
ทำความเข้าใจตัวตนและเรียนรู้ปัจจุบันขณะกับมนุษยปรัชญา คุยกับ ‘แม่ตา’ Mamata ว่าด้วยเรื่องราวและชีวิตของมนุษย์ในแต่ละวันวัย
ชวนคุยกับ แม่ตา-วรณัน โทณะวณิก ผู้บริหาร MaMaTa_Nurturing Nature in Your Child และผู้ร่วมก่อตั้ง The HUMAN Academy
เพราะท่ามกลางผู้คนที่เก่งรอบด้าน และทำงานหลายอย่างพร้อมกัน อาจทำให้เราเผลอกดดัน จนลืมโฟกัส ‘ความรู้สึก’ ของตัวเอง
ในโลก Multitasking World ที่ทุกคนพยายามเร่งตัวเองให้เก่งขึ้น ถูกกดดันให้เก่งทั้ง ‘รอบ’ และ ‘หลาย’ ด้าน
ไม่ว่าความรู้สึกนี้จะมาจากการกดดันตัวเองเมื่อมองไปยังคนรอบตัว จนเผลอเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง หรือจะเป็นการถูกบีบบังคับให้ทำงานหลายอย่างพร้อมกันด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้สารพัดอย่าง
แม้ท้ายที่สุดการที่คนคนหนึ่งจะมีความสามารถหลายอย่าง และทำได้ทุกอย่าง จะฟังดูเป็น ‘ข้อดี’ มากกว่าข้อเสีย เพราะใครๆ ก็อยากเก่งกันทั้งนั้น
แต่ก็ใช่ว่าเราทุกคนจะมีความสุขดีกับการเป็นคนที่เก่งในหลายๆ ด้าน เพราะบางคนก็อาจรู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่เป็นอยู่ไม่น้อย
และที่จริงแล้ว การโฟกัสความเก่งเพียงแค่ 1 อย่างหรือกระทั่งยังไม่รู้ว่าตัวเองเก่งอะไร
นั่นก็นับว่าไม่ใช่เรื่องผิด และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากเรามีความสุขกับตัวเองดี
ทีนี้ เราจะอยู่ใน Multitasking World ที่มองไปทางไหนก็มีแต่คนเก่งรอบด้านนี้อย่างไร? ให้ไม่รู้สึกเป๋ ไม่วนกลับมาโบยตีตัวเอง ไม่ลดทอนคุณค่าในตัวเอง และกลับมามีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงขึ้นได้บ้าง?
หัวใจหลักอาจอยู่ที่ ‘การกลับมาอยู่กับตัวเอง’ ด้วยการทำความเข้าใจ ‘ความต้องการ’ ของตัวเอง
และรู้เท่าทัน ‘ความรู้สึก’ ของตัวเองให้เป็นลำดับความสำคัญแรกให้ได้ก่อน
เพราะบางครั้งหากเรามัวแต่ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน จนลืมที่จะโฟกัสสิ่งเหล่านี้ งานทั้งหมดที่ทำ ก็อาจจะไม่ได้เป็นตามที่คาดหวังเมื่อเทียบกับงานที่ไม่ต้องทำภายใต้ความท็อกซิกที่ผลต่อใจเราก็ได้ หรือถึงมันอาจสำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ในระยะยาวคุณกลับรู้สึกเหนื่อยล้า และส่งผลต่อสุขภาพจิตเข้า
นั่นก็อาจต้องกลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่า… มันเฮลตี้กับใจเราจริงๆ ไหม?
