The Present Move

Peaceful Death เพราะ ‘ความตาย’ และ ‘การใช้ชีวิต’ เป็นเรื่องเดียวกัน เราจึงควรใช้ปัจจุบันดูแลทุกความสัมพันธ์ให้ดีที่สุด

The Present Move | Mindful Global Citizens

เราจะเริ่มคุยเรื่อง ‘ความตาย’ อย่างไรดี?

สำหรับผู้เขียนแล้วนั้น ‘ความตาย’ ถือเป็นเรื่องปกติสามัญ เพราะชีวิตเราไม่ต่างอะไรจากสรรพสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ ที่เมื่อเกิดขึ้น ก็ตั้งอยู่ และดับไป 

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในอีกหลายต่อหลายครั้งเมื่อความตายมาปะทะตัวเราอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไว้แทบไม่ทัน นั่นก็อาจทำให้เรารู้สึก ‘สูญเสีย’ จน ‘เสียศูนย์’ ก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่จากไปอย่างไม่หวนกลับนั้น เป็นบุคคลสำคัญในชีวิต

วันนี้ The Present Move ขอชวนผู้อ่านทุกท่านมาจับเข่าคุยกันเรื่องความตายกับ คุณเอกภพ สิทธิวรรณธนะ ผู้ประสานงานโครงการชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี กลุ่ม Peaceful Death ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘การตายดี’ และการเตรียมตัวกับความตาย

เพราะความตายกับการใช้ชีวิต ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน

และเราอาจตอบคำถามได้ว่า ชีวิตนี้เราอยู่ไปเพื่ออะไร ด้วยการคิดเรื่องความตาย เพราะเวลาในการใช้ชีวิตของเรานั้นเหลืออยู่อย่างจำกัดและนับถอยหลังลงไปทุกวัน

| ในฐานะที่ทำงานในประเด็นเกี่ยวกับ ‘ความตาย’ คุณคิดว่าเพราะอะไรคนเราถึงทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องที่คุยยาก

ผมคิดว่า มีหลายปัจจัย ในด้านหนึ่งมนุษย์เรามักมองว่า ความตายเป็นเรื่องของการจากลาและความเจ็บปวด ด้านที่สองคือในมุมมองวัฒนธรรมบริโภคนิยมจะไม่ชอบพูดเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะว่าความเป็นหนุ่มสาวจะเอื้อต่อการบริโภคและเศรษฐกิจจะหมุนเวียนได้มากกว่า เพราะหากหนุ่มสาวเหล่านั้นปลงกับชีวิต การบริโภคอาจจะลดลง และในด้านสุดท้ายคือเพราะอัตราการเกิดลดน้อยลง 

สำหรับ Peaceful Death เอง หลายครั้งช่องทางออนไลน์ของเราก็ถูกอัลกอริทึมปิดกั้นการมองเห็น เพราะว่าการผลิตและเผยแพร่เนื้อหาในเรื่องนี้อาจเสี่ยงต่อการไปทริกเกอร์ให้คนคิดเรื่องการฆ่าตัวตาย แต่ที่จริงแล้วสังคมควรมีการพูดคุยเรื่องนี้ให้เยอะกว่านี้ 

| สำหรับปัญหาในระบบสุขภาพในโรงพยาบาล คุณมองว่าเกี่ยวข้องกับความตายไหม 

เมื่อเราไม่ได้มีการเตรียมตัวกับความตายมากนัก เหล่านั้นอาจนำไปสู่การยื้อชีวิตวินาทีสุดท้ายในโรงพยาบาล ซึ่งอาจเป็นการใช้ทรัพยากรในโรงพยาบาลอย่างไม่เกิดประโยชน์ เพราะว่าหัตถการที่เกี่ยวข้องกับการช่วยชีวิตผู้ป่วยนั้นต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูง และในปัจจุบันหัตถการเหล่านี้มักใช้กับผู้ป่วยระยะท้ายๆ หรือผู้สูงอายุ ที่ส่วนใหญ่พวกเขาเองก็อาจจะยังไม่เคยได้สื่อสารถึงความต้องการของพวกเขา กล่าวคือ พวกเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลที่ทุกข์ทรมานและก้าวร้าวต่อร่างกายเช่นนี้ก็ได้ หากเขาไม่ต้องการ

