The Present Move

เราจะอยู่ใน ‘Multitasking World’ ได้อย่างไร?

The Present Move | Mindful Global Citizens

เพราะท่ามกลางผู้คนที่เก่งรอบด้าน และทำงานหลายอย่างพร้อมกัน อาจทำให้เราเผลอกดดัน จนลืมโฟกัส ‘ความรู้สึก’ ของตัวเอง

ในโลก Multitasking World ที่ทุกคนพยายามเร่งตัวเองให้เก่งขึ้น ถูกกดดันให้เก่งทั้ง ‘รอบ’ และ ‘หลาย’ ด้าน

ไม่ว่าความรู้สึกนี้จะมาจากการกดดันตัวเองเมื่อมองไปยังคนรอบตัว จนเผลอเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง หรือจะเป็นการถูกบีบบังคับให้ทำงานหลายอย่างพร้อมกันด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้สารพัดอย่าง 

แม้ท้ายที่สุดการที่คนคนหนึ่งจะมีความสามารถหลายอย่าง และทำได้ทุกอย่าง จะฟังดูเป็น ‘ข้อดี’ มากกว่าข้อเสีย เพราะใครๆ ก็อยากเก่งกันทั้งนั้น

แต่ก็ใช่ว่าเราทุกคนจะมีความสุขดีกับการเป็นคนที่เก่งในหลายๆ ด้าน เพราะบางคนก็อาจรู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่เป็นอยู่ไม่น้อย

และที่จริงแล้ว การโฟกัสความเก่งเพียงแค่ 1 อย่างหรือกระทั่งยังไม่รู้ว่าตัวเองเก่งอะไร

นั่นก็นับว่าไม่ใช่เรื่องผิด และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากเรามีความสุขกับตัวเองดี 

ทีนี้ เราจะอยู่ใน Multitasking World ที่มองไปทางไหนก็มีแต่คนเก่งรอบด้านนี้อย่างไร? ให้ไม่รู้สึกเป๋ ไม่วนกลับมาโบยตีตัวเอง ไม่ลดทอนคุณค่าในตัวเอง และกลับมามีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงขึ้นได้บ้าง? 

หัวใจหลักอาจอยู่ที่ ‘การกลับมาอยู่กับตัวเอง’ ด้วยการทำความเข้าใจ ‘ความต้องการ’ ของตัวเอง

และรู้เท่าทัน ‘ความรู้สึก’ ของตัวเองให้เป็นลำดับความสำคัญแรกให้ได้ก่อน 

เพราะบางครั้งหากเรามัวแต่ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน จนลืมที่จะโฟกัสสิ่งเหล่านี้ งานทั้งหมดที่ทำ ก็อาจจะไม่ได้เป็นตามที่คาดหวังเมื่อเทียบกับงานที่ไม่ต้องทำภายใต้ความท็อกซิกที่ผลต่อใจเราก็ได้ หรือถึงมันอาจสำเร็จลุล่วงด้วยดี แต่ในระยะยาวคุณกลับรู้สึกเหนื่อยล้า และส่งผลต่อสุขภาพจิตเข้า 

นั่นก็อาจต้องกลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่า… มันเฮลตี้กับใจเราจริงๆ ไหม?

บทความหนึ่งที่ Irma Becerra อธิการบดีของ Marymount University เขียนลงนิตยสารชื่อดังอย่าง Forbes ถึงปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดกับคนวัยทำงานได้ดี

เธอให้ความเห็นด้วยมุมมองของเธอว่า 

“Multitasking สามารถเป็นตัวเน้นย้ำถึงแรงกดดันที่แต่ละคนกำลังเผชิญอยู่ในสถานการณ์ต่างๆ” 

กล่าวคือ ‘แรงกดดัน’ หากมองในบริบทปัจจุบันก็มีอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะแรงกดดันจากครอบครัวที่คาดหวังให้ลูกประสบความสำเร็จมากๆ มีเงินเดือนที่สูง มีหน้าที่การที่ดี จนทำให้หลายคนรู้สึกว่าต้องทำอะไรที่มากกว่าสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำจริงๆ หรือแม้แต่เรื่องของค่าแรงที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ทำให้หลายคนต้องดิ้นรนหา ‘งานเสริม’ เพื่อที่จะทำให้รายได้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต 

