The Present Move

สมุดบันทึกการเดินทางตลอด 6 ปีของ ‘Peachful’ ศิลปินนักวาดภาพประกอบผู้สนใจจิตวิทยาและการออกแบบประสบการณ์

The Present Move | Mindful Global Citizens

หากเราพูดถึงอาชีพ ‘ศิลปิน’ หลายคนอาจมีภาพนักร้องหรือนักดนตรีผุดเข้ามาในหัว ซึ่งหากกล่าวกันตามความหมายที่แท้จริงของ ‘ศิลปิน’ แล้วพวกเขาเหล่านั้นคือกลุ่มคนที่นำเสนอความคิดสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานในหลากหลายรูปแบบ

‘นักวาดภาพประกอบ’ (Illustrator) เองก็เป็นหนึ่งในนั้น และเราต่างรู้กันดีว่าอาชีพศิลปินนั้นย่อมมีการทำงานกับตัวตนของตัวเองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง จากความชอบของคนหนึ่งเมื่อต้องนำความคิดสร้างสรรค์เหล่านั้นพร้อมทั้งสกัดตัวตนบางส่วนออกมาเป็นงาน และการเดินทางของงานศิลปะไม่ต่างอะไรจากการเติบโตของใครสักคนหนึ่งที่ย่อมมี ‘วันแรก’ เป็นจุดเริ่มต้น มีอุปสรรคบางอย่างให้เราได้เรียนรู้และเติบโตจนกว่าจะถึงปลายความฝันที่ตั้งเอาไว้

The Present Move จึงชวนคุยกับ พีช-พัชณาพร วิมลสาระวงค์ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อของ ‘Peachful’ ศิลปินนักวาดภาพประกอบเจ้าของลายเส้นสุดน่ารักพร้อมด้วยนัยที่แฝงไปด้วยการฮีลใจ และ แมค-ณัฐพงศ์ วิวัฒนะประเสริฐ ผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Peachful : Peace of mind’ 

เส้นทางการเดินทางของนักวาดภาพประกอบสายฮีลใจที่ต้องผ่านการทำงานกับตัวตนมามากมายจะเป็นอย่างไร การทำงานกับตัวตนจากภายในสู่ภายนอกสำคัญแค่ไหน ติดตามได้ตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป

| ‘Peachful : Peace of mind’

เส้นทางในการเป็นนักวาดภาพประกอบของพีชเริ่มต้นจากความชอบในการวาดรูปตอนอายุ 7 ขวบ ก่อนที่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2561 หรือก็คือเมื่อราว 6 ปีที่แล้วเธอได้ตัดสินใจเปิดเพจ ‘Peachful : Peace of Mind’ ขึ้นในช่องทางเฟซบุ๊ก 

“เราอยากตั้งชื่อที่มันเป็นอะไรที่เห็นแล้วจำได้ว่าคือเรา แล้วก็ขอให้พี่สาวช่วยคิด พี่สาวเราบอกว่าที่จริงชื่อเราเมื่อเติม adjective ‘-ful’ เข้าไปความหมายจะไปพ้องกับคำว่า ‘Peaceful’ ที่แปลว่าความสงบ แถมชื่อจริงเรา (พัชณาพร) ก็แปลว่าความสงบสุขเหมือนกัน เราชอบชื่อนี้มาก เลยตั้งชื่อเพจเป็นชื่อนี้”

สำหรับเหตุผลในการเปิดเพจ เธอมองว่าอยากมีพื้นที่สำหรับเก็บผลงานเอาไว้ราวกับเป็น portfolio ขนาดย่อมๆ รวมถึงเป็นพื้นที่ที่อยากเอาไว้ส่งต่อข้อความดีๆ ประกอบกับเรื่องราวที่วาดเอาไว้ 