เพราะฉะนั้น หัตถการในลักษณะนี้ ในด้านหนึ่งก็เป็นการลดทอนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุไปในตัว เพราะสร้างความทุกข์ทรมานให้เขา ในอีกด้านก็เป็นการใช้ทรัพยากรของส่วนรวมกับการรักษาที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ 

แต่ถึงผมจะพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะให้เอาเงินมาเป็นแนวคิดหลักในการเตรียมตัวตายดีนะครับ แต่อยากให้เน้นไปที่ ‘ศักดิ์ศรี’ ของผู้ป่วย รวมถึงคุณภาพชีวิตของพวกเขาว่า มันมีทางเลือกต่อชีวิตที่ดีมากกว่านี้ 

| เพราะอะไรที่ทำให้ญาติผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุระยะสุดท้ายหลายคนยังคง ‘ยื้อ’ ไม่ให้พวกเขาจากไป 

หนึ่งในการทำงานของ Peaceful Death คือการขับเคลื่อนเรื่อง ‘มรณานุสติ’ ซึ่งหมายถึง การให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้นด้วยการระลึกถึงความตาย ให้รู้ว่า ชีวิตนี้เรามีเวลาจำกัด 

อะไรสำคัญสำหรับเรา ใครสำคัญสำหรับเรา-ในสิ่งสำคัญเหล่านี้หากเราทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดแล้วในชีวิต เราจะไม่เสียดายชีวิตที่เกิดมา

ซึ่งมักพบว่า ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เขา ‘ตายได้ไม่ดี’ เพราะว่ายังมีสิ่งที่ค้างคาใจ สัดส่วนที่เยอะที่สุดคือ ‘ความสัมพันธ์ที่ยังคั่งค้าง’ ความไม่ลงรอยหรือทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ แต่บุคคลเหล่านั้นกลับเป็นบุคคลสำคัญในชีวิต มันเลยเหมือนเป็นเสี้ยนหนามที่ทำให้เราไม่พร้อมตายเพราะยังไม่แล้วใจ แล้วส่วนใหญ่มักเป็น ความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย ซึ่งหากเราอยากจะตายดี เราต้องทำงานกับเรื่องนี้

| เมื่อสักครู่คุณพูดมาคำหนึ่งน่าสนใจมาก คำว่า ‘ตายดี’ มีนิยามและความหมายว่าอย่างไร

‘ตายดี’ ของแต่ละคนมีความแตกต่างกันออกไปครับ ขึ้นอยู่กับความต้องการของปัจเจกบุคคล แต่ผมคิดว่า ในภาพรวมอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่

การตายดีทางร่างกาย ที่หมายถึงการตายโดยไม่เจ็บปวดทรมานมากเกินไป ไม่ได้มาจากอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ทางการเมือง ซึ่งหากป่วยตายก็อาจมีโอกาสตายดีสูงกว่าตายในคุกอย่างไม่เป็นธรรม

ถัดมา การตายดีทางสังคม ซึ่งหมายถึงในช่วงเวลาของการตายนั้น จะต้องมีเครือข่ายทางสังคม ชุมชน หรือครอบครัวที่พร้อมจะดูแลด้วยความรักและความเห็นอกเห็นใจ ไม่ตายอย่างโดดเดี่ยว ซึ่งส่วนสำคัญคือการตายอยู่ในความสัมพันธ์ที่ดี บุคคลรอบข้างล้อมรอบด้วยความรักและการเคารพเจตจำนงของผู้วายชนม์