แม้ว่างานเสริมนั้นจะแลกมาด้วยกับปัญหาสุขภาพจิตที่ต้องเผชิญ ไปจนถึงแรงกดดันจากที่ทำงาน ที่บางบริษัทก็คาดหวังให้พนักงานทำงานได้ ‘หลายอย่าง’ เพื่อองค์กร โดยบางที่ก็ไม่ได้ถามถึงความต้องการจริงๆ ของพนักงานเลยแม้แต่น้อย ทำให้เกิดความรู้สึกท็อกซิกขึ้นมาได้ และสุดท้าย การกดดันตัวเองในสังคมทุนนิยม ที่เรามองไปทางไหนก็เจอแต่คนประสบความสำเร็จ จนทำให้บางคนอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น จนต้องเร่งเปลี่ยนตัวเองให้เป็นมนุษย์ที่เก่งหลายอย่างบ้าง แม้จะไม่ได้มีความสุขก็ตาม

สิ่งที่เกิดขึ้นกลับแย่ลงไปอีกสำหรับบางคน หากเราไม่สามารถ ‘โฟกัส’ อะไรได้สักอย่าง เพราะสิ่งที่เราเก่งจริงๆ เราก็ต้องหันเหความสนใจนั้นของเราไปที่งานอื่นด้วย ทำให้งานทั้งหมดที่ออกมา อาจจะครึ่งๆ กลางๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า ทำให้เราไม่สามารถปล่อยของได้สุด

การศึกษาหนึ่งที่อ้างอิงอยู่ในบทความของ สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association) พบว่า ‘Multitasking’ เป็นสาเหตุของภาวะสมองตัน (Mental block) คิดอะไรใหม่ๆ ไม่ค่อยจะออก ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลงถึง 40% และหากเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพตรงนี้ก็จะลดลงไปด้วย ตามที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ชิคาโก ระบุเอาไว้

นอกจากความสามารถในการคิดไอเดียต่างๆ จะถูกช็อตฟีลไปแล้วจากการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน อีกการศึกษาหนึ่งที่เผยแพร่ใน PLOS ONE วารสารวิทยาศาสตร์ที่ครอบคลุมงานวิจัยหลากหลายสาขาทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ก็ได้ระบุว่า “คนที่ทำงานหลายอย่างพร้อมกันนานๆ มีโอกาสที่จะมีความหุนหันพลันแล่นมากกว่าคนอื่น และมีความเสี่ยงในการจัดการอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งการควบคุมงาน ควบคุมอารมณ์ที่อาจถูกรบกวนได้ง่าย เพราะลองคิดภาพตาม ถ้าเราต้องพยายามทำหลายงานพร้อมกัน เพื่อให้เสร็จในเวลาที่กำหนดอย่างรวดเร็ว เราก็อาจขาดการคิดรอบด้าน หรือขาดความละเอียดในเนื้องาน เมื่อเป้าหมายของเรามีแต่การคิดว่าต้องเสร็จให้เร็ว และให้ทัน ซึ่งนั่นส่งผลต่อความเหนื่อยล้า และนำไปสู่บางอารมณ์ที่เราปฏิบัติต่อคนอื่นไม่ค่อยจะดีได้ด้วย”

เชื่อมโยงกับอีกการศึกษาที่ตีพิมพ์โดย Stanford University ที่พบว่า Multitasking สามารถส่งผลต่อสุขภาพจิตของเรา และเพิ่มความเครียดในชีวิตประจำวันได้ ไปจนถึงส่งผลต่อ Productivity ของเรา แรงขับเคลื่อนของเรา และอารมณ์ของเรา  

“เมื่อคุณพยายามที่จะทำงานหลายอย่างพร้อมกัน มันอาจทำให้คุณเสียสมาธิได้ การที่เราจะทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างดี จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ คุณสามารถโฟกัสสิ่งหนึ่งได้อย่างเต็มที่จริงๆ” Dr.Becky Spelman นักจิตวิทยา กล่าว ซึ่งนั่นหมายถึง หากเราหลุดโฟกัส หรือไม่มีเวลาที่จะโฟกัสอะไรเลย ก็กลายเป็นว่าทำให้เราเสียเวลาและปวดหัวมากกว่าเดิมก็ได้

ดังนั้นแล้วการกลับมาสนใจและจัดลำดับความสำคัญของตัวเองจึงสำคัญมากๆ ใน Multitasking World แบบนี้ 

“เราอาจจะต้องถามตัวเองว่า
สิ่งที่เราทำอยู่ เรามีความสุขจริงหรือไม่? 
สิ่งที่เราทำอยู่ นำไปสู่อะไร? และผลตอบแทนที่ได้รับคุ้มค่าหรือไม่?”