ในตอนแรก Peachful : Peace of Mind จะมีสไตล์การออกแบบที่เป็นแนวกราฟิกมากหน่อย อาจด้วยเพราะการทำงานในช่วงแรกเริ่มของเธอคือการทำงานเชิงครีเอทีฟ และก่อนหน้านั้นเธอก็เรียนจบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มา แต่ก็พัฒนาลายเส้นขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาเป็น Peachful ในปัจจุบัน โดยที่พื้นที่ในเพจก็เป็นพื้นที่ที่ดีที่ทำให้เธอได้ลองพัฒนาลายเส้นมาในรูปแบบต่างๆ จนกระทั่งออกมาเป็นตัวเองที่สุดในทุกวันนี้

นอกเหนือจากนั้น งานประจำแรกของเธอก่อนที่จะมาเป็นนักวาดภาพประกอบเต็มตัวนั้นคือการทำงานในตำแหน่ง Learning Designer ซึ่งนั่นทำให้เธอได้เรียนรู้ ‘การออกแบบประสบการณ์’ (Learning Experience) ซึ่งนั่นคือสกิลที่สำคัญที่ทำให้เธอพัฒนาต่อยอดงานศิลปะของตัวเองในแบบที่ไม่เหมือนใครเช่นกัน

“เรารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เราเรียนว่าช่วงที่สนุกที่สุดในการทำงานสำหรับเราคือ การคิดคอนเซ็ปต์ เช่น เวลาออกแบบบ้านในฐานะสถาปนิกเราจะจินตนาการตั้งแต่เมื่อเดินเข้าไปในบ้านหรือแวะห้องรับแขก เขาจะต้องวางกุญแจที่ไหน จะต้องมีคอนโซลที่ใช้สำหรับวางอย่างไร มันเป็นสกิลการออกแบบจากการใช้ชีวิต พฤติกรรม และความรู้สึกของแต่ละคน”

เราถามต่อถึงความเหมือน ความต่าง หรือการเชื่อมโยงระหว่างการเป็นสถาปนิกกับนักวาดภาพประกอบ เธอตอบอย่างน่าสนใจว่า กระบวนการการทำงานของสองอาชีพนี้อาจไม่ได้ต่างกันเท่าไร มีความคล้ายกันในส่วนของการทำความเข้าใจว่าคนคนนั้นมีความชอบและไลฟ์สไตล์อย่างไร แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ‘ผลลัพธ์’ ที่จะออกมา

“เขาเป็นคนอย่างไร มีความรู้สึกนึกคิด และต้องการอะไรในชีวิต” พีชเน้นย้ำถึง 3 อย่างสำคัญในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบประสบการณ์ของคน

(ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ Peachful Studio)

| ‘Tell your Tales’

ตอนที่ทำงานประจำแรกถึงแม้ว่าพีชจะยังจัดวางให้ศิลปะเป็นงานอดิเรกอยู่พอสมควร แต่ว่าในช่วงชีวิตในห้วงเวลานั้นเธอรู้สึกว่าเกิด ‘ภาวะบางอย่าง’ ขึ้นภายในจิตใจ 

“เหตุการณ์บางอย่างในตอนนั้นทำให้เรารู้สึกแย่และเสียใจ ตอนนั้นเราเริ่มเอาศิลปะกลับมาฮีลใจตัวเอง เพราะศิลปะคือพื้นที่หนึ่งที่เรายังรักมันอยู่ และเราไม่ได้ทำมันนานแล้ว”

นี่คือจุดเริ่มต้นของงานศิลปะเซ็ตแรกในชื่อธีมว่า Tell your tales ซึ่งมาจากการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์หนึ่งขึ้นมา เธอนึกถึง ‘หนูน้อยหมวกแดง’ ในภาพของเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันกว้างใหญ่แล้วรู้สึกว่าตอนนั้นอะไรบางอย่างกำลังขาดหายไป แต่ชีวิตยังคงต้องเดินหน้าต่อ

นั่นจึงออกมาเป็นภาพ ‘A little big world’ ที่สะท้อนถึงเรื่องราวนั้น

“หลังจากนั้นคาแรกเตอร์ของหนูน้อยหมวกแดงจึงเหมือนกับเป็นตัวแทนในการบอกเล่าเรื่องราวต่อๆ ไป” พีชว่า