บทความหนึ่งที่ Irma Becerra อธิการบดีของ Marymount University เขียนลงนิตยสารชื่อดังอย่าง Forbes ถึงปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดกับคนวัยทำงานได้ดี
เธอให้ความเห็นด้วยมุมมองของเธอว่า
“Multitasking สามารถเป็นตัวเน้นย้ำถึงแรงกดดันที่แต่ละคนกำลังเผชิญอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ”
กล่าวคือ ‘แรงกดดัน’ หากมองในบริบทปัจจุบันก็มีอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะแรงกดดันจากครอบครัวที่คาดหวังให้ลูกประสบความสำเร็จมากๆ มีเงินเดือนที่สูง มีหน้าที่การที่ดี จนทำให้หลายคนรู้สึกว่าต้องทำอะไรที่มากกว่าสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำจริงๆ หรือแม้แต่เรื่องของค่าแรงที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ทำให้หลายคนต้องดิ้นรนหา ‘งานเสริม’ เพื่อที่จะทำให้รายได้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต
แม้ว่างานเสริมนั้นจะแลกมาด้วยกับปัญหาสุขภาพจิตที่ต้องเผชิญ ไปจนถึงแรงกดดันจากที่ทำงาน ที่บางบริษัทก็คาดหวังให้พนักงานทำงานได้ ‘หลายอย่าง’ เพื่อองค์กร โดยบางที่ก็ไม่ได้ถามถึงความต้องการจริงๆ ของพนักงานเลยแม้แต่น้อย ทำให้เกิดความรู้สึกท็อกซิกขึ้นมาได้ และสุดท้าย การกดดันตัวเองในสังคมทุนนิยม ที่เรามองไปทางไหนก็เจอแต่คนประสบความสำเร็จ จนทำให้บางคนอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น จนต้องเร่งเปลี่ยนตัวเองให้เป็นมนุษย์ที่เก่งหลายอย่างบ้าง แม้จะไม่ได้มีความสุขก็ตาม
สิ่งที่เกิดขึ้นกลับแย่ลงไปอีกสำหรับบางคน หากเราไม่สามารถ ‘โฟกัส’ อะไรได้สักอย่าง เพราะสิ่งที่เราเก่งจริงๆ เราก็ต้องหันเหความสนใจนั้นของเราไปที่งานอื่นด้วย ทำให้งานทั้งหมดที่ออกมา อาจจะครึ่งๆ กลางๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า ทำให้เราไม่สามารถปล่อยของได้สุด
การศึกษาหนึ่งที่อ้างอิงอยู่ในบทความของ สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association) พบว่า ‘Multitasking’ เป็นสาเหตุของภาวะสมองตัน (Mental block) คิดอะไรใหม่ๆ ไม่ค่อยจะออก ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลงถึง 40% และหากเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพตรงนี้ก็จะลดลงไปด้วย ตามที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ชิคาโก ระบุเอาไว้
นอกจากความสามารถในการคิดไอเดียต่างๆ จะถูกช็อตฟีลไปแล้วจากการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน อีกการศึกษาหนึ่งที่เผยแพร่ใน PLOS ONE วารสารวิทยาศาสตร์ที่ครอบคลุมงานวิจัยหลากหลายสาขาทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ก็ได้ระบุว่า “คนที่ทำงานหลายอย่างพร้อมกันนานๆ มีโอกาสที่จะมีความหุนหันพลันแล่นมากกว่าคนอื่น และมีความเสี่ยงในการจัดการอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งการควบคุมงาน ควบคุมอารมณ์ที่อาจถูกรบกวนได้ง่าย เพราะลองคิดภาพตาม ถ้าเราต้องพยายามทำหลายงานพร้อมกัน เพื่อให้เสร็จในเวลาที่กำหนดอย่างรวดเร็ว เราก็อาจขาดการคิดรอบด้าน หรือขาดความละเอียดในเนื้องาน เมื่อเป้าหมายของเรามีแต่การคิดว่าต้องเสร็จให้เร็ว และให้ทัน ซึ่งนั่นส่งผลต่อความเหนื่อยล้า และนำไปสู่บางอารมณ์ที่เราปฏิบัติต่อคนอื่นไม่ค่อยจะดีได้ด้วย”
เชื่อมโยงกับอีกการศึกษาที่ตีพิมพ์โดย Stanford University ที่พบว่า Multitasking สามารถส่งผลต่อสุขภาพจิตของเรา และเพิ่มความเครียดในชีวิตประจำวันได้ ไปจนถึงส่งผลต่อ Productivity ของเรา แรงขับเคลื่อนของเรา และอารมณ์ของเรา
“เมื่อคุณพยายามที่จะทำงานหลายอย่างพร้อมกัน มันอาจทำให้คุณเสียสมาธิได้ การที่เราจะทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างดี จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ คุณสามารถโฟกัสสิ่งหนึ่งได้อย่างเต็มที่จริงๆ” Dr.Becky Spelman นักจิตวิทยา กล่าว ซึ่งนั่นหมายถึง หากเราหลุดโฟกัส หรือไม่มีเวลาที่จะโฟกัสอะไรเลย ก็กลายเป็นว่าทำให้เราเสียเวลาและปวดหัวมากกว่าเดิมก็ได้
ดังนั้นแล้วการกลับมาสนใจและจัดลำดับความสำคัญของตัวเองจึงสำคัญมากๆ ใน Multitasking World แบบนี้
“เราอาจจะต้องถามตัวเองว่า
สิ่งที่เราทำอยู่ เรามีความสุขจริงหรือไม่?
