The Present Move

ชวนคุยกับ พลอย-สโรชา กิตติสิริพันธุ์ เมื่อความสุขไม่ต้องตามหา และอาจไม่ต้องใช้สายตาเพื่อมองเห็น

The Present Move | Mindful Global Citizens

จากนักเขียน สู่นักจิตวิทยา และบรรณาธิการ  ชวนคุยกับ พลอย-สโรชา กิตติสิริพันธุ์
เมื่อความสุขไม่ต้องตามหา และอาจไม่ต้องใช้สายตาเพื่อมองเห็น 

ถ้าเรารอให้ประสบความสำเร็จแล้วจึงจะมีความสุข ความสุขในชีวิตเราจะน้อยเกินไปไหม?
นี่คือสิ่งที่เราเก็บมาคิด หลังจากได้คุยกับ พลอย-สโรชา กิตติสิริพันธุ์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์ผีเสื้อปีกบาง สำนักพิมพ์ที่เปิดพื้นที่ให้คนพิการได้สื่อสารผ่านตัวหนังสือ โดยมี ‘พลอย’ ที่แม้ดวงตาจะมองไม่เห็น แต่ก็เต็มไปด้วยประสบการณ์ รับหน้าที่เป็นสื่อกลางส่งสารผ่านตัวหนังสือให้สังคมทั่วไปเข้าใจโลกของคนพิการมากขึ้น 

นอกจากบทบาทบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ผีเสื้อปีกบางแล้ว ก่อนหน้านี้ พลอยยังมีผลงานเขียนของตัวเองมาแล้ว 3 เล่ม นั่นคือ จนกว่าเด็กปิดตาจะโต, เห็น และ ก ไก่เดินทาง นิทานระบายสี โดยหนังสือ จนกว่าเด็กปิดตาจะโต ผลงานเล่มแรกยังได้รับรางวัลชมเชยประเภทหนังสือสำหรับเด็กวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี (สารคดี) ในการประกวดหนังสือดีเด่นประจำปี พ.ศ. 2559 อีกด้วย 

ก่อนหน้านี้ พลอยทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการฝึกหัดที่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ก่อนจะออกไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านจิตวิทยาการปรึกษา และล่าสุดเธอกลับเข้าสู่วงการหนังสืออีกครั้ง ด้วยการเป็นบรรณาธิการแบบเต็มตัวให้กับสำนักพิมพ์ผีเสื้อปีกบาง ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ที่นักอ่านหลายคนน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี

พลอยเติบโตมากับหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นการฟังหนังสือเสียง หรือการเขียนหนังสือในรูปแบบบันทึกประจำวัน ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้เธอช่างคิด ช่างสังเกต และช่างสงสัย เพื่อให้เข้าใจตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น พลอยจึงเลือกเรียนต่อด้านจิตวิทยา ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ทำให้เธอค้นพบว่า หลายคำตอบที่มองหา อาจไม่ต้องใช้สายตาเพื่อมองเห็น 

| จิตวิทยา สู่การเข้าใจตนเอง

“พลอยเริ่มสนใจจิตวิทยาตั้งแต่มัธยมปลาย แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร” เธอเริ่มเล่าจุดเริ่มต้นที่สนใจด้านจิตวิทยา

“เรารู้สึกว่าเพื่อนๆ ของเรามีหลากหลาย มีทั้งคนที่ร่าเริง คนที่ตั้งใจเรียน คนที่เข้ามาช่วยเราทันที หรือบางคนก็ไม่ค่อยสบายใจ ที่จะช่วยเรา ทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่กับเรา พลอยสงสัยว่าทำไมเพื่อนๆ เราถึงไม่เหมือนกัน มีนิสัยแตกต่างหลากหลาย 

“พอพี่สาวของพลอยจะเข้ามหาวิทยาลัย เขาไปค่ายแนะแนว แล้วมาบอกเราว่ามีคณะจิตวิทยาด้วยนะ ตอนแรกเราก็สงสัยว่ามันคือการสะกดจิตหรืออะไร ก็เลยพยายามหาความรู้เพิ่ม ฟังหนังสือเสียงที่พูดถึงจิตวิทยาต่างๆ ตอนเรียนปริญญาตรีคณะอักษรศาสตร์ พลอยก็เลือกจิตวิทยาเป็นวิชาโท เราก็เริ่มเห็นว่ามันเป็นเรื่องของการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ จิตใจมนุษย์ว่า เขาเกิดพฤติกรรมแบบนี้เพราะอะไร แล้วเราก็เริ่มเห็น การเชื่อมโยงกับตัวเองเพิ่มมากขึ้น เหมือนเราเรียนแล้วก็ได้ใช้จิตวิทยาอันนั้นมาสังเกตการเรียนรู้ของตัวเอง”

หลังจากจบปริญญาตรีคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พลอยก็เริ่มงานที่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ซึ่งที่นี่เองเปรียบเหมือนบันไดขั้นแรกสู่วงการงานเขียนและบรรณาธิการ 

พลอยทำงานที่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ 2 ปี ก่อนจะออกมาศึกษาต่อปริญญาโทด้านจิตวิทยาการปรึกษา ซึ่งเธอบอกว่าการเรียนต่อปริญญาโทด้านจิตวิทยา ช่วยให้เธอเข้าใจและยอมรับตัวเองมากขึ้น
“ก่อนหน้านี้ พลอยรู้สึกว่าเราเป็นภาระ เราไม่โอเคที่มองไม่เห็น เราก็ไม่ชอบที่เรามองไม่เห็น แต่พอเราเรียนจิตวิทยา เราก็ค่อยๆ ได้สื่อสารกับตัวเอง ยอมรับตัวเองมากขึ้น ว่าจริงๆ ก็ไม่เป็นไรนะ การที่เรามองไม่เห็น บางทีก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่โอเคขนาดนั้น เราแค่ไม่ชอบสถานการณ์นี้เท่านั้นเอง ที่เราไม่เห็นภาพนี้ เราแค่ไม่ชอบที่เราอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ การเรียนจิตวิทยาทำให้เราได้สื่อสารกับตัวเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้น

“เมื่อก่อน พอมีเหตุการณ์อะไรมากระทบ เราไม่ได้มองแค่ตัวเหตุการณ์นั้น แต่เรามองว่ามันคือทั้งชีวิตของเรา คือตัวเราทั้งหมด เช่น สมมติว่าเราช่วยเพื่อนทำงานกลุ่มไม่ได้ พลอยจะรู้สึกว่าเราแย่มากเลย เราทำอะไรไม่ได้ ไม่ได้เรื่อง ชีวิตเราทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว แค่ช่วยเพื่อนทำงานกลุ่มยังไม่ได้เลย มันขยายไปใหญ่มาก หลังจากเรียนจิตวิทยามุมมองเราจะเปลี่ยน เรารู้สึกอยากช่วย แต่สถานการณ์นี้เราช่วยไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรนะ สถานการณ์อื่นเราอาจจะช่วยได้ หรือช่วยในด้านอื่นๆ มันไม่ใช่ทั้งชีวิตของเรา เป็นแค่วันนั้น เวลานั้น สถานการณ์นั้น เท่านั้นเอง” 

พลอยยังเล่าต่อไปอีกว่า ตอนเด็กๆ เธอมักสงสัยว่าตัวเองจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้อย่างไร  

“สมัยพลอยเด็กๆ หรือแม้กระทั่งเข้ามหาลัยก็ยังมีความไม่มั่นใจว่าเราจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ยังไง เรามองไม่ออก พอเราทำงาน เริ่มได้เจอเพื่อนๆ เยอะขึ้น เจอคนอื่นๆ เยอะขึ้น เห็นว่าจริงๆ ถึงสายตาเรามองไม่เห็น แต่เรามีความรู้ เรามีความถนัดด้านภาษาไทย ช่วยเขาเขียนก็ได้ ช่วยเขาเรียบเรียงข้อความที่เขาเขียน หรือช่วยปรับแก้ เราก็ทำได้นี่หน่า ทำให้เข้าใจว่า เดี๋ยวเราก็ค่อยๆ เจอบางอย่างที่เราทำได้เพิ่มมากขึ้น

“เราเริ่มเห็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ละคนต้องมีจังหวะที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น และมีบางจังหวะที่เราต้องการความช่วยเหลือ เพราะฉะนั้น มันไม่เป็นไรเลย ที่วันนี้เรากำลังรับความช่วยเหลือจากใครบางคนอยู่ เพราะว่าวันหนึ่งเราก็จะได้เป็นคนที่ช่วยเหลือหรือส่งต่ออะไรบางอย่างให้คนอื่นๆ ได้ เมื่อก่อนพลอยจะรู้สึกแย่เวลารับความช่วยเหลือจากใคร เราเกรงใจ กลัวเป็นภาระ แต่พอตอนนี้แทนจะรู้สึกแย่ พลอยความรู้สึกขอบคุณ และซาบซึ้งใจที่สังคมนี้น่าอยู่ มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และเราก็รู้ว่าวันหนึ่งเราก็จะมีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่นเช่นกัน” 