อีกหลายภาพที่บอกเล่าเรื่องราวของหนูน้อยหมวกแดงจึงเริ่มต้นขึ้นผ่านการที่เธอพยายามทำคอลเล็กชั่นภาพนี้ให้สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ จากการหยิบเรื่องนั้นผสมกับการบอกเล่าเรื่องราวนี้ ทั้งหมดคล้ายเป็นการออกจาก Comfort Zone ของพีชเอง รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางของ Peacchful Studio ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้

ไม่ว่าจะเป็นภาพ ‘Little Princess’ ที่บอกเล่าเรื่องราวของ ‘เจ้าหญิงน้อย’ ที่ไม่ปลูกดอกกุหลาบแล้วครอบกระจกเอาไว้หากแต่เด็ดดอกกุหลาบออกมาเลย เพื่อแสดงถึงความอยากในการครอบครองอะไรสักสิ่งอย่างหนึ่งแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ 

หรือภาพ ‘Abnormal is the normal.’ ที่บอกเล่าเรื่องราวของ ‘แกะดำ’ ว่าทุกคนมีความแตกต่างในแบบที่เป็นตัวเอง และที่จริงแล้วการเป็นแกะดำอาจจะไม่ได้ผิดแปลกอะไร

ดังที่เราเล่าไปว่าคอลเล็กชั่น Tell your tales นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เธออยากส่งผลงานประกวดในงาน Bangkok Illustration Fair 2022 (BKKIF) ที่พีชเองก็ติดตามมานานและมีความฝันว่าในสักวันหนึ่งหากได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับงานได้ก็น่าจะดีไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกันถึงแม้ว่าจะอยากลองส่งประกวดมากแค่ไหน แต่ความมั่นใจก็สวนทางเพราะความกลัวว่าตัวเองอาจจะยังไม่ดีพอ

“เขาบอกว่าเขาไม่ชอบการแข่งขันเพราะกลัวผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่เราคิดว่าการที่จะไปถึงความสำเร็จมันต้องก้าวข้ามความกลัวตรงนั้น และหากรอให้ ‘พร้อม’ ก่อนมันก็คงไม่สุด เราเห็นเขาวาดมาตั้งนาน และรู้ว่าเขามีของเลยบอกให้ส่งไปเลย อย่างมากถ้ามันไม่ได้จริงๆ มันก็คือเท่าเดิม ไม่มีอะไรติดลบ แต่ถ้าได้มันก็เป็นโอกาสสำคัญเลยนะ” แมคเล่าเสริมถึงการให้กำลังใจพีชในตอนนั้น

ซึ่งเมื่อผลการพิจารณาออกมาว่า Peachful ได้เข้าร่วมในงานนิทรรศการครั้งนั้น เธอบอกกับเราว่าเธอดีใจมาก เพราะก่อนหน้านี้ทำงานในเชิงออนไลน์เป็นส่วนใหญ่จึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้พบปะผู้คนและได้ออกแบบประสบการณ์ให้กับผู้คนที่เข้ามารับชมนิทรรศการของเธอแบบตัวเป็นๆ 

“เราอยากฟังเรื่องราวของคนที่กำลังมองภาพอยู่ว่าเขารู้สึกอย่างไร หรือมีความคิดอะไรบางอย่างกับมันไหม” พีชว่า

ซึ่งหลังจากงาน BKKIF 2022 นั้น Peachful ได้รับโอกาสสำคัญอย่างการไปออกแกลลอรีร่วมกับศิลปินนักวาดภาพประกอบชื่อดังอีกหลายท่านในชื่อธีมอย่าง ‘To the moon and (never) back’ โดยที่เธอได้ส่งภาพในเซ็ตที่ชื่อว่า ‘Once upon the full moon’ เข้าไปร่วมจอยในนิทรรศการนั้น ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญอีกก้าวหนึ่งของ Peachful เช่นเดียวกัน

(ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ Peachful Studio)

| ‘Once upon the full moon’

