จากการเขียนบันทึกประจำวัน ทำให้พลอยค้นพบว่าบางเหตุการณ์ แม้ในขณะนั้นจะดูเหมือนไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งที่บันทึกไว้ ก็กลับมามีความหมายได้อย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน ซึ่งหลายอย่างในชีวิตของพลอยก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
“สำหรับพลอยชีวิตคือการลองผิดลองถูก เป็นสนามการทดลอง เพราะเราเกิดมา ก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรดีไม่ดี อะไรถนัดไม่ถนัด เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อลองทำ แล้วค่อยสังเกต สรุปบทเรียนกับตัวเองว่าเราชอบมันไหม เราอยากพัฒนาต่อไหม สิ่งที่เราชอบวันนี้อนาคตอาจจะไม่ชอบก็ได้ หรือสิ่งที่เคยยาก ต่อไปเราอาจพบว่าเราทำได้ดีขึ้น พลอยว่าเราก็แค่เดินไปกับชีวิต เรียนรู้ไปแต่ละช่วงเวลา
“ตอนที่พลอยเรียนจิตวิทยาแรกๆ มีวิชาหนึ่งที่พูดถึงช้างที่ถูกล่ามโซ่ไว้ ช้างยังเด็กก็ไม่มีกำลังต่อสู้ให้หลุดออกไปจากโซ่ แล้วพอเขาโตขึ้นมีกำลังที่จะหลุดไปจากโซ่ แต่เขาก็ไม่ได้พาตัวเองออกไป ทั้งที่เขาทำได้ เพราะเชื่อไปแล้วว่าตัวเองไม่มีแรงพอ เรื่องนี้ทำให้พลอยกลับมาทบทวนตัวเอง แล้วพบว่าก็มีบางมุมที่คล้ายกับเรานะ เหมือนเราตัดสินปัจจุบันของเราด้วยเหตุการณ์ที่มันเคยเกิดขึ้นกับเราในอดีตแล้วเราตอนนั้นไม่สามารถทำสำเร็จได้ ทำให้เรารู้สึกว่าเราทำสิ่งนั้นไม่ได้ แต่ในความจริง วันนี้เราโตขึ้นแล้วเราอาจทำสิ่งนั้นได้แล้วก็ได้นะ
“พลอยชอบเรื่องนี้มาก แล้วการเขียนบันทึกทำให้เราได้กลับมาทบทวนตัวเอง ได้กลับมารื้อความไม่มั่นใจของตัวเองในตอนนั้น ว่าเรากลัวทำไม่ได้ เราใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ โดยลืมคิดไปว่าเราเปลี่ยนไปแล้ว เราโตขึ้นแล้ว สิ่งที่เราเคยทำไม่ได้ วันนี้เราอาจทำได้แล้วก็ได้นะ การทำอะไรบางอย่างด้วยวิธีของเราได้ เมื่อเราทำสำเร็จเราก็ภูมิใจในตัวเองเนอะ”
พลอยเล่าถึงความสุขเมื่อเธอค้นพบว่าความสามารถของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น แต่กว่าจะคิดได้แบบนี้ พลอยบอกว่าเคยรู้สึกด้อยกว่าคนอื่นมาก่อน เพราะเธอพยายามหาวิธีที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้เหมือนคนอื่น เมื่อทำไม่ได้จึงรู้สึกแย่กับตัวเอง
“ตอนนั้นพลอยรู้สึกเฟลอยู่ตลอด เพราะเราหาวิธีที่ทำสิ่งต่างๆ แบบเดียวกับคนอื่น ทำให้เป็นทุกข์ คิดว่าตัวเองด้อยกว่า จนมาคิดได้ว่าถ้าเรายังต้องการทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีเดียวกับคนอื่น เราจะต้องเรียนรู้อะไรเยอะมาก และสุดท้ายก็อาจจะทำไม่ได้แบบคนอื่น เพราะว่าทุกคนแตกต่างกัน ก็เลยโอเค งั้นทำในแบบของเราก็ได้ มันก็คงจะดีเหมือนกันในแบบของเรา พอเราคิดแบบนี้ ใจก็เบาลง”
“อย่างการเขียนหนังสือ พลอยมองไม่เห็็น พลอยก็จะรู้สึกว่าเราไม่อาจบรรยายภาพได้เหมือนคนทั่วไป ที่จะบรรยายสี ลักษณะต่างๆ ซึ่งพลอยบรรยายได้ไม่ละเอียดเลย เพราะการเห็นไม่ใช่สิ่งที่เรารับรู้ได้ แต่พอลองคิดว่า เราเขียนในมุมที่เรารับรู้ได้สิ เช่น เราเข้ามาในห้อง เรารับรู้อุณหภูมิของห้องว่ามันร้อนหรือเย็น รับรู้พื้นได้ว่ามีฝุ่นหรือไม่มีเวลาเราเหยียบลงไป รับรู้ความนุ่มของโซฟาได้ บรรยายจากความรู้สึกที่เราสัมผัส มันก็เป็นภาพๆ หนึ่งได้เหมือนกัน นี่ก็คือการทำในแบบของเรา”
เมื่อปลดล็อกความรู้สึกด้อยกว่าตรงนี้ ทำให้พลอยเริ่มเข้าใจว่าอาจมีสิ่งอื่นๆ อีกมากมายที่เธอทำได้ในแบบของตัวเอง และมั่นใจได้ว่าสิ่งทำในแบบของตัวเองนี้ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นในสักวันหนึ่งเช่นกัน โดยเฉพาะในสังคมนี้ที่ยังขาดพื้นที่สำหรับการทำความเข้าใจผู้ที่แตกต่าง
“พลอยรู้สึกว่าสังคมอาจจะยังไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับคนพิการมากเท่าไร” เธอกล่าว เมื่อเราถามว่าความรู้สึกด้อยกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาจากไหน
“สมัยเป็นเด็กๆ พลอยรู้สึกว่าสังคมทำให้เราไม่ค่อยภูมิใจในตัวเองเท่าไร แม้ว่าคุณพ่อจะคอยบอกว่าเราเก่งมากเลยนะ และเรารู้สึกว่าเราโชคดีที่พ่อคอยบอกเราแบบนั้น แต่เรายังสงสัยตัวเองอยู่ดีว่าเก่งยังไง เพราะพอออกไปข้างนอก เรารู้สึกว่าเราโคตรจะแย่เลย เราไม่เก่งเลย เพราะเพื่อนบางคน หรือคนในสังคม มักจะบอกว่าว่า พลอยอย่าทำอันนั้นอันนี้เลย พลอยทำไม่ได้ เดี๋ยวจะลำบาก มองไม่เห็นจะทำได้ยังไง มีอะไรแบบนี้ให้ได้ยินบ่อยๆ จนกลายเป็นข้อสรุปเกี่ยวกับตัวเองว่า เรามองไม่เห็น เราทำไม่ได้
“ส่วนหนึ่งพลอยว่าก็มาจากความเข้าใจของสังคมด้วย ที่ยังไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับคนพิการมากเท่าไร เขาก็ไม่เข้าใจว่าเราจะทำสิ่งต่างๆ ได้ยังไง คนทั่วไปไม่เคยทำสิ่งต่างๆ ด้วยการปิดตา เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ผิด พลอยไม่โทษเขาที่ไม่รู้ แต่ความไม่รู้ก็นำมาสู่ความสงสาร และความสงสาร ก็ทำให้เรารู้สึกด้อยกว่า เหมือนสังคมแบ่งแยกคนพิการออกมาแล้วว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่สังคมคิด เสียงของสังคมส่วนใหญ่เนี้ย ส่งผลต่อเด็กพิการที่เติบโตขึ้นมาเนอะ นำไปสู่ความเชื่อที่เด็กคนหนึ่งมีต่อตัวเอง กลายเป็นความรู้สึกที่ว่าฉันด้อยกว่าจริงๆ ยอมรับในความด้อยกว่าไป ทั้งที่ความจริงอาจไม่ได้ด้อยกว่าก็ได้ เราก็แค่ต่างกัน”
เมื่อเราถามว่าหากพลอยต้องแนะนำเด็กคนนั้น ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า พลอยจะบอกเด็กคนนั้นว่าอย่างไร เธอบอกว่า
“พลอยไม่คิดว่าคำแนะนำวันนี้ แล้วจะเปลี่ยนแปลงความคิดได้ทันที แบบว่าวันนี้ฉันด้อย พอคุยปุ๊บพรุ่งนี้มั่นใจเลย มันคงไม่ได้เกิดเร็วแบบนั้น แต่มันเป็นเรื่องที่เราค่อยๆ ทดลองและสะสมประสบการณ์ จนเกิดเป็นความเชื่อใหม่ มุมมองใหม่เกี่ยวกับตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้เวลา สิ่งที่พลอยทำได้ อาจจะให้เขาลองถามตัวเองว่าเขารู้สึกด้อยกว่าในเรื่องไหน แล้วอยากจะพัฒนาขึ้นยังไง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนเรามันก็มีอะไรที่แตกต่างกันอยู่แล้ว คนที่เรียนเปียโนมา 1 ปี กับอีกคนเรียนมา 8 ปี คนเรียนมา 1 ปีก็ต้องเก่งไม่เท่าคนเรียนมา 8 ปี
“ถ้าวันนี้รู้สึกว่าด้อยกว่าก็แค่ไปอยู่กับมันให้นานขึ้น ไปพัฒนาตัวเองไหม ชวนมองความด้อย ทำความเข้าใจความด้อยกว่าว่ามันคืออะไร เขาสามารถปรับได้ไหม พัฒนาได้ไหม หาวิธีของตัวเองเจอได้ไหม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ พูดคุยกัน แต่ละคนก็ต้องค่อยๆ หาหนทางตัวเองด้วยเหมือนกัน”