แม้ว่าการเรียนจิตวิทยาจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้พลอยชัดเจนในตัวเอง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นความช่างคิด ช่างสงสัย และพยายามไขว่คว้าหาคำตอบ ก็มาจากการเขียนบันทึกประจำวันที่พลอยทำมาหลายปีแล้วนั่นเอง 

| เมื่อตัวอักษรเป็นสื่อสะท้อนใจ

“การเขียนบันทึกนี่มีหลากหลายมากเลยนะ บางทีระบาย บางทีก็เขียนความโกรธ ซึ่งพลอยเขียนทุกวัน เราได้ทดลองมาทุกรูปแบบ ทั้งระบาย บ่นไปเรื่อย หรือเขียนโน้ต เรื่องที่เรายังงงอยู่ เราก็ทดๆ ไว้ ว่าเรากำลังสงสัยเรื่องนี้ เราอยากได้คำตอบเรื่องนี้ แต่ว่าวันนี้เรายังไม่ได้คำตอบ พลอยก็บันทึกไว้ทุกวัน เมื่อได้ลองเขียนหลายแบบ เหมือนเรามีสนามการทดลอง ทำให้เราเจอว่าวิธีการเขียนแบบสื่อสารกับตัวเองมันทำให้เราสงบขึ้น” พลอยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการเขียนบันทึกประจำวันที่เธอทำมาเป็นเวลานาน และเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ความคิดของเธอค่อยๆ ตกตะกอนนำไปสู่การรู้จักตนเองมากขึ้น 

“อย่างตอนที่เรียนคณะจิตวิทยา พลอยได้เขียนอีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่า Reflection เป็นการเขียนสะท้อนความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเรา พลอยก็อ๋อ เราเขียนแบบนี้อยู่แล้วนี่หน่า พอเราเขียนมาเรื่อยๆ มันก็เป็นกระบวนการให้เราได้สังเกตโดยธรรมชาติอยู่แล้ว สังเกตสิ่งรอบตัว อารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง สังเกตสิ่งที่เราคิดแล้วจดสิ่งที่เราคิดแต่ละวัน แต่เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่ากระบวนการนี้มันสำคัญ 

“พอเราเรียนจิตวิทยา แล้วเราได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ถึงกระบวนการเขียน ได้เขียน Reflection บ่อยขึ้น เราก็ค้นพบว่า การเขียนก่อนหน้านั้นของเรา ส่งผลให้เราสังเกตได้ดีขึ้น ไวกับความรู้สึกของตัวเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ พลอยจะตั้งคำถามว่า เราเขียนไปเพื่ออะไร เป็นประโยชน์ยังไง ปรากฏว่าหลังจากเขียนหนังสือเล่มแรก เรื่องจนกว่าเด็กปิดตาจะโต ซึ่งเป็นรูปแบบบันทึกประจำวัน มีคนที่อ่านแล้วบอกว่าเขาได้กำลังใจจากสิ่งที่เราเขียน ได้มุมมองใหม่ๆ ไปใช้เป็นประโยชน์ เราก็ดีใจ เพราะว่าสิ่งนั้นที่เราเขียนมันผ่านมาแล้วเป็น 10 ปี ทำให้เรารู้สึกว่าดีจังเลย ที่วันนี้สิ่งที่เราบันทึกไว้กลับมามีประโยชน์กับเราตอนนี้ 

“พอมองย้อนกลับไป  เห็นตัวเองตอนที่พยายามต่อสู้กับปัญหา ซึ่งปัจจุบันปัญหาคลี่คลายแล้ว เราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้แล้ว ก็ทำให้เรามีพลังใจต่อสู้กับปัญหาในปัจจุบันได้อีก” พลอยเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ได้จากการเขียน ที่ไม่เพียงสะท้อนความรู้สึกให้เธอเห็นตัวเองชัดเจนขึ้น แต่ยังสร้างพลังใจให้กับปัจจุบัน เพราะเรื่องราวที่เคยบันทึกไว้ เป็นเหมือนเครื่องย้ำเตือนว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากสุดท้ายจะผ่านไปได้ 