ซึ่งความคุ้มนี้ ไม่ใช่แค่เฉพาะเม็ดเงิน แต่เป็นความคุ้มค่ากับสุขภาพกายและสุขภาพจิตหรือเปล่า
ไปจนถึง เหตุผลจริงๆ ที่เราอยากเก่งหลายด้านมาจากอะไร?

มาจากที่เราอยากเก่งเอง เพื่อพัฒนาตัวเอง หรือมาจากความรู้สึกผิดที่ตัวเองไม่เก่งเหมือนคนอื่น? ซึ่งหากเป็นข้อหลัง เราขอโอบกอดทุกคน และอยากบอกว่า การคิดถึงตัวเองก่อนคิดถึงคนอื่นย่อมดีกว่าเสมอ และแม้เราจะไม่วิ่งตามความสำเร็จเหมือนคนอื่น นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเราไม่มีความหมาย หรือแปลว่าเราไม่มีคุณค่า

และหากบางคนยังคิดว่า นี่ฉันกำลังเครียดมากอยู่คนเดียวหรือเปล่า? คนอื่นเขาอาจไม่เครียดก็ได้ เราก็ต้องทำได้บ้างสิ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ทุกคนไม่ได้อยู่คนเดียวนะ เพราะมีคนทำงานอีกหลายคนที่เผชิญความเครียดอยู่

สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ได้ทำการสำรวจคนทำงานพบว่า มีผู้ใหญ่ถึง 64% ที่เผชิญกับความเครียดในการทำงาน หรือกระทั่งศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐฯ (CDC) ก็พบว่ามีลูกจ้างถึง 75% ที่เชื่อว่าคนทำงานในยุคใหม่มีความเครียดจากงานมากกว่ายุคก่อน และ 40% ของคนทำงานก็พบว่างานที่ตัวเองทำอยู่นั้น “โคตรเครียด” 

ฉะนั้นแล้วความเครียดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนจริงๆ

โดย องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ได้ระบุว่า ความเครียดจากการทำงานมักเป็นผลมาจากความ ‘กดดัน’ ที่มากเกินไปจากงานที่เราทำอยู่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็มาจากความต้องการของนายจ้างที่อาจไม่สอดคล้องกับความสามารถของพนักงาน (เหมือนที่บางคนถูกนายจ้างบังคับให้ต้องทำงานหลายอย่าง แม้จะไม่อยากทำ) และยังมีเรื่องของการได้รับการซัพพอร์ตที่น้อยนิดจากหัวหน้างาน หรือเพื่อนร่วมงาน จนถึงการไม่สามารถควบคุม workload ได้

ท้ายที่สุด หากยังอยากยืนหยัดที่จะเป็นคนเก่งหลายด้าน และทำได้หลายด้าน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมันก็ถือเป็นการพัฒนาตัวเองในด้านหนึ่ง แต่อย่างที่บอกไป ถ้าเราทำมันด้วยความเครียด และความทุกข์ ผลงานที่ออกมา ก็ไม่มีทางที่จะเป็นดั่งใจหวัง 100%

ฉะนั้นแล้ว การปล่อยให้ตัวเองได้ ‘พัก’ บ้าง จึงเป็นสิ่งสำคัญ

ซึ่งวันนี้เราจะมายกตัวอย่างฮาวทูฮีลใจนิดๆ หน่อยๆ ที่ทำได้ง่ายๆ เพื่อให้เรามีแรงยิ้มรับวันต่อไปกัน