สิ่งที่เราทำอยู่ นำไปสู่อะไร? และผลตอบแทนที่ได้รับคุ้มค่าหรือไม่?”
ซึ่งความคุ้มนี้ ไม่ใช่แค่เฉพาะเม็ดเงิน แต่เป็นความคุ้มค่ากับสุขภาพกายและสุขภาพจิตหรือเปล่า
ไปจนถึง เหตุผลจริงๆ ที่เราอยากเก่งหลายด้านมาจากอะไร?
มาจากที่เราอยากเก่งเอง เพื่อพัฒนาตัวเอง หรือมาจากความรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่เก่งเหมือนคนอื่น? ซึ่งหากเป็นข้อหลัง เราขอโอบกอดทุกคน และอยากบอกว่า การคิดถึงตัวเองก่อนคิดถึงคนอื่นย่อมดีกว่าเสมอ และแม้เราจะไม่วิ่งตามความสำเร็จเหมือนคนอื่น นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเราไม่มีความหมาย หรือแปลว่าเราไม่มีคุณค่า
และหากบางคนยังคิดว่า นี่ฉันกำลังเครียดมากอยู่คนเดียวหรือเปล่า? คนอื่นเขาอาจไม่เครียดก็ได้ เราก็ต้องทำได้บ้างสิ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ทุกคนไม่ได้อยู่คนเดียวนะ เพราะมีคนทำงานอีกหลายคนที่เผชิญความเครียดอยู่
สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ได้ทำการสำรวจคนทำงานพบว่า มีผู้ใหญ่ถึง 64% ที่เผชิญกับความเครียดในการทำงาน หรือกระทั่งศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) ก็พบว่ามีลูกจ้างถึง 75% ที่เชื่อว่าคนทำงานในยุคใหม่มีความเครียดจากงานมากกว่ายุคก่อน และ 40% ของคนทำงานก็พบว่างานที่ตัวเองทำอยู่นั้น “โคตรเครียด”
ฉะนั้นแล้วความเครียดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนจริงๆ
โดย องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ได้ระบุว่า ความเครียดจากการทำงานมักเป็นผลมาจากความ ‘กดดัน’ ที่มากเกินไปจากงานที่เราทำอยู่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็มาจากความต้องการของนายจ้างที่อาจไม่สอดคล้องกับความสามารถของพนักงาน (เหมือนที่บางคนถูกนายจ้างบังคับให้ต้องทำงานหลายอย่าง แม้จะไม่อยากทำ) และยังมีเรื่องของการได้รับการซัพพอร์ตที่น้อยนิดจากหัวหน้างาน หรือเพื่อนร่วมงาน จนถึงการไม่สามารถควบคุม workload ได้
ท้ายที่สุด หากยังอยากยืนหยัดที่จะเป็นคนเก่งหลายด้าน และทำได้หลายด้าน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมันก็ถือเป็นการพัฒนาตัวเองในด้านหนึ่ง แต่อย่างที่บอกไป ถ้าเราทำมันด้วยความเครียด และความทุกข์ ผลงานที่ออกมา ก็ไม่มีทางที่จะเป็นดั่งใจหวัง 100%
