The Present Move

Pendulum Lifestyle มองชีวิตเป็นลูกตุ้มที่แกว่งไปมา มีขึ้นสูง ลงดิ่ง ไม่ได้บาลานซ์ทุกวัน

The Present Move | Mindful Global Citizens

แน่นอนว่าการ ‘มี’ บาลานซ์ในชีวิตย่อมดีกว่าการ ‘ไร้’ บาลานซ์อยู่แล้วอย่างไม่ต้องสืบ แต่การกดดันตัวเองตลอดเวลาว่า “ชีวิตฉันต้องบาลานซ์เท่านั้น!” อยู่ทุกวัน ถ้าไม่บาลานซ์สักวันแปลว่า ต้องมีอะไรผิดพลาด คิดแบบนี้บางครั้งมันก็… เหนื่อย บางครั้งมันก็…นอย บางครั้งมันก็…อ่อม วิตกกังวล เครียด และอีกล้านอารมณ์ลบที่เราคงต้องย้อนถามตัวเองกันใหม่ว่า ถ้าพยายามบาลานซ์มันมากเกินจนทำให้วันที่ควรจะสุขกลับกลายเป็นทุกข์แทน แบบนี้มันไม่ดีต่อใจเราหรือเปล่า?

เราขอเสนออีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนไม่อยากเครียดกับการรัดกุมเวลาชีวิตให้อยู่ในบาลานซ์จนเริ่มจะปวดหัว เปลี่ยนมาเป็นการทำความ ‘เข้าใจ’ ว่าชีวิตเราก็เหมือน ‘ลูกตุ้ม’ ที่มีขึ้นสูง ดิ่งลง กับ ‘Pendulum Lifestyle’ ไลฟ์สไตล์ของหนุ่มสาวลูกตุ้ม ที่พร้อมจะรับมือการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ทั้งอารมณ์ที่ผันผวน และสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ แต่ยังคงไม่ลืมว่า “อะไรคือสิ่งที่ดีต่อตัวเรา” ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มใจให้เรารู้จักยืดหยุ่นกับตัวเอง พร้อมๆ กับการมีสติอยู่เสมอ

Pendulum Lifestyle ถูกอธิบายไว้อย่างน่าสนใจ โดยเจฟฟ์ คาร์ป (Jeff Karp) ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ที่ Harvard Medical School และ MIT ผู้เขียนหนังสือ LIT (Life Ignition Tools) ที่อยากชวนให้ทุกคนเข้าใจธรรมชาติของชีวิต ว่ามันไม่มีทางที่จะบาลานซ์ไปได้ตลอด 

“ลืมความเชื่อผิดๆ ของการบาลานซ์ชีวิตให้คงที่อย่างสมบูรณ์แบบไปได้เลย พวกเราได้รับชุดความคิดนั้นกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการทำงาน ความสัมพันธ์ และการดูแลตัวเอง แต่ความจริงน่ะ มันเหนื่อยล้ามากนะ จะดีกว่ามั้ย ถ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้? Pendulum Lifestyle เป็นคอนเซ็ปต์ของการรับรู้ถึงการขึ้นลงตามธรรมชาติของชีวิต และเสริมพลังให้คุณก้าวต่อไปได้ท่ามกลางแรงสวิงของชีวิต” เจฟฟ์เขียนไว้ในบทความบนเว็บไซต์ Psychology Today 

อ้าว แล้วแบบนี้ ถ้าเราไม่พยายามให้บาลานซ์ มันจะกลายเป็นชีวิตเรายุ่งเหยิงไหม? ใจเย็นๆ ก่อน ไม่ใช่แบบนั้นแน่ค่ะ เพราะไลฟ์สไตล์จะยังคงให้เราชัดเจนกับตัวเองว่า ทำอะไรแล้วดีกับตัวเอง ทำอะไรแล้วไม่ดีกับตัวเอง เพียงแค่อย่าตั้งกฎเกณฑ์อะไรที่มันอยู่ในกรอบมากเกินไป หรือยากจนเกินกำลัง เพื่อไม่ให้เราเคร่งเครียดกับตัวเองมากไปก็เท่านั้น ซึ่งมันจะทำให้วิถีชีวิตที่เราพยายามจะบาลานซ์มันไม่ยั่งยืน เพราะ “มันจะจบลงด้วยความหงุดหงิดสุดๆ และนำไปสู่ความวิตกกังวล เพราะเรารู้สึกเหมือนว่าเราไม่สมดุลอยู่ตลอดเวลา” เขากล่าวกับ CNBC