1 | เขียนสิ่งที่ทำให้เราเครียดตอนนี้ออกมากันเถอะ

บางครั้งเมื่อเราทำงานหัวหมุนอยู่ทั้งวัน เราอาจจะพยายามที่จะ ‘ไม่เครียด’ แม้จริงๆ เราจะเครียดมาก ซึ่งการที่เราเลือกปล่อยเบลอความเครียดไป โดยไม่ยอมจัดการปัญหาที่เกิดจากความเครียด นั่นก็อาจส่งผลให้ความเครียดนั้นเรื้อรัง ฉะนั้นแล้ว ระหว่างวันของทุกๆ วัน หากรู้สึกเครียดขึ้นมา ลองจดมันลงไป ไม่ว่าจะพิมพ์ในโทรศัพท์ หรือเขียนใส่สมุด จากนั้นก็ค่อยๆ คิดไตร่ตรองทีละข้อ ว่าจะรับมือกับความเครียดนี้อย่างไรดี

2 | สมาธิสำคัญ สติมา ปัญญาเกิด

โอเค เรามาฝึกผ่อนคลายตัวเองด้วยการทำสมาธิกันเถอะ! จริงๆ ในวันที่เราเครียดมากๆ หากลองหายใจเข้าลึกๆ ก็สามารถช่วยทำให้ใจเย็นลงได้แล้ว ยิ่งเราทำเป็นประจำก็จะยิ่งทำให้เรามีสติในการรับมือกับปัญหาในแต่ละวันมากขึ้นได้ด้วย

3 | อย่าลืมยืนยันคุณค่าในตัวเอง

หลายครั้งมนุษย์เราก็มักจะเผลอเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น จนเผลอลืมว่าจริงๆ แล้ว เราก็ต่างมีความพิเศษในแบบของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่จะทำให้เรา ‘ไม่ลืม’ ความพิเศษในตัวเองนี้ไปได้ นั่นก็คือการ ‘ยืนยัน’ คุณค่านี้ให้เราเห็นอย่างเป็นรูปธรรม โดย Whitley Lassen ผู้อำนวยการที่คลินิกบริการด้านสุขภาพจิต K Health ในนิวยอร์ก แนะนำว่า การมี ‘toolbox’ ที่รวบรวมคำพูดยืนยันคุณค่าในตัวเอง หรือ self-affirmation จนถึงคำพูดปลอบประโลมใจ หรือรูปภาพที่มองแล้วมีความสุข และบันทึกที่ช่วยลดความคิดลบๆ จะช่วยให้ช่วงเวลาที่เรารู้สึกไม่มีคุณค่า แล้วมาเปิดดู ก็จะรับรู้ว่าเรามีคุณค่า และข้อดีมากมาย มากกว่าที่เราคิด

4 | หาเวลาให้ตัวเองได้พักบ้าง

บางคนอาจจะแบ่งเวลาให้ตัวเองได้พักจากการทำงานอย่างชัดเจนด้วยการลาหยุด ออกไปใช้เวลากับเพื่อนฝูงและครอบครัว หรือทำงานอดิเรกที่เรารัก หรือกรณีที่งานมันเยอะจนแทบจะไม่มีวันพักเลย การแบ่งเวลาพักเบรกในแต่ละช่วงของการทำงาน เช่น ออกไปเดินเล่น ดื่มกาแฟ คุยกับเพื่อน ดูยูทูบ ฯลฯ ก็อาจช่วยลดความตึงเครียดจากการจดจ่ออยู่กับงานได้นะ

5 | วันหยุดคือวันหยุด เลิกงานคือเลิกงาน ไม่ต้องคิดเรื่องงานบ้าง!

เมื่อเราได้มีวันหยุดกับเขาบ้าง เราก็ควรจะให้เวลากับตัวเองอย่างเต็มที่ ลองชาร์จพลังงานตัวเองด้วยการปิดแจ้งเตือนทั้งหมด เพื่อให้เราไม่รู้สึกพะวงหรือคิดถึงเรื่องงานในช่วงเวลาพักผ่อน เช่นเดียวกับเวลาหลังเลิกงาน ที่เราไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องงาน ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้บ้างก็ไม่เป็นอะไรนะ

