‘พื้นที่’ ในใจเราเผื่อความบังเอิญที่จะเกิดขึ้นในทุกวัน มันอาจทำให้เรา พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ไม่คาดฝันได้มากขึ้น และมองมันเป็นเรื่องโชคดีไปโดยปริยาย
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันหน่อยดีกว่า ดร.คริสเตียน บอกว่า เป็นธรรมดามากที่ผู้คนจะประเมินสถานการณ์ความบังเอิญที่จะเกิดขึ้นไว้ต่ำไปหน่อย แต่เมื่อเราประเมินความน่าจะเป็นไว้ต่ำไป มันก็เหมือนเป็นการปิดกั้น Serendipity ไปด้วย เช่น ถ้าเราคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้เลยที่ Zoom จะขัดข้องในวันที่ต้องนำเสนองาน และไม่น่าเป็นไปได้ที่จะทำกาแฟหกใส่แล็ปท็อปก่อนนำเสนอ แต่ถ้าเรามองว่า มันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้นะ เราก็อาจมีวิธีรับมือเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เพราะเราคิดไว้แล้วว่า
มัน ‘อาจ’ เกิดขึ้น
มีงานวิจัยหนึ่งโดย ริชาร์ด ไวซ์แมน (Richard Wiseman) นักจิตวิทยาชาวอังกฤษที่เปรียบเทียบคน 2 คนไว้ได้ดี โดยคนหนึ่งคิดว่าตัวเอง ‘โชคดี’ ส่วนอีกคนคิดว่าตัวเอง ‘โชคไม่ดี’ ซึ่งนักวิจัยได้ขอให้ทั้งสองคนนี้แยกกันไปที่ร้านกาแฟ ที่เขาวางบิลไว้ 5 ปอนด์ และสร้างสถานการณ์ให้มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอยู่บริเวณข้างๆ เคาน์เตอร์กาแฟ คนที่ระบุว่าตัวเองโชคไม่ดี จดจ่อกับการไปซื้อกาแฟ โดยไม่ได้สังเกตเห็นบิลนี้ และไม่ได้มีการเปิดบทสนทนากับนักธุรกิจเลยแม้แต่น้อย เขาบอกว่า ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้น กลับกัน คนที่ระบุว่าตัวเองโชคดี เห็นเงินแล้วหยิบขึ้นมา แล้วสั่งกาแฟ ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับนักธุรกิจคนนั้น ก่อนจะออกจากร้านกาแฟไปพร้อมนามบัตรของเขา ซึ่งเขาบอกว่านี่เป็นโชคที่น่าทึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นที่ได้พบเพื่อนใหม่ (ที่ถ้าเป็นชีวิตจริง เพื่อนใหม่คนนี้ก็อาจนำพาอะไรใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตในแง่ของเส้นทางอาชีพก็เป็นไปได้ทั้งหมด) ดังนั้น แม้ว่าคนเราจะมีเรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำให้เรื่องบังเอิญนั้น กลายเป็นโชคดีได้นั่นเอง
ในพาร์ตชีวิตส่วนตัวของ ดร.คริสเตียน บัสช์ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตโดยมองหลายสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความโชคดี ตั้งแต่การรอดพ้นจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่ออายุ 18 ปี และนั่นทำให้เขาตระหนักถึงเรื่องความประมาทในชีวิต หรืออุบัติเหตุกาแฟหกในร้านกาแฟ ที่นำไปสู่การพบความรัก ที่แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้คบกับคนคนนั้น แต่พวกเขาก็ยังเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน ซึ่งล้วนเป็นโชคดีที่ไม่ได้เกิดขึ้นในรูปแบบการถูกหวย แต่มันเป็นการใช้สายตาสอดส่อง และคอยจับ ‘โอกาส’ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เสมือนการสร้างโชคให้กับตัวเอง
“ผมเป็นคนเยอรมันที่เคยชินกับการวางแผน ทุกสิ่งที่คาดไม่ถึงมันอาจจะกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวลก็จริง แต่มันจะช่วยตีกรอบใหม่ให้เรา ‘โอ้ นั่นไม่จำเป็นต้องเป็นภัยร้ายเสมอไปหรอกหน่า’ เพราะมันอาจจะมีบางอย่างที่สวยงามอยู่ในเรื่องบังเอิญนั้นๆ” ดร.คริสเตียน บัสช์ กล่าว
