หลายปีแล้วที่เราอยู่กับ ‘ความโสด’ มา ปีแรกๆ ก็ยอมรับตามตรงว่ามีเหงาและเคยรู้สึก ‘ขาด’ อะไรบางอย่างในชีวิตไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปีแล้ว ปีเล่า สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จากชีวิตสาวโสดก็คือ… ชีวิตเรากลับมาเป็นของเราจริงๆ
เราได้โฟกัสตัวเองมากขึ้นแบบที่ตอนมีแฟนไม่ได้ทำ เรารู้ความต้องการตัวเองในหลายๆ อย่าง รู้เป้าหมาย ไม่ฝืนความรู้สึก และที่สำคัญ เรื่องรักโรแมนติกเป็นสิ่งที่เราคิดแค่ว่า จะมีก็ได้ ไม่มีก็ไม่ตาย เพราะเราเลิกขวนขวายหรือพยายามวิ่งตามความรักที่มีจากคนอื่นได้แล้ว
ปี 2024 ที่กำลังจะย่างก้าวเข้าปี 2025 แบบนี้ เราทุกคนควรจะเข้าใจกันอย่างเป็นปกติว่า ‘การเป็นคนโสด’ เป็นสิ่งที่ ‘เลือกได้’ ไม่ได้ผิดแปลก หรือแปลว่าไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต หรือแม้แต่บางคนที่ไม่ได้เลือกเองว่าจะโสด ก็ใช่ว่า พวกเขาควรถูกมองด้วยสายตาน่าสงสาร หรือเป็นห่วงเป็นใย เพราะจริงๆ แล้ว จะโสด หรือไม่โสด ทุกคนก็ล้วนมีคุณค่าและความพิเศษในตัวเองกันทั้งนั้น
ในช่วงเวลาที่โสด เราได้พบกับคำคำหนึ่ง ที่นักแสดงหญิงในดวงใจของเราเคยกล่าวไว้ เธอคนนั้นคือ ‘เอ็มมา วัตสัน’ (Emma Watson) ผู้นิยามว่าตอนนี้เธอกำลัง in a relationship with ‘ตัวเอง’ โดยเธอเลือกใช้คำว่า ‘Self-partnered’ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การมีตัวเราเองเป็นคู่ชีวิต
โดยเอ็มมาบอกกับสื่อ British Vogue ไว้เมื่อปี 2023 ว่า “จริงๆ มันไม่ได้จำเป็นต่อฉันหรอกค่ะ ที่ต้องเฉลิมฉลองความโสด เพียงแต่เมื่อตอนที่ฉันอายุเข้า 30 ฉันก็ตระหนักได้ว่า ‘โอ้ บางทีฉันอาจจะค้นพบบางอย่างเกี่ยวกับการดูแลตัวเองให้ดีขึ้น มันค่อนข้างจะดีเลยล่ะ’ และนั่นทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจในสิ่งนั้น”
ซึ่งเราอาจบอกได้ว่า คำว่า Self-partnered หลายๆ คนก็รู้จักคำนี้ในวงกว้างมาจากเอ็มม่านั่นแหละ เพราะเธอพูดไว้ตั้งแต่ปี 2019 แล้วว่า “ฉันไม่เคยเชื่อคำพูดที่ว่า ‘I’m happy single’” และเธอก็ใช้เวลาอยู่นานจนพบว่า “ฉันมีความสุขมากๆ ที่เป็นโสด และฉันขอเรียกมันว่า self-partnered ค่ะ” ซึ่งในปี 2019 เป็นปีที่เอ็มม่ามีอายุครบ 30 ปีพอดิบพอดี และเธอก็ได้รับความเป็นห่วงจากคนรอบข้างเพราะเธอไม่มีแฟน เช่นการบอกว่า “คุณยังไม่ได้สร้างบ้าน ยังไม่มีสามี ยังไม่มีลูก คุณกำลังจะ 30 แล้วนะ” แต่นั่นแหละค่ะทุกคน เอ็มม่าก็ยืนยันในการที่จะใช้ชีวิตโสดต่อไป โดยเลือกที่จะมีคนรู้ใจเป็นตัวเธอเอง และเลือกวางความกดดันทางสังคมเหล่านั้นไว้ แล้วเดินหน้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามแบบแผนที่เธอเลือกเอง
เพื่อให้เข้าใจคำคำนี้มากขึ้น เราขอยกตัวอย่างคำอธิบายของ คาร์ลา มารี มานลี (Carla Marie Manly) นักจิตวิทยาคลินิกจากแคลิฟอร์เนีย ที่เธอเคยกล่าวถึงความสัมพันธ์รูปแบบนี้ไว้ว่า Self-partnering จะมุ่งเน้นไปที่การมีความสุขและรู้สึกเติมเต็มด้วยตัวเราเอง โดยที่พวกเขา “ไม่ได้รู้สึกถูกบังคับให้มองหาการเติมเต็มอื่นๆ ผ่านการมีอีกคนเข้ามาในชีวิตในฐานะคู่ชีวิต”