“สิ่งที่เราทำ อย่างการเขียนบันทึก เราอาจไม่ได้เห็นคุณค่าของมันทันที แต่เราไม่รู้หรอกว่ามันมีคุณค่า หรือมีความหมายกับคนอื่น หรือกระทั่งตัวเราเองในอนาคตขนาดไหน” พลอยกล่าว 

| แตกต่างไม่ใช่ด้อยกว่า เมื่อถึงเวลาจึงเข้าใจ

จากการเขียนบันทึกประจำวัน ทำให้พลอยค้นพบว่าบางเหตุการณ์ แม้ในขณะนั้นจะดูเหมือนไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งที่บันทึกไว้ ก็กลับมามีความหมายได้อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน ซึ่งหลายอย่างในชีวิตของพลอยก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
“สำหรับพลอยชีวิตคือการลองผิดลองถูก เป็นสนามการทดลอง เพราะเราเกิดมา ก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรดีไม่ดี อะไรถนัดไม่ถนัด เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อลองทำ แล้วค่อยสังเกต สรุปบทเรียนกับตัวเองว่าเราชอบมันไหม เราอยากพัฒนาต่อไหม สิ่งที่เราชอบวันนี้อนาคตอาจจะไม่ชอบก็ได้ หรือสิ่งที่เคยยาก ต่อไปเราอาจพบว่าเราทำได้ดีขึ้น พลอยว่าเราก็แค่เดินไปกับชีวิต เรียนรู้ไปแต่ละช่วงเวลา

“ตอนที่พลอยเรียนจิตวิทยาแรกๆ มีวิชาหนึ่งที่พูดถึงช้างที่ถูกล่ามโซ่ไว้ ช้างยังเด็กก็ไม่มีกำลังต่อสู้ให้หลุดออกไปจากโซ่ แล้วพอเขาโตขึ้นมีกำลังที่จะหลุดไปจากโซ่ แต่เขาก็ไม่ได้พาตัวเองออกไป ทั้งที่เขาทำได้ เพราะเชื่อไปแล้วว่าตัวเองไม่มีแรงพอ เรื่องนี้ทำให้พลอยกลับมาทบทวนตัวเอง แล้วพบว่าก็มีบางมุมที่คล้ายกับเรานะ เหมือนเราตัดสินปัจจุบันของเราด้วยเหตุการณ์ที่มันเคยเกิดขึ้นกับเราในอดีตแล้วเราตอนนั้นไม่สามารถทำสำเร็จได้ ทำให้เรารู้สึกว่าเราทำสิ่งนั้นไม่ได้ แต่ในความจริง วันนี้เราโตขึ้นแล้วเราอาจทำสิ่งนั้นได้แล้วก็ได้นะ 

“พลอยชอบเรื่องนี้มาก แล้วการเขียนบันทึกทำให้เราได้กลับมาทบทวนตัวเอง ได้กลับมารื้อความไม่มั่นใจของตัวเองในตอนนั้น ว่าเรากลัวทำไม่ได้ เราใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ โดยลืมคิดไปว่าเราเปลี่ยนไปแล้ว เราโตขึ้นแล้ว สิ่งที่เราเคยทำไม่ได้ วันนี้เราอาจทำได้แล้วก็ได้นะ การทำอะไรบางอย่างด้วยวิธีของเราได้ เมื่อเราทำสำเร็จเราก็ภูมิใจในตัวเองเนอะ” 

พลอยเล่าถึงความสุขเมื่อเธอค้นพบว่าความสามารถของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น แต่กว่าจะคิดได้แบบนี้ พลอยบอกว่าเคยรู้สึกด้อยกว่าคนอื่นมาก่อน เพราะเธอพยายามหาวิธีที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้เหมือนคนอื่น เมื่อทำไม่ได้จึงรู้สึกแย่กับตัวเอง