และเสริมว่า “การค่อยๆ ปลูกฝังกรอบความคิดเรื่อง Serendipity เป็นสิ่งแรกและสำคัญที่สุดเกี่ยวกับการมองโลกด้วยสายตาที่เปิดกว้าง และมองเห็นโอกาสที่คนอื่นเขาไม่เห็นกัน มันไม่ใช่แค่เรื่องการอยู่ถูกที่ ถูกเวลา หรือมีโชคอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเรา แต่มันเป็นกระบวนการที่เราต่างหาก ที่จะมีส่วนร่วมในโชคดีจากความบังเอิญนั้นได้”
“แนวคิดนี้คือการเห็นความหมายของสิ่งที่คาดไม่ถึง แทนที่จะมองว่ามันเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดความกังวลนั่นแหละ” จากคำพูดของ ดร.คริสเตียน การมองโลกแบบเผื่อใจไว้ให้ความบังเอิญ ดูจะเป็นวิธีคิดที่ทำให้เรารู้สึกไม่เสียใจภายหลังกับทุกๆ เรื่องในชีวิต แต่การมองโลกในแง่ดีลักษณะนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน และก็ต้องค่อยๆ ใช้เวลาฝึกฝนกันไป
เหมือนที่ โซโรนา ไอว์วิก พริงเกิล (Zorana Ivcevic Pringle) นักวิทยาศาสตร์การวิจัยที่ Yale Center for Emotional Intelligence ได้เน้นย้ำว่า แม้ Serendipity Mindset จะสำคัญ แต่ปัจจัยทางสังคมและข้อจำกัดรอบตัวของคนแต่ละคนก็สำคัญเช่นกัน เช่น ถ้าเราอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้จากความล้มเหลว มันจะช่วยสร้างความกล้าหาญให้คนกล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดได้ แต่หากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราไม่สามารถออกนอกกรอบได้เลย ก็เป็นธรรมดาที่เราอาจจะไม่ใช่คนที่กล้าพอที่จะออกนอกกรอบ หรือกล้าที่จะค้นพบอะไรใหม่ๆ จากความบังเอิญ เพราะเราไม่กล้าทำ และไม่กล้าพลาด ตรงกับงานวิจัยของเธอที่ Yale University ที่พบว่า การที่คนคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จในการสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น มันขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัย ได้แก่
ฉะนั้นแล้ว Serendipity หรือความรู้สึก “โชคดีที่บังเอิญได้พบ” เราสร้างมันให้เกิดได้ ด้วยตัวเราเอง และบางครั้งคนรอบข้างก็มีส่วนทำให้เราทำให้มันเกิดขึ้นได้ด้วย แต่หลักสำคัญที่สุดคือ ความพร้อมที่จะเปิดรับอะไรใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยไม่ยึดติดตามแพทเทิร์นเดิมๆ ซึ่งจะพาเราไปสู่เรื่องราวบทใหม่ ที่เป็นโอกาสดีๆ ในชีวิตอีกมากเลยล่ะ
Writer | พัชญ์สิตา ไพบูลย์ศิริ
Illustrator | Arunnoon
เมื่อเห็นคำว่า Fragile ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงคำนี้เข้ากับชีวิตของคนเรา เพราะ ‘Fragile’ แปลว่า ‘เปราะบาง’ หรือ ‘แตกสลายได้’ ไม่ต่างอะไรกับชีวิต
เข้าเดือนธันวามาไม่เท่าไร หน้าจอไทม์ไลน์ก็เต็มไปด้วยโพสต์ที่ถูกแชร์จากมิตรสหายหลายท่านว่าด้วย Spotify Wrapped ที่ย้อนรีแคปเพลงที่แต่ละคนฟังมาตลอดปี 2024 นี้ เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่บอกเล่ากับเราว่า ‘ปีนี้’ กำลังจะผ่านไป และกำลังจะกลายเป็นปีที่แล้วของปีหน้า
คินสึงิ ชวนให้เรามองถึงการเยียวยา กอบกู้คุณค่าของตนเอง และเติบโตผ่านบาดแผลแม้ในวันที่แตกสลาย ขณะที่วาบิ-ซาบิ ชวนให้เราโอบรับตัวตนที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็งดงาม และมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร