The Present Move

อย่าเป็นคนดี เพียงเพราะมีคนดู เปลี่ยน Performative Kindness สู่ Mindful Kindness ด้วยสติรู้เท่าทัน

The Present Move | Mindful Global Citizens

เคยสงสัยไหมว่า ความใจดีที่แสดงออก
ไม่ว่าจะจากตัวเราเอง หรือจากผู้คนที่เราพบเห็น
มาจากใจที่อยากช่วยเหลือจริงๆ
หรือเป็นเพียงการแสดงแลกยอดไลก์

ในยุคที่ผู้คนแบ่งปันเรื่องราวผ่านโซเชียลมีเดีย ความนิยมวัดกันด้วยยอดไลก์และคอมเมนต์ ความใจดีที่เคยเป็นเรื่องส่วนตัว บางครั้งก็ถูกนำเสนอผ่านโลกออนไลน์ ราวกับชีวิตของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือเหล่านั้นเป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง การแจกจ่ายสิ่งของ ทำกิจกรรมเพื่อสังคม แน่นอนว่าโดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อความใจดี ถูกนำเสนอสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ก็ทำให้ผู้ที่รับรู้อดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า ความใจดีนั้นออกมาจากหัวใจ หรือเป็นเพียงการแสดงเพื่อเรียกคำชื่นชมกันแน่ 

 Performative Kindness  คือ ความใจดีที่ถูกแสดงออกอย่างจงใจ เพื่อสร้างภาพลักษณ์หรือหวังผลตอบแทนทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นคำชื่นชม ยอดแชร์ หรือความนิยม ตัวอย่างพฤติกรรมที่เข้าข่าย Performative Kindness ที่เห็นได้ชัดคือตัวละคร Galinda จากเรื่อง Wicked ละครเวทีบอร์ดเวย์ชื่อดัง ที่เพิ่งถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และออกฉายเมื่อไม่นานมานี้ บท Galinda ตามเนื้อเรื่องแล้วเป็นแม่มด ‘ฝ่ายดี’ ผมบลอนด์ ตาสีฟ้า หน้าตาสะสวยตาม beauty standard ต่างกับ Elphaba ที่ถูกทำให้เป็นแม่มดฝ่ายร้าย ยิ่งผนวกเข้ากับร่างกายสีเขียวของเธอ ก็ทำให้ Elphaba ดูน่ากลัวไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย 

แต่สำหรับผู้ที่เคยชม Wicked อาจอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า Galinda เป็นแม่มดฝ่ายดีจริงหรือ? ฉากหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ เมื่อ Galinda ตัดสินใจ ‘เป็นเพื่อน’ กับ Elphaba ที่ใครๆ ต่างก็ไม่อยากคบหา แม้จะไม่ถูกกัน แต่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าเธอเป็นคนมีน้ำใจและเป็นที่รักของทุกคนในสังคม Galinda แสร้งทำเป็นเปิดใจและ ‘ช่วย’ Elphaba ด้วยการมอบหมวกสีดำทรงแปลกให้ใส่ในงานเต้นรำ

หมวกนี้กลับทำให้ Elphaba ถูกมองว่าแปลกประหลาดกว่าเดิม แต่ Galinda แสดงออกว่าเธอทำไปด้วยความหวังดี ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นการกระทำเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองในหมู่เพื่อนๆ และเรียกความสนใจว่าเธอเป็นคนมีน้ำใจ ยินดีช่วยเหลือคนที่แตกต่าง

 พฤติกรรมของ Galinda เป็นตัวอย่างที่ทำให้เราเข้าใจ Performative Kindness การทำดี เมื่อมีคนดู เพื่อให้ได้รับคำชมเป็นอย่างไร แม้การแสดงออกจะ ‘ดูดี’ แต่เจตนาที่แท้จริงอาจไม่ใช่ เพราะซ่อนความตั้งใจที่จะสร้างภาพลักษณ์และความนิยมให้ตัวเองไว้เบื้องหลัง

กลับมาสู่โลกความจริง ในยุคดิจิทัล เราก็มักพบพฤติกรรมที่ดูคล้ายกัน เช่น การช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อถ่ายภาพหรือวิดีโอลงโซเชียลมีเดีย โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ตัวเองดูดีในสายตาของสังคม มากกว่าการทำความดีอย่างแท้จริง

บทความนี้จะชวนสำรวจว่า Performative Kindness ส่งผลต่อเรามากแค่ไหน และจะเปลี่ยนมันให้เป็น Mindful Kindness ได้อย่างไร เพื่อให้ความใจดีนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและยั่งยืนอย่างแท้จริง

| Performative Kindness ได้ช่วย ได้แชร์
มีแต่ได้ไม่มีเสีย จริงหรือ? 

เมื่อมีใครสักคนทำความดี แม้จะตั้งกล้องถ่ายรูป ถ่ายคลิปวิดีโอ โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย แม้จะทำไปเพราะต้องการการยอมรับและชื่นชม แต่สิ่งดีๆ ที่ทำก็ย่อมส่งผลดี มีแต่คนได้ ไม่มีใครเสีย จริงหรือ?

หากไม่คิดอะไรมาก Performative Kindness ก็ดูเป็นการกระทำที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่หากพิจารณาดีๆ การทำความดีเพื่อเรียกคำชม อาจลดทอนคุณค่าของความใจดีให้กลายเป็นเพียงเครื่องมือสร้างภาพลักษณ์

คนในสังคมเริ่มตั้งคำถามกับทุกการกระทำ แม้แต่ความดีที่แท้จริงก็อาจถูกเคลือบแคลงสงสัย จนความเชื่อมั่นในเจตนาดีของผู้คนเริ่มสั่นคลอน นอกจากนี้ Performative Kindness ยังอาจสร้างแรงกดดันให้ต้องแสดงความใจดีแบบที่โลกออนไลน์ยอมรับ แทนการทำตามที่ตนเองคิดว่าเหมาะสม เมื่อคนทำความดีรูปแบบหนึ่ง ได้รับผลตอบรับดี คนอื่นๆ ก็แห่ทำตามกันราวกับว่าการทำดีนั้นเป็น ‘เทรนด์’ อย่างหนึ่ง

บัญชี TikTok ชื่อ brad_podray แสดงความเห็นเกี่ยวกับคอนเทนต์ไวรัลที่เน้นการทำความดีเพื่อสร้างภาพ โดยเขาใช้คำว่า Performative Charity  เขายกตัวอย่างกรณีชายคนหนึ่งแจกเครื่องดื่มให้คนไร้บ้านและถ่ายคอนเทนต์ แต่เหตุการณ์กลับนำไปสู่ความวุ่นวายในร้านสะดวกซื้อ เมื่อคนไร้บ้านจำนวนมากกรูกันมาขอความช่วยเหลือ หรืออีกกรณีที่ชายมอบสิ่งของให้คนไร้บ้านเพื่อทำคอนเทนต์ แต่กลับทำให้คนไร้บ้านถูกคู่อริตามมาทำร้ายและชิงทรัพย์ 

brad_podray ชี้ว่าปัญหาของ Performative Charity คือ การมองผู้รับความช่วยเหลือเป็นเพียงองค์ประกอบของคอนเทนต์ โดยไม่มีสิทธิ์ส่งเสียงสะท้อนผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งบางครั้งตอนจบก็ไม่ได้สวยงามแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนกับที่ผู้ชมเห็นเพียงไม่กี่วินาที 

หากมองในระดับโครงสร้าง Performative Kindness อาจส่งผลให้บทบาทของหน่วยงานหรือองค์กรที่ควรรับผิดชอบต่อปัญหาสังคมนั้นๆ ถูกลดความสำคัญลง หรือถูกมองข้ามไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น ปัญหาคนไร้บ้านหรือความยากจนที่ควรได้รับการแก้ไขในระดับนโยบาย ผ่านการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย การสร้างงาน หรือการให้บริการสวัสดิการสังคม แต่เมื่อบุคคลหรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์เน้นการช่วยเหลือแบบฉาบฉวยเพื่อสร้างภาพลักษณ์ อาจทำให้คนทั่วไปมองว่า ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยความช่วยเหลือรายครั้งจากบุคคลธรรมดา

ยิ่งไปกว่านั้น การช่วยเหลือที่ไม่ได้มองถึงผลกระทบระยะยาว เช่น การแจกอาหารหรือสิ่งของโดยไม่คำนึงถึงบริบทของผู้รับ อาจสร้างปัญหาเพิ่มเติม เช่น ความขัดแย้งในชุมชน หรือความคาดหวังที่ไม่สามารถตอบสนองได้ในอนาคต อีกทั้งการช่วยเหลืออย่างฉาบฉวย ยังอาจสร้างภาพลวงตาว่าปัญหาได้รับการจัดการสะสาง ทั้งที่ความจริงปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ

| รู้เท่าทันความใจดี ด้วยการมีสติอยู่กับปัจจุบัน

เพราะเบื้องหลังความใจดี อาจมีหลายเจตนา ยิ่งในโลกดิจิทัลที่การกระทำหลายอย่างของคนเราถูกครอบงำจากโซเชียลมีเดีย บางครั้ง เราอาจเผลอทำอะไรตามเทรนด์ โดยลืมคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว เหมือนกับผลกระทบจาก Performative Kindness ที่ได้กล่าวไปแล้ว 

การมีสติรู้เท่าทัน ด้วยการหยุดและถามตัวเองสักนิดว่า “เราทำสิ่งนี้เพราะอะไร?” อาจช่วยให้เราได้ตระหนักถึงเจตนาเบื้องหลังการกระทำต่างๆ ว่า มาจากความหวังดีที่แท้จริง หรือเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีในสายตาผู้อื่น บางครั้ง การลดใช้โซเชียลมีเดีย ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งของการฝึกสติ เพราะบ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่า ความดีต้องได้รับการยืนยันจากยอดไลก์หรือคอมเมนต์ ทั้งที่ความจริงแล้ว ความดีที่เกิดจากเจตนาบริสุทธิ์ย่อมมีคุณค่าในตัวเอง ไม่จำเป็นต้องได้รับการยืนยันจากใคร 

Mindful Kindness คือความใจดีที่เกิดจากการมีสติรู้เท่าทัน แม้ไม่ใช่การกระทำที่ยิ่งใหญ่ เพียงการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ให้คนใกล้ตัว เช่น ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานที่มีปัญหา หรือสนับสนุนคนในครอบครัว ก็สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้ การทำสิ่งเหล่านี้ โดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่เพียงแต่สร้างความสุขให้ผู้อื่น แต่ยังทำให้เรารู้สึกได้เติมเต็มภายใน โดยไม่ต้องการคำชื่นชมจากใคร

สิ่งที่แยกแยะระหว่าง Performative Kindness และ Mindful Kindness คือ ‘เจตนาเบื้องหลังการกระทำ’ หากการแสดงความใจดีมีเป้าหมายเพื่อให้คนอื่นมองเห็นหรือยอมรับ นั่นคือ Performative Kindness ซึ่งมักทำให้ผู้กระทำรู้สึกกดดัน หรืออาจว่างเปล่าเมื่อไม่ได้รับคำชื่นชมตามที่คาดหวัง ในทางกลับกัน Mindful Kindness เกิดขึ้นจากความตั้งใจบริสุทธิ์ที่จะช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทำให้จิตใจสงบและรู้สึกได้เติมเต็มจากภายใน

| มีสติรับรู้ เปิดใจสู่ Mindful Kindness

มาถึงบรรทัดนี้หลายคนอาจคิดว่า ในเมื่อทำดี ก็ควรได้รับคำชมและสิ่งตอบแทน แล้ว Performative Kindness ไม่ดีอย่างไร?

คำตอบก็คือ การทำดีแล้วได้รับคำชม หรือสิ่งตอบแทนนั้นไม่ใช่เรื่องผิด เพราะการได้รับคำชมเป็นแรงเสริมทางบวกที่ทำให้ผู้คนอยากทำดีอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาของ Performative Kindness ก็คือ คำชม ความสนใจ และสิ่งตอบแทน ซึ่งนั่นกลายเป็น ‘เป้าหมายหลัก’ ของการทำความดี ไม่ใช่ทำดี เพราะเป็นสิ่งที่ควรทำ เมื่อเป็นเช่นนี้ความบริสุทธิ์ใจของการทำดี จึงถูกลดคุณค่าให้การเป็นเพียงเครื่องมือการแสวงหาการยอมรับเท่านั้น  