“ตอนนั้นพลอยรู้สึกเฟลอยู่ตลอด เพราะเราหาวิธีที่ทำสิ่งต่างๆ แบบเดียวกับคนอื่น ทำให้เป็นทุกข์ คิดว่าตัวเองด้อยกว่า จนมาคิดได้ว่าถ้าเรายังต้องการทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีเดียวกับคนอื่น เราจะต้องเรียนรู้อะไรเยอะมาก และสุดท้ายก็อาจจะทำไม่ได้แบบคนอื่น เพราะว่าทุกคนแตกต่างกัน ก็เลยโอเค งั้นทำในแบบของเราก็ได้ มันก็คงจะดีเหมือนกันในแบบของเรา พอเราคิดแบบนี้ ใจก็เบาลง” 

อย่างการเขียนหนังสือ พลอยมองไม่เห็็น พลอยก็จะรู้สึกว่าเราไม่อาจบรรยายภาพได้เหมือนคนทั่วไป ที่จะบรรยายสี ลักษณะต่างๆ ซึ่งพลอยบรรยายได้ไม่ละเอียดเลย เพราะการเห็นไม่ใช่สิ่งที่เรารับรู้ได้ แต่พอลองคิดว่า เราเขียนในมุมที่เรารับรู้ได้สิ เช่น เราเข้ามาในห้อง เรารับรู้อุณหภูมิของห้องว่ามันร้อนหรือเย็น รับรู้พื้นได้ว่ามีฝุ่นหรือไม่มีเวลาเราเหยียบลงไป รับรู้ความนุ่มของโซฟาได้ บรรยายจากความรู้สึกที่เราสัมผัส มันก็เป็นภาพๆ หนึ่งได้เหมือนกัน นี่ก็คือการทำในแบบของเรา” 

เมื่อปลดล็อกความรู้สึกด้อยกว่าตรงนี้ ทำให้พลอยเริ่มเข้าใจว่าอาจมีสิ่งอื่นๆ อีกมากมายที่เธอทำได้ในแบบของตัวเอง และมั่นใจได้ว่าสิ่งทำในแบบของตัวเองนี้ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นในสักวันหนึ่งเช่นกัน โดยเฉพาะในสังคมนี้ที่ยังขาดพื้นที่สำหรับการทำความเข้าใจผู้ที่แตกต่าง

“พลอยรู้สึกว่าสังคมอาจจะยังไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับคนพิการมากเท่าไร” เธอกล่าว เมื่อเราถามว่าความรู้สึกด้อยกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาจากไหน

“สมัยเป็นเด็กๆ พลอยรู้สึกว่าสังคมทำให้เราไม่ค่อยภูมิใจในตัวเองเท่าไร แม้ว่าคุณพ่อจะคอยบอกว่าเราเก่งมากเลยนะ และเรารู้สึกว่าเราโชคดีที่พ่อคอยบอกเราแบบนั้น แต่เรายังสงสัยตัวเองอยู่ดีว่าเก่งยังไง เพราะพอออกไปข้างนอก เรารู้สึกว่าเราโคตรจะแย่เลย เราไม่เก่งเลย เพราะเพื่อนบางคน หรือคนในสังคม มักจะบอกว่าว่า พลอยอย่าทำอันนั้นอันนี้เลย พลอยทำไม่ได้ เดี๋ยวจะลำบาก มองไม่เห็นจะทำได้ยังไง มีอะไรแบบนี้ให้ได้ยินบ่อยๆ จนกลายเป็นข้อสรุปเกี่ยวกับตัวเองว่า เรามองไม่เห็น เราทำไม่ได้ 

“ส่วนหนึ่งพลอยว่าก็มาจากความเข้าใจของสังคมด้วย ที่ยังไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับคนพิการมากเท่าไร เขาก็ไม่เข้าใจว่าเราจะทำสิ่งต่างๆ ได้ยังไง คนทั่วไปไม่เคยทำสิ่งต่างๆ ด้วยการปิดตา เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ผิด พลอยไม่โทษเขาที่ไม่รู้ แต่ความไม่รู้ก็นำมาสู่ความสงสาร และความสงสาร ก็ทำให้เรารู้สึกด้อยกว่า เหมือนสังคมแบ่งแยกคนพิการออกมาแล้วว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่สังคมคิด เสียงของสังคมส่วนใหญ่เนี้ย ส่งผลต่อเด็กพิการที่เติบโตขึ้นมาเนอะ นำไปสู่ความเชื่อที่เด็กคนหนึ่งมีต่อตัวเอง กลายเป็นความรู้สึกที่ว่าฉันด้อยกว่าจริงๆ ยอมรับในความด้อยกว่าไป ทั้งที่ความจริงอาจไม่ได้ด้อยกว่าก็ได้ เราก็แค่ต่างกัน”  