และสุดท้าย การตายดีทางใจ ซึ่งคล้ายกับในพุทธศาสนา ที่เป็นการตายอย่างมีสติรู้ตัว เป็นการปล่อยวางไปด้วยว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา หากยึดถือมากไปนั้นตัวเราก็จะเป็นทุกข์ ซึ่งหากเราปล่อยวางได้ก็อาจมีโอกาสบรรลุธรรมตอนตาย ซึ่งส่วนตัวผมเองก็สนใจความตายจากมุมนี้ เป็นการตายดีท่ามกลางความสงบใจ การยอมรับ การรู้ความจริงของชีวิตและสรรพสิ่ง

ดังที่กล่าวไปว่า 3 ส่วนนี้ แต่ละคนมีความสนใจและการให้ความสำคัญที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่คล้ายกันอาจเป็นคำถามที่ว่า “เราจะตายอย่างไรไม่ให้ถูกความเจ็บปวดทุกข์ทรมานครอบงำ” เพราะว่า เหล่านั้นลดทอนศักดิ์ศรี สร้างความเจ็บปวดให้กับครอบครัวที่มาเห็นการตายอย่างทรมานเช่นนี้ และมันจะเป็นบาดแผลที่ยังคงช้ำในของคนที่มีชีวิตอยู่ต่อไป

| หากปรารถนาที่จะ ‘ตายดี’ จะมีขั้นตอนในการเตรียมตัวได้อย่างไรบ้าง

อันดับแรกต้องมาดูว่าการตายดีที่เราปรารถนาคือรูปแบบใดจาก 3 อย่างที่กล่าวไปข้างต้น หากต้องการตายดีทางร่างกายก็ต้องมีความรู้เรื่องทางการแพทย์และระบบสุขภาพอยู่บ้าง หากต้องการตายดีทางสังคมก็ยิ่งต้องสร้างความเข้าใจกับบุคคลรอบข้าง 

หรือหากต้องการตายดีทางใจก็ต้องเตรียมเจริญสติ ใช้ลมหายใจเป็นอารมณ์อยู่กับความสงบ จุดสำคัญคือเมื่อถึงช่วงที่ลมหายใจของเราเบาบางและรวยริน เราอาจไม่รู้ว่าเรายังหายใจเข้า-ออกอยู่หรือเปล่า ดังนั้นจึงต้องฝึกวางใจกับล

| จุดเริ่มต้นในทำความรู้จักและเรียนรู้ ‘ความตาย’ ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เริ่มต้นได้อย่างไรบ้าง

วิธีที่ดีที่สุดคือการพาตัวเองเข้าไปอยู่ในบรรยากาศของการดูแลผู้ป่วยข้างเตียง การที่เราพาตัวเองไปอยู่ที่สภาพแวดล้อมนั้นจะทำให้เรารู้คุณค่าของลมหายใจ การมีชีวิต ซึ่งนั่นจะทำให้เข้าใจความตายมากขึ้นไปด้วย 

ตอนที่เราพาตัวเองเข้าไปสัมผัสบรรยากาศนั้น เราจะเริ่มได้รู้จักกับความตายจริงๆ ซึ่งจะทำให้เห็นได้ว่ามันไม่ใช่อย่างภาพจำที่เคยเห็นเลย ซึ่งงานศึกษาพบว่า สื่อทั้งละครและภาพยนตร์นั้นทำให้ความตายดูดราม่าเกินจริงเพราะต้องการทำให้มีรสชาติ แต่ที่จริงแล้วของจริงมันธรรมดาสามัญกว่านั้นมาก