“วันสุดท้ายของการจัดงาน BKKIF 2022 เขาประกาศผลว่าเราได้รางวัลจาก River City Bangkok และจะได้ไปจัดนิทรรศการเราดีใจมาก น้ำตาซึมเลย เพราะว่าตอนเด็กๆ เราเคยไปมิวเซียมหรือแกลอรีแล้วคิดเอาไว้ว่าถ้าอายุสัก 40 อยากทำแกลลอรี แต่นี่มันเกิดขึ้นไวกว่านั้นมาก”

“มันเหมือนเป็นพื้นที่หนึ่งที่ทำให้เราได้กลับมาวาดอะคริลิกอีกครั้ง เพราะในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมาเราแทบไม่ได้จับอะคริลิกเลย แต่ตอนนั้นก็แอบกังวลว่าจะทำได้ไหม โจทย์คือต้องเพนต์รูปประมาณ 1 เมตร ก็แอบชาเลนจ์กับเราอยู่เพราะว่าเรากลัวจะทำได้ไม่ดี”

ห้วงเวลานั้นราวกับว่าเป็นช่วง Coming of Age ของ Peachful ไม่น้อย เพราะได้รับโอกาสมาแล้วเธอก็อยากทำให้เต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกท้าทายและเกิดอาการ Self-doubt อยู่พอสมควรเพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้หรือไม่

แคนวาส 1 เมตรถือว่าใหญ่มากสำหรับเธอในจุดเริ่มต้น เธอจึงค่อยๆ เริ่มใช้วิธีการแบบ back to basic ผ่านการหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วค่อยๆ เริ่มว่าจะลงสีอะไรตามสเต็ปแรกจากที่เคยเรียนในช่วงมัธยม

“วิธีการง่ายๆ แบบนี้ช่วยเราได้มากเลย มันทำให้เราไม่ว่างเปล่าตอนที่ยืนอยู่หน้าผ้าใบเปล่าแล้ว การทำทีละขั้นตอนมันช่วยดึงโฟกัสเรากลับมาได้มาก ซึ่งช่วยลดความเครียดเราไปได้เยอะมากๆ”

“เหมือนอยู่กับปัจจุบัน ไปทีละขั้นละตอน”

สำหรับแนวคิดของ ‘Once upon the full moon’ มาจากการพัฒนาคาแรกเตอร์ของ ‘หนูน้อยหมวกแดง’ ตามแบบฉบับของ Peachful แต่ในครั้งนี้หนูน้อยมาพร้อมกับหมาป่าที่มีชีวิตแค่เพียง 1 คืนซึ่งก็คือคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเธอลองตีความกลับจากเวอร์ชันของนิทานว่า ตามตำนานแล้วหมาป่ากับหนูน้อยหมวกแดงนั้นจะเป็นศัตรูกัน แต่ในครั้งนี้เอยากเธอลองนำเสนอในมุมมองที่ว่าเขาอาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้ และหมาป่าถึงแม้จะดูดุร้ายแต่ก็อาจจะไม่ได้ทำลายใครง่ายๆ ซึ่งการมองกันให้เข้าถึงใจนี้จะช่วยให้เราได้ค้นพบความจริงใจของใครบางคนรอบตัวเราเช่นกัน

| ‘Once upon the full moon’

ถึงแม้ว่าช่วงที่วาดชิ้นงาน Once upon the full moon พีชจะยังทำงานประจำ และทำงานศิลปะได้แค่วันหยุดเสาร์อาทิตย์และบางวันที่ลางาน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เธอตัดสินใจว่าอยากมีเวลาให้กับการทำงานศิลปะจริงๆ นั่นจึงเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิต

ถึงแม้ว่าในขณะนั้นเธอเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดและเตรียมใจมาประมาณหนึ่งแล้ว แต่เธอเล่าว่ามันก็อดเคว้งไม่ได้ ความรู้สึกไม่มั่นคงที่เกิดขึ้นเพราะความกังวลและความกลัว ตอนนั้นเธอจึงวาดรูปหนูน้อยขึ้นมา หนูน้อยคนนั้นมองไปที่นอกหน้าต่างที่ฝนกำลังโปรยปรายแล้วหยิบร่มขึ้นกางทั้งที่ตัวอยู่ในบ้าน คล้ายกับความรู้สึกไม่มั่นคงที่พีชเองกำลังรู้สึก

“เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของความกลัวจริงๆ และความกลัวเป็นเรื่องของอนาคตมากๆ ความเศร้าคือเรื่องของอดีต ส่วนปัจจุบันไม่มีอะไร มันคือที่นี่ ตรงนี้”

นั่นจึงเกิดมาเป็นคอลเล็กชั่นถัดมาในชื่อ ‘THE STORY OF SEASONS’ ที่เธออยากบอกเล่าเรื่องราวของ ‘ฤดูกาล’ ว่ามันคือเรื่องราวที่ผันผ่าน และไม่ว่าจะผลิบาน ร้อน ฝน ลม แดด เมื่อถึงวันหนึ่งทุกอย่างจะผ่านไป

สำหรับงานนี้เธอก็ได้โอกาสสำคัญจากศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ไปจัด mini exhibition ของตัวเองเป็นครั้งแรก ซึ่งแมคและพีชได้ออกไอเดียในการเปิดคอลแล็บกับนักเขียนที่มาช่วยคลี่ขยายบอกเล่าเรื่องราวของแต่ละภาพอีกด้วย เพราะอยากให้เพื่อร่วมวงการสร้างสรรค์นั้นได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน

| การเรียนรู้จากตัวตน และเรื่องราวที่สรรค์สร้างผ่านประสบการณ์

“ตอนแรกเราไม่เคยคิดว่าการวาดรูปของเรามันจะไปถึงใจของใครสักคนได้เลย แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาขอบคุณชิ้นงานของเราว่าช่วยฮีลใจเขาได้ บางคนมาร้องไห้ที่ชิ้นงานเลยก็มี เราเลยรู้สึกดีใจมากๆ ที่งานเรามีคุณค่ากับใครสักคนหนึ่งและช่วยเยียวยาเขาจากความเศร้าได้”

“เราชอบคอนเทนต์จิตวิทยามาก และดีใจมากๆ ที่ได้เอามันมาปรับใช้กับงานจนกลายมาเป็นเราในทุกวันนี้”

พีชเล่าเสริมถึงฟีดแบ็กจากผู้รับชมที่เข้ามาขอบคุณงานของ Peachful ด้วยรอยยิ้ม แมคเองก็ไม่ต่างกัน เขายังเล่าเสริมว่ามีคนขับรถจากจังหวัดนครสวรรค์มาชมผลงานที่ TCDC ด้วย

เราถามทั้งคู่ต่อว่าในสมุดบันทึกการเดินทางเล่มนี้ หากให้นิยามการเติบโตของ Peachful ทุกวันนี้ทั้งสองคนมองว่าอย่างไรบ้าง?

“เรารู้สึกว่ามันคือการโอบรับทุกความรู้สึกทุกช่วงขณะทั้งที่เกิดขึ้นและจบไป ตั้งแต่คอลเล็กชั่นแรกจนถึงปัจจุบันนี้ทำให้เราค่อยๆ เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ซึ่งมันจะนำมาสู่การยอมรับตัวเองในที่สุด ค่อยๆ เข้าใจแต่ละช่วงวัย และมันก็คล้ายกับการถ่ายทอดเรื่องราวเพื่อที่จะเป็นประสบการณ์บางอย่างให้คนได้รับแรงบันดาลใจ” พีชว่า

“ส่วนเรามองว่า ‘การวาดรูป’ คือจุดเริ่มต้นและเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดความรู้สึกได้ดี พองานใหญ่ขึ้นเราอาจจะยิ่งต้องปล่อยวางความสมบูรณ์แบบมากขึ้น เพราะหากเรายึดติดกับความเพอร์เฟกต์มากไปอาจจะไม่มีทางเริ่มต้นอะไรใหม่ได้เลย” แมคตอบเราต่อ