เมื่อเราถามว่าหากพลอยต้องแนะนำเด็กคนนั้น ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า พลอยจะบอกเด็กคนนั้นว่าอย่างไร เธอบอกว่า

“พลอยไม่คิดว่าคำแนะนำวันนี้ แล้วจะเปลี่ยนแปลงความคิดได้ทันที แบบว่าวันนี้ฉันด้อย พอคุยปุ๊บพรุ่งนี้มั่นใจเลย มันคงไม่ได้เกิดเร็วแบบนั้น แต่มันเป็นเรื่องที่เราค่อยๆ ทดลองและสะสมประสบการณ์ จนเกิดเป็นความเชื่อใหม่ มุมมองใหม่เกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้เวลา สิ่งที่พลอยทำได้ อาจจะให้เขาลองถามตัวเองว่าเขารู้สึกด้อยกว่าในเรื่องไหน แล้วอยากจะพัฒนาขึ้นยังไง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนเรามันก็มีอะไรที่แตกต่างกันอยู่แล้ว คนที่เรียนเปียโนมา 1 ปี กับอีกคนเรียนมา 8 ปี คนเรียนมา 1 ปีก็ต้องเก่งไม่เท่าคนเรียนมา 8 ปี 

“ถ้าวันนี้รู้สึกว่าด้อยกว่าก็แค่ไปอยู่กับมันให้นานขึ้น ไปพัฒนาตัวเองไหม ชวนมองความด้อย ทำความเข้าใจความด้อยกว่าว่ามันคืออะไร เขาสามารถปรับได้ไหม พัฒนาได้ไหม หาวิธีของตัวเองเจอได้ไหม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ พูดคุยกัน แต่ละคนก็ต้องค่อยๆ หาหนทางตัวเองด้วยเหมือนกัน”

| เมื่อตัวเองชัด ความสุขก็ชัดโดยไม่ต้องหา

เมื่อเราถามพลอยว่าทุกวันนี้เธอมีความสุขกับอะไรบ้าง คำตอบของเธอ ทำให้เราพบว่าความสุขเป็นสิ่งที่เรียบง่ายกว่าที่คิด เพราะความสุขในแต่ละวัน สำหรับพลอยไม่ได้หมายถึงการไปถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่หรือการมีทุกอย่างพร้อมสรรพ แต่เริ่มต้นจากการดูแลตัวเองและคนรอบข้าง รวมถึงความรู้สึกว่าได้รับการดูแลกลับมา “บางทีแค่ได้ทาสกินแคร์หลังอาบน้ำ ก็ดีจังเลยที่เราได้ดูแลตัวเอง” พลอยเล่าพร้อมรอยยิ้ม

หรือโมเมนต์เล็กๆ ในชีวิตประจำวันก็เป็นความสุขที่จับต้องได้สำหรับพลอย เช่น การออกไปวิ่งตอนเช้ากับคุณพ่อหรือเพื่อน การเลือกซื้ออาหารที่มีประโยชน์และแบ่งปันกับคนในครอบครัว
“ล่าสุดพลอยซื้อโกโก้ยี่ห้อใหม่มาชงดื่มกับพ่อ นั่งดื่มด้วยกัน แค่ช่วงเวลานี้มันก็ดีจังเลย” พลอยกล่าวพร้อมบอกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเป็นความสุขเล็กๆ แต่ยังเป็นสิ่งที่ช่วยประคองจิตใจ 

“สำหรับพลอยความสุขไม่ใช่เรื่องของการมองหา แต่คือเรื่องของการมองเห็น เราต้องแค่เห็นเลย ถ้าเรามองหาเราไม่เจอหรอก เพราะถ้าหา แสดงว่าเรารู้สึกว่ามันไม่มี เราถึงต้องไปหามัน แต่ถ้าเรารู้ว่าความสุขมีอยู่รอบตัว แค่มองเห็น และยินดีที่มีสิ่งนี้อยู่ ขอบคุณที่สิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ นี้เกิดกับเรา แม้จะมี 108 ปัญหา ก็มี 108 ความสุขได้เช่นกัน” พลอยเล่าเสริมว่า ความสุขเล็กๆ เหล่านี้เหมือนขอนไม้ที่ช่วยประคองเราในวันที่คลื่นลมชีวิตแรง 