หรือนอกเหนือไปจากเข้าไปใกล้ชิดกับผู้ป่วยใกล้ตัวแล้วนั้น อาจลองพาตัวเองเข้าไปเป็นอาสาสมัครในงานทำนองนี้ก็ได้เหมือนกันครับ เช่น เข้าไปเป็นอาสาสมัครดูแลผู้ช่วย หรือเข้าไปอบรมการดูแลก็ยังดี แต่ในปัจจุบันก็ยังมีปัญหาว่าพื้นที่การเรียนรู้แบบนั้นยังน้อยอยู่ และการเรียนการสอนพลานามัยหรือสุขศึกษา (Health Education) ก็แทบไม่ได้สอนเรื่องนี้ เรามักมาเรียนรู้ตอนที่มีคนในครอบครัวป่วยแล้ว ได้เรียนกับพยาบาลตอนที่กำลัง discharge แบบสั้นๆ เช่น การใส่สาย ดูดเสมหะ หรือเช็ดตัว ซึ่งเวลาในการเรียนตอนนั้นมันก็น้อยมาก

| เมื่อความตายเข้ามาใกล้ และมันมักมาพรากใครสักคนในชีวิตเราไปอย่างไม่ทันตั้งตัว พอจะมีวิธีแนะนำเกี่ยวกับการรับมือกับการสูญเสียเหล่านั้นไหม

การสูญเสียเป็นเรื่องปกติธรรมดา ให้รู้ว่า มันโอเคที่จะไม่โอเค ความโศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสียคือสิ่งที่เราจะต้องเจออย่างแน่นอน ซึ่งการเยียวยาคือการรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วยอมรับว่า มันเป็นส่วนหนึ่งในประสบการณ์ของเรา ซึ่งแต่ละคนอาจใช้เวลาในการรับมือไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่จะไม่ช่วยเลยคือการปฏิเสธความรู้สึกเหล่านี้

เราเสียใจได้ แต่ต้องคอยพยุงกันไว้ไม่ให้เสียศูนย์ เนื่องจากแต่ละคนมีทรัพยากรในการรับมือตรงนี้ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นการมีชุมชนที่คอยสนับสนุนที่ดี และคอยรองรับการตรงนี้ก็จะช่วย
เยียวยาส่วนนี้ได้

| สำหรับคุณแล้วมองว่า ‘ความตาย’ กับ ‘การมีชีวิตอยู่’ จริงๆ แล้วคือเรื่องเดียวกัน แค่เป็นเหรียญคนละด้านไหม

ชีวิตเราอยู่กับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเราจะไม่เติบโตขึ้นหากไม่เสียอะไรเก่าๆ บางอย่างไป เช่นดังเราจะเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ถ้าเราไม่ปล่อยให้ตัวเราตอน ม.6 ตายไป ซึ่งหากโลกนี้มีคนที่ตายไปก็เพื่อเป็นโอกาสให้ชีวิตใหม่ได้กำเนิดเกิดขึ้น

หากมองว่า เป็นเหรียญสองด้านมันแยกขาดไปหน่อย แต่มองว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมากกว่า เหมือนว่าชีวิตและความตายมันเป็นการถักทอและเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ดังนั้น หากเราเรียนรู้ประสบการณ์การตาย ประสบการณ์การใช้ชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วย

| ดังนั้น เราอาจให้ความสำคัญกับปัจจุบันเพราะเวลาของเราลดน้อยลงทุกวันใช่ไหม อยากทำอะไรก็ทำ อยากจัดการความสัมพันธ์ไหน
ก็อย่ารอช้า

ใช่ครับ เหมือนที่ผมย้ำไปตอนต้นว่า หากสิ่งใดสำคัญกับเราก็อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า ซึ่งสำหรับบางคนอาจเป็นการเล่นกับหมาแมว หรืออาจเป็นการดูซีรีส์ก็ได้หากมันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับเขา บางคนอาจจะมองว่า ไม่สำคัญแต่มันสำคัญสำหรับเรานี่นะเพราะว่าเราคิดและทบทวนมาแล้วว่าสิ่งนี้สำคัญ เราก็คัดแค่สิ่งที่มีความหมายกับชีวิตเราก็พอ

| ‘การุณยฆาต’ ก็เป็นอีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความตาย’ ที่หลายคนก็มักพยายามไม่พูดถึงเหมือนกัน แต่หากเราจะคุยกันเรื่องนี้ จะเริ่มต้นอย่างไรได้บ้าง