“หากให้บอกอะไรกับตัวเองในช่วงเริ่มต้น เราอาจจะขอกลับไปบอกเด็กน้อยอายุ 7 ขวบคนนั้นเลยว่าสิ่งนี้ (การวาดรูป) มันมีค่ากว่าที่คิดเอาไว้มาก เพราะตอนเด็กที่เราเริ่มรู้ตัวว่าชอบศิลปะเราไม่รู้ว่าจะทำสิ่งนี้ให้มีความหมายได้อย่างไร”

มาจนถึงตอนนี้ เจ้าหนูน้อยคนนั้นมีชื่อแล้วว่า ‘น้องจิ๋ว’ (Little) ซึ่งพีชอยากวางไว้เป็นคาแรกเตอร์หลักของ Peachful ต่อไป นัยหนึ่งมาจากการที่พีชเองเป็นคนตัวเล็กแต่ใจใหญ่ น้องจิ๋วอาจเป็นตัวแทนของทั้งการเป็นคนตัวเล็กในเชิงกายภาพ และการที่ ‘รู้สึกตัวเล็ก’ จากหลากหลายสถานการณ์ในโลกอันกว้างใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็มองว่าน้องจิ๋วเองก็ยังเป็นตัวแทนของคนที่มีความหวังที่จะผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปได้ด้วยใจที่แข็งแกร่ง

ก่อนจะจากกัน พีชและแมคทิ้งท้ายเอาไว้ว่า Peachful Studio มีแพลนจะทำ Solo เป็นครั้งแรกช่วงกลางปีหน้า (2568) และช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่พีชกำลังพยายามทำความเข้าใจกับตัวเองมากๆ เพราะอยากให้โซโล่ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าออกมาให้ดีอย่างเต็มที่มากที่สุด 

นอกจากนี้ Peachful Studio ยังเปิดโอกาสในการเป็นทั้งเพื่อนและพื้นที่ของใครอีกหลายๆ คน รวมถึงก็อยากสร้างสรรค์แบรนด์นี้ให้มีหลายคนเข้ามามีส่วนร่วม เพราะว่านอกจากการวาดรูปแล้วนั้นยังอยากสร้างงานให้เข้าถึงจิตใจคนจริงๆ ในอีกหลากหลายแง่มุม

ถึงแม้บทสนทนานี้จะจบลง แต่การเดินทางของ Peachful ยังคงไปต่อ รวมถึงการโอบรับและเรียนรู้ตัวตนจากประสบการณ์ของเธอเช่นเดียวกัน

ติดตามผลงานของ Peachful Studio ได้ทาง
Website : https://peachfulstudio.com/
Facebook : Peachful
Instagram : @peachful.studio

บทเรียนจาก ‘วิชาคนตัวเล็ก’ หนังสือที่ชวนค้นความพิเศษใน ‘ตัวเอง’ ค่อยๆ ละทิ้งชีวิตที่หมุนรอบความคิดคนอื่น

“ฟังหูไว้หู อย่าเชื่อจนหมดใจ” ประโยคนี้ในหน้าแรกๆ ของหนังสือ ‘วิชาคนตัวเล็ก’ โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ไม่โน้มน้าวให้เราเชื่อทุกคำแนะนำที่ปรากฏในหนังสือ แต่ก็โน้มน้าวให้เราอ่านทุกบรรทัดตั้งแต่หน้าแรกจนจบหน้าสุดท้ายได้ในเวลาอันรวดเร็ว

เลือกสี เฟอร์นิเจอร์ จัดองค์ประกอบ เรื่อง ‘บ้าน’ ที่ไม่ใช่แค่เรื่อง ‘บ้านๆ’ เพราะทุกการจัดวางล้วนส่งผลต่อความรู้สึก

“ถ้าข้าวของในห้องมันอัดแน่นและวางกองเรี่ยราด มันอาจจะส่งเสริมให้เรารู้สึกวิตกกังวล หงุดหงิด และรู้สึกวุ่นวายได้”