“เราจะมีความสุขเมื่อประสบความสำเร็จก็ได้ มันก็ภาคภูมิใจ แต่จะดีกว่าไหมถ้าเรามีความสุขได้เลยตอนนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงวันนั้น เป็นความสุขที่เราเก็บเกี่ยวระหว่างทาง เพราะถ้ารอให้ประสบความสำเร็จ 10 ปี อาจมีความสุข 1 ครั้ง หรือว่าปีหนึ่งมีความสุขสักครั้งหนึ่ง ซึ่งน้อยเกินไป แต่ถ้าเรามีความสุขกับโมเมนต์เล็กๆ เราจะมีความสุขได้ทุกวัน” 

แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จ สำหรับพลอยก็เช่นกัน แม้จะมีเป้าหมายใหญ่ เช่น การเขียนหนังสือหลายเล่มและการสร้างความเข้าใจเรื่องคนพิการให้แก่สังคม แต่พลอยก็เลือกที่จะก้าวไปสู่สิ่งเหล่านั้นอย่างมีความสุขในแต่ละวัน มากกว่าการกดดันตัวเอง พลอยบอกว่า “ความสุขสำหรับพลอยมีความสำคัญ เพราะมันสัมพันธ์กับคนรอบข้างของพลอยด้วย”

เธอหมายถึงคุณพ่อ คุณแม่และครอบครัว ที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ และการมีกันและกัน ก็ทำให้ทุกวันเป็นวันที่มีความสุข

ในมุมมองของพลอย ความสุขไม่ใช่สิ่งที่ต้องรอให้เกิดขึ้นในวันข้างหน้า แต่คือการเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ ในทุกวัน รวมถึงการขอบคุณสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เธออยากให้ทุกคนไม่ลืม
“พลอยรู้สึกว่าในขณะที่เราอยากมีอะไรบางอย่างที่เราไม่มี เราจะลืมขอบคุณสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว สิ่งที่ยังดีอยู่ในชีวิต พลอยอยากให้ทุกคนไม่ลืมขอบคุณสิ่งเหล่านี้ บางครั้งเวลาที่เราเครียด เราจะลืมฟังเสียงตัวเอง เหมือนเราอยู่บนสายพานที่วิ่งตลอดเวลา ไหลไปกับความกังวลนั้น แต่ถ้าเรากระโดดออกมาจากสายพาน อยู่กับตัวเองนิ่งๆ แค่ 5 วินาที เราอาจจะได้ยินเสียงที่ถามตัวเองว่าเรากำลังทำอะไร เราเครียดไปหรือเปล่า 

ซึ่งพลอยเคยมีจังหวะนึงที่คิดกับตัวเองว่าจริงๆ ฉันก็น่ารักนะที่ฉันใจดีกับตัวเอง แล้วโมเมนต์นั้นก็เกิดความรู้สึกว่าดีจังเลยที่เราได้ยินเสียงตัวเอง มันเป็นเหมือนพรข้อหนึ่ง ที่อยากให้ทุกคนได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเราก็ต้องการความรักจากตัวเองเช่นกัน” 

“จิตใจที่ยืดหยุ่นจะไม่มีวันแตกสลาย” – Albert Camus

ความยืดหยุ่น (Resilience) มักเป็นคำที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยครั้ง แต่อาจด้วยความที่ดูนามธรรม เลยทำให้เราคิดภาพตามไม่ค่อยออกว่าตกลงแล้ว ‘ความยืดหยุ่น’ ที่ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร

ทำไมเราถึงมักโดนทักว่าแก่กว่าอายุที่เป็นอยู่? ชวนรู้จัก Old Soul ว่าด้วยตัวตนและจิตวิญญาณชรา

หากถามว่า Old Soul คืออะไร? และแปลกไหมหากเรามีจิตวิญญาณที่แก่กว่าอายุ ในหลายครั้งที่เราอาจเคยถูกใครสักคนบอกว่า ‘แก่กว่าอายุ’

‘มีสติ ยอมรับ และปล่อยวาง’ ชวนรู้จักสร้างความสุขแบบ ‘Zen’ เพื่อค้นพบเรื่องปกติที่ทำให้ใจฟูได้แม้ในวันธรรมดา

วันนี้เราจึงอยากชวนทุกท่ามาดูกันว่า คนทั่วไปอย่างเราจะค้นหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในวันปกติธรรมดาตามแนวคิดแบบเซนได้อย่างไร?