ฉะนั้นแล้ว การปล่อยให้ตัวเองได้ ‘พัก’ บ้าง จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ซึ่งวันนี้เราจะมายกตัวอย่างฮาวทูฮีลใจนิดๆ หน่อยๆ ที่ทำได้ง่ายๆ เพื่อให้เรามีแรงยิ้มรับวันต่อไปกัน
1 | เขียนสิ่งที่ทำให้เราเครียดตอนนี้ออกมากันเถอะ
บางครั้งเมื่อเราทำงานหัวหมุนอยู่ทั้งวัน เราอาจจะพยายามที่จะ ‘ไม่เครียด’ แม้จริงๆ เราจะเครียดมาก ซึ่งการที่เราเลือกปล่อยเบลอความเครียดไป โดยไม่ยอมจัดการปัญหาที่เกิดจากความเครียด นั่นก็อาจส่งผลให้ความเครียดนั้นเรื้อรัง ฉะนั้นแล้ว ระหว่างวันของทุกๆ วัน หากรู้สึกเครียดขึ้นมา ลองจดมันลงไป ไม่ว่าจะพิมพ์ในโทรศัพท์ หรือเขียนใส่สมุด จากนั้นก็ค่อยๆ คิดไตร่ตรองทีละข้อ ว่าจะรับมือกับความเครียดนี้อย่างไรดี
2 | สมาธิสำคัญ สติมา ปัญญาเกิด
โอเค เรามาฝึกผ่อนคลายตัวเองด้วยการทำสมาธิกันเถอะ! จริงๆ ในวันที่เราเครียดมากๆ หากลองหายใจเข้าลึกๆ ก็สามารถช่วยทำให้ใจเย็นลงได้แล้ว ยิ่งเราทำเป็นประจำก็จะยิ่งทำให้เรามีสติในการรับมือกับปัญหาในแต่ละวันมากขึ้นได้ด้วย
3 | อย่าลืมยืนยันคุณค่าในตัวเอง
หลายครั้งมนุษย์เราก็มักจะเผลอเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น จนเผลอลืมว่าจริงๆ แล้ว เราก็ต่างมีความพิเศษในแบบของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่จะทำให้เรา ‘ไม่ลืม’ ความพิเศษในตัวเองนี้ไปได้ นั่นก็คือการ ‘ยืนยัน’ คุณค่านี้ให้เราเห็นอย่างเป็นรูปธรรม โดย Whitley Lassen ผู้อำนวยการที่คลินิกบริการด้านสุขภาพจิต K Health ในนิวยอร์ก แนะนำว่า การมี ‘toolbox’ ที่รวบรวมคำพูดยืนยันคุณค่าในตัวเอง หรือ self-affirmation จนถึงคำพูดปลอบประโลมใจ หรือรูปภาพที่มองแล้วมีความสุข และบันทึกที่ช่วยลดความคิดลบๆ จะช่วยให้ช่วงเวลาที่เรารู้สึกไม่มีคุณค่า แล้วมาเปิดดู ก็จะรับรู้ว่าเรามีคุณค่า และข้อดีมากมาย มากกว่าที่เราคิด
4 | หาเวลาให้ตัวเองได้พักบ้าง
บางคนอาจจะแบ่งเวลาให้ตัวเองได้พักจากการทำงานอย่างชัดเจนด้วยการลาหยุด ออกไปใช้เวลากับเพื่อนฝูงและครอบครัว หรือทำงานอดิเรกที่เรารัก หรือกรณีที่งานมันเยอะจนแทบจะไม่มีวันพักเลย การแบ่งเวลาพักเบรกในแต่ละช่วงของการทำงาน เช่น ออกไปเดินเล่น ดื่มกาแฟ คุยกับเพื่อน ดูยูทูบ ฯลฯ ก็อาจช่วยลดความตึงเครียดจากการจดจ่ออยู่กับงานได้นะ
5 | วันหยุดคือวันหยุด เลิกงานคือเลิกงาน ไม่ต้องคิดเรื่องงานบ้าง!