สิ่งที่น่ากลัวของการ ‘ทำความดี’ ก็คือการยึดติดอยู่กับคำว่า ‘ดี’ โดยขาดสติรับรู้ถึงเจตนาและเป้าหมายต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังการทำความดีนั้น ครั้งต่อไปที่อยากช่วยเหลือใครสักคน อาจลองตั้งสติ อยู่กับปัจจุบัน และทบทวนตัวเองด้วยวิธีต่อไปนี้ 

1. ถามตัวเองก่อนลงมือทำ : ลองหยุดและถามตัวเองว่า “เราทำสิ่งนี้เพราะอะไร?” คำถามนี้ช่วยให้เราทบทวนเจตนาที่แท้จริง เช่น เราทำเพราะต้องการช่วยเหลือจริงๆ หรือเพราะอยากให้คนอื่นมองเห็น การรู้เท่าทันความรู้สึกของตัวเองช่วยลดโอกาสที่จะเผลอทำดีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ได้

2. ไม่จำเป็นต้องเผยแพร่ทุกการกระทำ : ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นส่วนสำคัญในชีวิต การไม่โพสต์สิ่งที่เราทำ โดยเฉพาะเรื่องดีๆ อาจทำให้เรารู้สึกคับข้องใจ ในทางกลับกัน หากโฟกัสที่การช่วยเหลือจริง ๆ เช่น การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานที่มีปัญหา หรืออาสาทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชุมชน ก็สร้างความสุขให้ทั้งผู้ให้และผู้รับได้ โดยไม่ต้องมียอดไลก์หรือคอมเมนต์ชื่นชมมายืนยัน

3. ตั้งใจฟังและอยู่กับปัจจุบัน : การทำดี บางครั้ง ไม่จำเป็นต้องมอบสิ่งของ แค่เปิดใจรับฟังผู้ที่มีปัญหาอย่างตั้งใจก็เป็น Mindful Kindness ได้ เพราะการฟังอย่างลึกซึ้งช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าตนมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับ

4. ลงมือทำสิ่งเล็กๆ ที่ส่งผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ : Mindful Kindness ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แค่ช่วยยกของให้ผู้สูงอายุ หรือแบ่งปันขนมให้คนใกล้ตัว ก็สามารถสร้างความสุขและเติมเต็มให้จิตใจได้ การกระทำเล็ก ๆ แต่ทำด้วยความตั้งใจ มักส่งผลต่อผู้รับอย่างลึกซึ้ง

5. ฝึกอยู่กับลมหายใจ : เมื่อเราอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก ทำให้เรามีสติมากขึ้นในทุกการกระทำ ไม่วิ่งตามเทรนด์ต่างๆ เพราะเรามีสติรู้ตัวว่า ทุกคนล้วนมีคุณค่าโดยไม่จำเป็นต้องได้รับการยืนยันจากยอดไลก์หรือคอมเมนต์ของใครๆ 

 

สุดท้ายแล้ว การทำความดี มีคุณค่าในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือไม่มีใครเห็นเลยก็ตาม แต่หากมาจากเจตนาที่จริงใจ สิ่งที่ผู้กระทำจะได้กลับมาย่อมเป็นความสงบและความสุขที่ไม่ต้องการคำยืนยันจากใครที่ไหน ในยุคที่ยอดไลก์ดูเหมือนจะนิยามคุณค่าของผู้คน เราต้องไม่ลืมว่าแท้จริงแล้ว ความดีไม่ได้วัดจากเสียงปรบมือ แต่วัดจากหัวใจที่เปี่ยมเมตตา

Mindful Kindness การทำดีอย่างมีสติ และซื่อสัตย์ต่อความตั้งใจ สิ่งเล็กๆ ที่มาจากหัวใจยิ่งใหญ่อันบริสุทธิ์ อาจเปลี่ยนโลกไม่ได้ในทันที แต่สามารถเปลี่ยนหัวใจของเราและคนใกล้ตัวให้อบอุ่นและเปี่ยมสุขขึ้นทีละนิดอย่างแน่นอน