เวลาเราพูดเรื่องการุณยฆาตแปลว่า เรากำลังกังวลบางอย่าง ก็ต้องมาสำรวจดูว่าเรื่องที่กังวลนั้นคืออะไร หากเป็นในกรณีผู้ป่วยวิกฤตอาจเป็นเรื่องของภาระการดูแลไหม? เพราะเมื่อเวลาเราป่วยอาจไม่มีระบบรองรับการดูแลที่ดี กลัวว่าจะตายอย่างโดดเดี่ยว จากไปอย่างทรมาน

เพราะการการุณยฆาต ในแง่หนึ่งมันเป็นการที่เรามีสิทธิ์ควบคุมร่างกายและการตายของเราได้เองทั้งในแง่ของเวลาและสถานที่ ซึ่งในส่วนนี้ก็ยังคงมีคำถามอยู่ว่า หากกฎหมายเอื้อให้การการุณยฆาตเกิดขึ้นได้จริง ใครจะผลักดันเรื่องนี้ต่อ และในส่วนของงบประมาณ ใครเล่าจะเป็นคนรองรับสนับสนุน? อันนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันต่อไปครับ

แต่หากเป็นการการุณยฆาตที่ไม่ได้มาจากผู้ป่วย แต่เป็นจากบุคคลที่มีภาวะสิ้นยินดี หรือซึมเศร้า ก็เป็นกรณีที่เรายิ่งต้องคุยเช่นกัน ซึ่งสำหรับในประเทศที่มีระบบให้คำปรึกษาในการทำการุณยฆาตที่เข้าถึงง่าย เขาก็มีช่องทางสำหรับบุคคลที่ต้องการยุติชีวิตตั้งแต่ยังไม่ป่วยให้เข้าสู่ระบบนี้ด้วย เพื่อให้การดูแลสุขภาพ หรือความทุกข์ยากที่กำลังเผชิญอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนพอสมควรที่จะต้องมาประเมินกันต่อว่า จะต้องถึงขั้นการุณยฆาตแล้วหรือยัง หรือว่าบำบัดในทางอื่นๆ ได้อยู่ ในขั้นตอนเหล่านั้นก็จะมีให้ได้ทบทวนชีวิตเช่นกันครับ

สำหรับในประเทศที่อนุญาต อาจมีสมมติฐานว่า หากเราไม่ทำการุณยฆาตคนในสังคมก็อาจฆ่าตัวตายอยู่ดี เราก็มาดูกันดีกว่าว่า จะทำอย่างไรให้มันไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งหากทำแล้วช่วยยับยั้งไม่ให้คนตัดสินใจฆ่าตัวตาย และเข้าสู่การฟื้นฟูสุขภาพก็จะเป็นผลดีเช่นกันครับ

| ในแง่ของปัญหาสุขภาพจิตกับความตาย คุณมองว่า 2 อย่างนี้มีความเกี่ยวโยงกันอย่างไรบ้าง

มีความเชื่อมโยงกันหลายแง่มุมเลยครับ ในลำดับแรกคือหลากหลายปัญหาสุขภาพจิตอาจจะมาจากการสูญเสียสิ่งสำคัญๆ ในชีวิตที่เราอาจยังไม่ได้ตระหนักมากพอ ในหลายครั้งจึงกลายเป็นแผลกดทับอยู่ในใจ

ในเรื่องของการดูแลการตายก็เช่นเดียวกัน เพราะช่วงเวลาเหล่านั้นมันเข้มข้นและเป็นปัจจัยที่เสี่ยงต่อภาวะสุขภาพจิตอยู่แล้ว ซึ่งมันยังเกี่ยวโยงไปถึง ‘ความกลัว’ ด้วย ซึ่งเมื่อเรากลัวและรู้สึกไม่มั่นคงพอ รับมือไม่ถูก ก็อาจส่งผลกระทบได้เหมือนกัน

| คนจำนวนไม่น้อยที่อาจอยู่ในภาวะที่มีปัญหาสุขภาพจิตแล้วมองว่า ความตายคือทางออก ซึ่งก็อาจส่งผลให้คนทั่วไปรู้สึกว่า
ความตายน่ากลัวด้วย คุณมองว่าอย่างไร