เมื่อเราได้มีวันหยุดกับเขาบ้าง เราก็ควรจะให้เวลากับตัวเองอย่างเต็มที่ ลองชาร์จพลังงานตัวเองด้วยการปิดแจ้งเตือนทั้งหมด เพื่อให้เราไม่รู้สึกพะวงหรือคิดถึงเรื่องงานในช่วงเวลาพักผ่อน เช่นเดียวกับเวลาหลังเลิกงาน ที่เราไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องงาน ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้บ้างก็ไม่เป็นอะไรนะ
6 | สร้าง Support System ในที่ทำงาน
เพื่อไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยวมากไป การได้แชร์ประสบการณ์การทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่เราไว้ใจ ซึ่งประสบปัญหาคล้ายๆ กับเราอยู่ จะสามารถทำให้คุณมองหาแนวทางแก้ร่วมกันได้ และทำให้คุณรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในที่แห่งนี้
7 | แก้ไขปัญหาร่วมกับเจ้านาย
ข้อนี้เป็นข้อที่จะทำให้เราอาจตอบคำถามมากมายในใจได้ว่าเราควรจะทำอย่างไรต่อดีกับการทำงานที่แห่งนี้ เพราะหากเรารู้สึกว่ากำลังมีปัญหาในการทำงานอยู่ เช่น งานที่ได้รับมอบหมายมีจำนวนมากเกินไป หรือบางเนื้องานก็ไม่ได้ตรงตามความต้องการ การได้พูดคุยกับนายจ้างหรือหัวหน้างานตรงๆ อาจนำไปสู่แนวทางแก้ไขปัญหา และลดความเครียดได้ ซึ่งสุดท้าย ถ้าเจ้านายไม่ได้มีมาตรการอะไรมารองรับสภาพจิตใจเราขนาดนั้น ก็อาจถึงเวลาที่เราต้องคิดทบทวนว่า ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ควรไปต่อหรือพอแค่นี้
8 | ทำให้การพบนักบำบัดเป็นเรื่องปกติธรรมดา
หากรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการปัญหานี้ได้ด้วยตัวเองจริงๆ การเข้ารับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ หรือนักบำบัด ก็เป็นหนทางที่จะช่วยให้เรามองหาหนทางในการรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตที่เป็นอยู่ได้ ซึ่งเราอาจได้รับมุมมองหรือแง่คิดในการใช้ชีวิต ที่ทำให้เราเดินต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งมากขึ้นก็ได้นะ
เราเชื่อว่าคงมีอีกสารพัดวิธีที่แต่ละคนมีวิธีการจัดการที่ต่างกัน แต่สิ่งที่เราอยากให้จำไว้ขึ้นใจเลย นั่นคือ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสุขภาพของเรา และไม่ว่าเราจะเก่งเพียง 1 อย่าง หรือเก่งหลายอย่าง เราก็มีคุณค่าในตัวเองกันทั้งนั้น ความเก่ง ไม่ได้วัดคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเราอยู่ดี
The Present Move อยากให้ทุกคนยิ้มให้กับตัวเองเยอะๆ นะคะ
Writer | พัชญ์สิตา ไพบูลย์ศิริ
Illustrator | Arunnoon
อ้างอิง |
The Myth Of Multitasking In A Hybrid World
How Multitasking Affects Productivity and Brain Health
If you’re multitasking, know how it can affect your mental health
Multitasking isn’t just bad for productivity – it impacts mental health, too
ชวนคุยกับ แม่ตา-วรณัน โทณะวณิก ผู้บริหาร MaMaTa_Nurturing Nature in Your Child และผู้ร่วมก่อตั้ง The HUMAN Academy
ในขวบปีที่ 6 นั้น Hear & Found เป็นที่รู้จักของหลายคนในหลากหลายนิยาม นักเก็บเสียงจากชนเผ่าและคนกลุ่มน้อย เจ้าของแพลตฟอร์มที่รวบรวมเสียงเหล่านั้นมาเผยแพร่ ผู้จัดงานคอนเสิร์ตดนตรีชาติพันธุ์ ฯลฯ เมกับรักษ์บอกเราว่าที่ร่ายมานี้ถูกต้องทั้งหมด
เขาว่ากันว่าช่วงตอนเช้าเป็นเวลาที่หัวสมองแล่นที่สุด คุณเห็นด้วยกับคำกล่าวข้างต้นนี้หรือไม่?