เอาล่ะ เราสรุปมาให้แล้วว่าถ้าอยากมีไลฟ์สไตล์แบบลูกตุ้มควรเริ่มจากตรงไหนบ้าง 

  1. เปลี่ยนจุดโฟกัสที่มัวแต่คาดหวังว่าต้องบรรลุเป้าหมายใหญ่ในชีวิตหลายๆ อย่าง เป็นการค่อยๆ ทำสิ่งง่ายๆ ทีละอย่าง ไม่ต้องรีบคิดทุกสเต็ปรอไว้ ให้โฟกัสเพียงว่าอะไรคือสิ่งที่เราสามารถทำได้เลยตั้งแต่ตอนนี้เพียง ‘อย่างเดียว’ ที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราให้ความสำคัญกับปัจจุบันที่ทำได้จริงได้มากขึ้น เช่น สมมติปัญหาของเราคือการนอนหลับไม่เพียงพอ และเราอยากจะนอนให้เพียงพอมากขึ้น เราอาจไม่ได้หักดิบเข้านอนตั้งแต่สองทุ่มเพราะมันเป็นไปได้ค่อนข้างยากสำหรับคนวัยทำงาน แต่จากนอนตี 2 เราอาจขยับเวลาลงมาเป็นตี 1 แล้วค่อยๆ เป็นเที่ยงคืน หรือห้าทุ่ม ลงมาเรื่อยๆ แล้วดูว่าเวลาไหนเหมาะกับเราที่สุด หรือถ้านอนไม่หลับจริงๆ ก็อาจทำควบคู่ไปกับการยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ผ่อนคลายพร้อมนอนมากขึ้น หรือจากเคยเล่นโทรศัพท์เป็นชั่วโมงก่อนนอน เราอาจค่อยๆ ลดเป็น 30 นาทีแทน เพราะหักดิบมากไปอาจทำให้เราตบะแตกเข้าได้ง่าย

 

  1. สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ พูดง่ายๆ ว่าเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นให้เราคอยคิดตามว่า อะไรที่ดีต่อตัวเรา และอะไรไม่ดีต่อตัวเรา อนึ่ง ลองทำในสิ่งที่เราต้องการจะพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นก่อน แล้วจะรู้ว่ามันเหมาะกับเราจริงๆ หรือไม่ เพราะสิ่งที่คนอื่นคิดว่าชีวิตแบบนี้แหละคือบาลานซ์ อาจไม่ได้เหมาะกับเราจริงๆ ซึ่งแม้จะยังไม่บาลานซ์ชนิดที่ว่ามี Work-Life Balance ได้ทุกวัน 100% แบบใจคิด แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีขึ้น เพราะชีวิตเราไม่ได้ไร้บาลานซ์ไปเสียทุกวันแล้วเหมือนกัน

 

  1. เจอช่วงเวลาไม่เป็นดั่งใจเมื่อไร ลองเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้กับความยืดหยุ่น เช่น สมมติเราตั้งใจจะกินสลัดผักทุกวันศุกร์ เพื่อสร้างตารางสุขภาพให้ตัวเองอย่างชัดเจน แต่วันนั้น ดันเป็นวันที่เพื่อนรักนัดกินหมูกระทะพอดี คุณจะทำอย่างไร?! บางคนอาจจะเลือกปฏิเสธเพื่อน แม้จะอยากเจอมากๆ เพื่อบาลานซ์ชีวิตให้เป็นไปตามความคาดหวัง แต่วิธีนี้ก็อาจสร้างความเครียดให้เราได้ เพราะใจมันไปแล้ว ไลฟ์สไตล์แบบลูกตุ้ม อาจเป็นการที่เราเลือกจะไปกับเพื่อนในเย็นวันศุกร์เพื่อเมาท์มอย กินข้าวกับเพื่อนให้อร่อย แล้ว ‘เปลี่ยน’ วันกินสลัดเป็นวันเสาร์แทน เห็นไหม ไม่ได้หมายความว่าเราล้มเลิกเป้าหมายนั้น เราแค่พร้อมยืดหยุ่นกับสถานการณ์รายวันที่เกิดขึ้นก็เท่านั้น

 