จะบอกว่ามันน่ากลัวมันก็น่ากลัว ซึ่งความน่ากลัวคือเมื่อเราเห็นปัญหาขนาดนี้แล้วเรายังไม่ลงมือแก้ไขอย่างจริงจังเลย สำหรับผมความตายจึงไม่ได้น่ากลัวด้วยตัวของมันเอง แต่เป็นเพราะความเฉยชากับปริมาณความทุกข์มหาศาลทั้งที่เห็นๆ กันอยู่นี่แหละ น่ากลัวของจริง ซึ่งหากเราอยากจะผลักดันประเด็นที่ว่า ‘สุภาพจิตเป็นเรื่องของชุมชน’ ดังนั้นการสร้างชุมชนที่แข็งแรงได้นั้น
ก็จะยิ่งสอดรับกับความจำเป็นที่จะทำให้วาระนี้เป็นเรื่องของทุกคนได้อย่างแท้จริง

| สิ่งที่อยากทิ้งท้ายก่อนจะจากกัน

ความจริง เราไม่ค่อยมีพื้นที่ให้คุยเรื่องความตายกับการใช้ชีวิตอย่างมีสติเท่าไร ทั้งที่จริงๆ เหล่านี้เป็นเครื่องมือชั้นดีในการทบทวนชีวิต ทบทวนความหมายของเราเองที่เกิดมา 

เราตอบคำถามได้ว่า เราอยู่ไปเพื่ออะไรด้วยการคิดเรื่องความตายเพราะเรามีเวลาชีวิตเหลืออยู่อย่างจำกัด

ในตอนนี้อาจลองคุยกับตัวเองว่า กับเวลาที่เหลือนี้เราอยากใช้ไปกับอะไร ผู้ใดหรือสิ่งไหนที่สำคัญกับชีวิตเรา เพราะการคุยเรื่องความตายย่อมส่งผลให้เราใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างมีสติและรุ่มรวยขึ้น

เมื่อลูกเปลี่ยนเรา และการเป็นพ่อแม่เต็มไปด้วยบทเรียนพิเศษ คุยกับแม่หน่อยและพ่อบอล จาก ‘เพจมีลูกเป็นครู’ จากบทเรียนที่ทำให้เข้าใจว่าไม่มีอะไรสำคัญเท่าปัจจุบัน

พูดคุยถึงเรื่องราวการเดินทางของครอบครัวที่กลายมาเป็นเรื่องเล่าแห่งความรัก ศรัทธา ปาฏิหาริย์ ในเพจ ‘มีลูกเป็นครู’ ซึ่งมี แม่หน่อย-กนกวรรณ หรุ่นบรรจบ คุณแม่ของน้องตโจ เด็กชายอารมณ์ดีวัย 9 ขวบ เป็นผู้ก่อตั้ง และมี พ่อบอล-รณรงค์ ประดิษฐ์ทัศนีย์ เป็นกองหนุนที่คอยเสริมกำลังใจอยู่ไม่ห่าง

รวม ‘5 ภาพยนตร์’ น่าดูช่วงหยุดยาวว เพื่อฮีลใจตัวเองก่อนก้าวสู่ปีใหม่

ขอแนะนำทางเลือกหนึ่ง เพื่อเป็นอีกแรงเสริมให้ทุกคนรักและรู้สึกดีกับตัวเอง (self-love) ด้วยข้อคิดจากภาพยนตร์ที่เราหยิบยกมาให้ดูกันในวันนี้

เราสมควรได้รับความรักจากตัวเองมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องรอคอยหรืออ้อนวอนขอความรักจากใคร

People Pleaser คือ คนที่ทำเพื่อคนอื่นจนละเลยความรู้สึกของตัวเอง ยอมสละความสุขหรือความสบายส่วนตน เพื่อทำให้ผู้อื่นพึงพอใจ