ซึ่งก็ต้องบอกว่า ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตเขาหรือเธอจะไม่เดตโดยเด็ดขาด หรือไม่แต่งงานโดยเด็ดขาด เพียงแต่ Self-partnered จะเป็นคนที่ใช้เวลากับตัวเอง รู้ความต้องการตัวเอง รู้จุดแข็ง จุดอ่อน และให้ความสำคัญหลักเป็น ‘ตัวเอง’ ก่อน และนั่นอาจทำให้เกิดการพัฒนาตัวเองและได้ใช้ชีวิตแบบที่เราเลือกเองได้
นอกจาก Self-partnered แล้ว ยังมีอีกคำหนึ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน คือคำว่า ‘Single at heart’ พูดง่ายๆ คือ คนที่เต็มใจจะโสด ซึ่งก็เป็นคำที่ทำให้เห็นว่าบนโลกนี้ ยังมีคนอีกมากมายที่เป็นโสดเพราะอยากเป็นโสดเอง และไม่ได้ไขว่คว้าเพื่อจะต้องมีแฟน โดยสาวหนึ่งคนที่พูดบ่อยๆ ว่าเธอเป็น single at heart ก็คือ เบลลา เดอเปาโล (Bella DePaulo) นักวิทยาศาสตร์สังคม ผู้เขียนหนังสือ Single at Heart
เดอเปาโลเขียนบอกไว้ว่า คนที่เป็น Single at Heart คือคนที่มองว่าชีวิตโสด เป็นชีวิตที่ดีที่สุด รู้สึกมีความสุข รู้สึกเติมเต็ม และรู้สึกมีความหมาย พวกเขารักการเป็นโสด และต้องการอยู่เป็นโสดจริงๆ นั่นทำให้พวกเขาไม่รู้สึกว่าพลาดอะไรไป ถ้าจะไม่มีความสัมพันธ์โรแมนติกในชีวิต แต่สิ่งที่จะรู้สึกพลาด คือตอนที่พวกเขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเองจริงๆ มากกว่า หากต้องบังคับตัวเองให้อยู่ในความสัมพันธ์ ซึ่งแน่นอนว่าการไม่ได้เป็นตัวเองในความสัมพันธ์ มันก็นำไปสู่ความท็อกซิกที่ส่งผลต่อใจเราไม่มากก็น้อย
เราชอบที่เธอบอกว่า “พวกเขาคิดกันว่าฉันคงหวังว่าจะได้อยู่กับคนรัก และพวกเขาก็คงไม่เข้าใจการอยู่คนเดียว แม้จะไปเที่ยวพักผ่อนตามลำพัง มันอาจเป็นประสบการณ์ที่แสนวิเศษมากกว่าจะเป็นประสบการณ์ที่แสนเศร้า สิ้นหวัง และโดดเดี่ยว” เพราะเราคิดว่าการเป็นโสดมันไม่ได้แย่ กินข้าวคนเดียวยังอร่อยอยู่ ไปคอนเสิร์ตคนเดียวสนุกจะตาย!
และถึงแม้ในวันที่เราไม่อยากอยู่คนเดียว เราก็ยังมีคนที่รักเราคนอื่นๆ บางคนอาจมีครอบครัวที่น่ารัก บางคนอาจมีเพื่อนที่ดีที่พร้อมอยู่เคียงข้างกัน บางคนก็อาจมีสังคมหรือพื้นที่ปลอดภัยอื่นๆ ที่ทำให้เรารู้สึกเติมเต็มได้ เรื่องของความรักจึงไม่มีสูตรตายตัวว่าทุกคน จะต้องมีหรืออยากมีคนรักในเชิงโรแมนติก ชีวิตเรา เราออกแบบเองได้ เหมือนกับที่การศึกษาโดย Survey Center on American Life พบว่า 53% ของคนเจนฯ ซี มักอยู่เป็นโสด และ 59% ของคนรุ่นมิลเลนเนียล ก็ไม่ได้ออกเดตเพราะชอบที่จะโสดมากกว่าอยู่ในความสัมพันธ์
ฉะนั้นแล้ว นิยามความสุขของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน บางคนชอบที่จะมีแฟน บางคนชอบที่จะอยู่เป็นโสด บางคนยังคงอยากจะมีแฟน บางคนไม่อยากจะหาแฟนแล้ว ซึ่งสุดท้าย เราทุกคนเลือกได้ แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบไหน ขอแค่เรายังคงรักตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง และยังไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป จะมีแฟน หรือไม่มีแฟน เราว่าทุกคนจะมีความสุขมากขึ้นเยอะเลยล่ะ