  1. เข้าใจความไม่เที่ยงของชีวิต วันไหนไม่เป็นไปตามที่คิด ก็อย่าโทษตัวเอง เพราะเมื่อเรายึดมั่นว่าทุกอย่างต้องเป็นไปไหนทิศทางที่คิดไว้แล้ว และห้ามมีอะไรผิดพลาด พอเราไม่เผื่อใจให้กับเรื่องไม่คาดฝัน นั่นอาจทำให้เราเป๋ไปได้เลย ฉะนั้นแล้ว ลองมองชีวิตให้เป็นลูกตุ้ม เรามีวันที่ขึ้นสูง มีความสุขสุดขีด มีวันที่เหนื่อย จนอยากอยู่เฉยๆ และมีวันที่แม้จะเหนื่อยแค่ไหน ก็ต้องพยายามฝืน แต่ทั้งหมด “ไม่มีทางอยู่แบบนั้นไปตลอด” ทุกข์แค่ไหน ก็ใช่ว่าจะทุกข์ไปตลอดชีวิต ผิดพลาดวันนี้ ใช่ว่าจะผิดพลาดไปตลอด มองไปข้างหน้า และค่อยๆ ก้าวต่อไป

 

  1. ยอมรับการเปลี่ยนแปลงและใช้มันพัฒนาต่อ สุดท้าย ชีวิตเราบางครั้งมันก็คาดเดาไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องความรู้สึก ความต้องการ และสถานการณ์รอบตัวต่างๆ เช่นเดียวกับลูกตุ้มที่แกว่งไปแกว่งมา ซึ่งไลฟ์สไตล์แบบลูกตุ้มนี้จะช่วยให้เรายอมรับไดนามิกของธรรมชาติ และพร้อมปรับตัว นำไปสู่ความรู้สึกอยากเรียนรู้อยากเห็นว่าชีวิตของตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปด้านไหน เช่น บางครั้ง เราอาจไม่กล้าออกจากเซฟโซน ไม่กล้าออกจากงาน ไม่กล้าออกจากคน ที่แม้จะ ‘ท็อกซิก’ แต่ก็คิดว่ามันดีที่สุดแล้ว จนไม่รับฟังความเหนื่อยล้าทางร่างกายภายในที่อยากให้เราได้ ‘พัก’ บ้าง งานใหม่ อาจเป็นสิ่งที่เรากลัว แต่ขณะเดียวกันงานใหม่ ก็จะพาเราไปพบสิ่งใหม่ๆ ที่อาจทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้เหมือนกัน เราอาจกลัวที่จะโสด แต่ความโสดอาจเป็นสถานะที่ทำให้เราได้กลับมาอยู่กับตัวเองจริงๆ จนได้เรียนรู้ความต้องการลึกๆ ที่แท้จริงของตัวเองได้

 

ทั้งหมดนี้แม้จะไม่ใช่ชีวิตที่บาลานซ์ในทุกๆ วัน แต่ทั้งหมดนี้อีกนั่นแหละ ที่เป็นความปกติธรรมดาของ ‘มนุษย์’ ที่มีทั้งวันที่บาลานซ์ได้ และบาลานซ์ไม่ได้ อยู่ที่ว่าเมื่อบาลานซ์ไม่ได้ เราจะมองมันเป็นความผิดพลาดและโบยตีตัวเองว่าไม่ได้เรื่อง หรือมองมันเป็นหนึ่งการเรียนรู้ที่จะช่วยพัฒนาเราให้รู้ได้ต่อไปว่า อะไรคือสิ่งที่ ‘เหมาะ’ กับชีวิตเรา

POMODORO เทคนิคบริหารเวลาแบบนาฬิกามะเขือเทศที่บอกกับเราว่า ‘การพัก’ ก็สำคัญไม่แพ้กัน

ชวนทุกท่านมารู้จักกับ ‘โพโมโดโร’ (POMODORO) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีการทำงานและแบ่งเวลาที่อาจกำลังบอกเราว่า หากจะมี work-life balance ที่แท้จริงได้นั้น อาจเริ่มจากการคิดเรื่อง ‘เวลาพัก’

Rooting & Grounding เพราะเท้าเปล่าๆ ที่แตะพื้นหญ้า ช่วยพาให้เราเชื่อมต่อกับโลกและความสุขในปัจจุบันขณะ

Rooting & Grounding คือหนึ่งในวิธียอดนิยมที่ทำให้ใครหลายคนกลับมาจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งวิธีทำนั้นก็ง่ายแสนง่ายคือการผ่อนคลายให้ตัวเองได้เป็นตัวเองในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ ผ่านการถอดรองเท้าให้เปลือยเปล่า