6 | สร้าง Support System ในที่ทำงาน

เพื่อไม่ให้รู้สึกโดดเดี่ยวมากไป การได้แชร์ประสบการณ์การทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่เราไว้ใจ ซึ่งประสบปัญหาคล้ายๆ กับเราอยู่ จะสามารถทำให้คุณมองหาแนวทางแก้ร่วมกันได้ และทำให้คุณรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในที่แห่งนี้

7 | แก้ไขปัญหาร่วมกับเจ้านาย

ข้อนี้เป็นข้อที่จะทำให้เราอาจตอบคำถามมากมายในใจได้ว่าเราควรจะทำอย่างไรต่อดีกับการทำงานที่แห่งนี้ เพราะหากเรารู้สึกว่ากำลังมีปัญหาในการทำงานอยู่ เช่น งานที่ได้รับมอบหมายมีจำนวนมากเกินไป หรือบางเนื้องานก็ไม่ได้ตรงตามความต้องการ การได้พูดคุยกับนายจ้างหรือหัวหน้างานตรงๆ อาจนำไปสู่แนวทางแก้ไขปัญหา และลดความเครียดได้ ซึ่งสุดท้าย ถ้าเจ้านายไม่ได้มีมาตรการอะไรมารองรับสภาพจิตใจเราขนาดนั้น ก็อาจถึงเวลาที่เราต้องคิดทบทวนว่า ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ควรไปต่อหรือพอแค่นี้

8 | ทำให้การพบนักบำบัดเป็นเรื่องปกติธรรมดา

หากรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการปัญหานี้ได้ด้วยตัวเองจริงๆ การเข้ารับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ หรือนักบำบัด ก็เป็นหนทางที่จะช่วยให้เรามองหาหนทางในการรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตที่เป็นอยู่ได้ ซึ่งเราอาจได้รับมุมมองหรือแง่คิดในการใช้ชีวิต ที่ทำให้เราเดินต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งมากขึ้นก็ได้นะ

เราเชื่อว่าคงมีอีกสารพัดวิธีที่แต่ละคนมีวิธีการจัดการที่ต่างกัน แต่สิ่งที่เราอยากให้จำไว้ขึ้นใจเลย นั่นคือ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสุขภาพของเรา และไม่ว่าเราจะเก่งเพียง 1 อย่าง หรือเก่งหลายอย่าง เราก็มีคุณค่าในตัวเองกันทั้งนั้น ความเก่ง ไม่ได้วัดคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเราอยู่ดี 

The Present Move อยากให้ทุกคนยิ้มให้กับตัวเองเยอะๆ นะคะ

Writer | พัชญ์สิตา ไพบูลย์ศิริ

Illustrator | Arunnoon

Peaceful Death เพราะ ‘ความตาย’ และ ‘การใช้ชีวิต’ เป็นเรื่องเดียวกัน เราจึงควรใช้ปัจจุบันดูแลทุกความสัมพันธ์ให้ดีที่สุด

วันนี้ The Present Move ขอชวนผู้อ่านทุกท่านมาจับเข่าคุยกันเรื่องความตายกับ คุณเอกภพ สิทธิวรรณธนะ ผู้ประสานงานโครงการชุมชนกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี กลุ่ม Peaceful Death ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘การตายดี’ และการเตรียมตัวกับความตาย

เลือกสี เฟอร์นิเจอร์ จัดองค์ประกอบ เรื่อง ‘บ้าน’ ที่ไม่ใช่แค่เรื่อง ‘บ้านๆ’ เพราะทุกการจัดวางล้วนส่งผลต่อความรู้สึก

“ถ้าข้าวของในห้องมันอัดแน่นและวางกองเรี่ยราด มันอาจจะส่งเสริมให้เรารู้สึกวิตกกังวล หงุดหงิด และรู้สึกวุ่นวายได้”

รวม ‘5 ภาพยนตร์’ น่าดูช่วงหยุดยาวว เพื่อฮีลใจตัวเองก่อนก้าวสู่ปีใหม่

ขอแนะนำทางเลือกหนึ่ง เพื่อเป็นอีกแรงเสริมให้ทุกคนรักและรู้สึกดีกับตัวเอง (self-love) ด้วยข้อคิดจากภาพยนตร์ที่เราหยิบยกมาให้ดูกันในวันนี้