
‘การเปลี่ยนแปลง’ มักยากที่สุดเมื่อเริ่มต้น ดูยุ่งเหยิงที่สุดในระหว่างทาง และจะสวยงามในตอนจบ
คนกลัวความสูงจะขึ้นรถไฟเหาะได้ไหม? และเขาจะทำมันอย่างไร
หากใครเป็นสายพัฒนาตัวเองและใช้ชีวิตอย่างตามแพลนอย่างเป็นระเบียบสุดๆ อาจเคยได้ยินคำว่า ‘Time Blocking’ ที่เป็นเทคนิควิธีบริหารเวลายอดนิยมกันมาบ้าง ซึ่งวิธีนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นการปราบเดดไลน์อย่างอยู่หมัดผ่านวิธีการจัดการเวลาให้ ‘เป๊ะ’ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแพลนอย่างเข้มงวดเพราะเวลาไม่คอยท่า
แต่ในหลายครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงเวลาที่เราอยากขมักเขม้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีและทำงานเสร็จสิ้นได้ตามเวลานั้น เหล่านั้นอาจเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่สมองและจิตใจของเราจะหลุดลอยล่องไปตามความคิดใหม่ๆ ที่อาจแวบเข้ามาในช่วงเวลานั้นได้มากที่สุด ซึ่งนั่นอาจทำให้หลุดโฟกัสไปได้
หากเหตุการณ์ประมาณนี้ขึ้น เชื่อว่าหลายคนอาจเกิดทางเลือกอยู่ 2 ทางซึ่งก็คือหากไม่ดึงสติกลับมาให้เร็วที่สุด ก็อาจจะต้องปล่อยใจจอยๆ เหม่อลอยไปตามความคิดที่ผุดขึ้นมาแทรกเหล่านั้น
ภาวะปล่อยใจจอยๆ ล่องลอยไปตามอารมณ์ดังกล่าวนั้น หากมองในมุมมองทางจิตวิทยาอาจเรียกได้ว่า ‘Mind Wandering’ ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงในทางจิตวิทยาว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี เพราะในบางมุมมองก็อาจกล่าวได้ว่าเส้นแบ่งของปัจจุบันขณะในความหมายของการ ‘มีสติรู้ตัว’ และการ ‘ปล่อยวางใจไปตามความคิดและอารมณ์’ ซึ่งทั้งสองความหมาายนี้ล้วนเป็นสิ่งที่อาจดูเป็น (คนละ) เรื่องเดียวกัน แต่นั่นก็มีความใกล้เคียงกันเพียงแค่เส้นบางๆ ที่กั้นในคำนิยามเหล่านั้นเอาไว้
becommon.co ได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจว่า แรกเริ่มเดิมทีนักจิตวิทยาหลายคนเลือกให้การอยู่กับปัจจุบันขณะในรูปแบบของการมีสติรู้ตัว (Mindfulness) เสียมากกว่า เพระาวิธีนี้เป็นการทำให้จิตใจสงบ ลดอาการจิตตุงแป่งและความฟุ้งซ่าน อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยที่ทำให้เราบริหารจัดการชีวิตของตนเองได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการเตือนสติตนเองให้กลับมาอยู่กับเนื้อตัวจึงอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งเป็นมุมมองที่มาจากการศึกษาของ เดเนียล กิลเบิร์ท (Daniel Gillbert) และ แมทธิว คิลลิงสเวอร์ธ (Matthew KillingSworth) ศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ดีมีการศึกษาในงานชิ้นใหม่จาก พอล เซลี (Pual Seli) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยา มหาวิทยาลุยดุ๊ก สหรัฐอเมริกา ที่ได้เสนอถึงมุมมองของ Mind Wandering ในมุมมองใหม่ที่น่าสนใจว่า ภาวะใจลอยนั้นอาจไม่ได้ส่งผลร้ายต่อเราเสมอไป เพราะการที่มนุษย์เราหลุดโฟกัสกันอยู่บ้างเป็นเรื่องที่ปกติมาก และเราอาจไม่มีสมาธิจดจ่อกับงานหรือกิจกรรมใดๆ ได้ตลอดเวลา และภาวะการปล่อยใจอาจเป็นวิธีผ่อนคลายจากงานในรูปแบบหนึ่งซึ่งอาจไม่ได้ส่งผลเสียต่อเนื้องานในระยะยาว เพราะความมุ่งมั่นที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อเรามากกว่า
ซึ่งสำหรับผู้เขียนเองแล้วนั้น มองว่าอาจไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าอะไรเป็นสิ่งที่ ‘ดีกว่า’ ทั้ง Mindfulness และ Mind Wandering แต่อาจจะขอเสนอมุมมองที่แตกต่างออกไปว่า เราอาจหา ‘ตรงกลาง’ ระหว่าง 2 อย่างนี้ได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องเลือกเพียงอย่างเดียวเสมอไป และตัวเราเองมีสิทธิ์กำหนดกะเกณฑ์สไตล์ที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวเราเอง
หรือไม่แน่นะคะ การที่เราปล่อยใจให้จอยๆ ลอยไปตามจังหวะและอุณหภูมิที่กำลังเกิดขึ้นบ้าง สิ่งนี้อาจเป็นการพักใจที่ดี แต่ในขณะเดียวกันเราอาจใช้การมีสติรู้ตัวเข้าช่วยให้พึงระลึกไว้ว่า
ตอนนี้กำลังรู้สึกอะไร?
ความคิดเหล่านี้มีที่มาจากไหน?
หากเป็นเรื่องที่กำลังกังวล เราจะทำอย่างไรกับมันได้บ้าง?
เหล่านี้อาจเป็นคำถามในเบื้องต้นที่อาจถามตัวเองได้เช่นเดียวกันแม้จะอยู่ในสภาวะปล่อยใจจอยๆ เพราะนี่คือตรงกลางที่อยู่ระหว่างทาง และนั่นอาจเป็นแนวทางที่ดีกับใครหลายคนมากกว่า
ท้ายที่สุดนี้ผู้เขียนได้นำเทคนิควิธีสั้นๆ ในการปล่อยใจไปตามสภาวะมาฝาก ซึ่งหากผู้อ่านท่านใดมีวิธีอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากนี้มาแชร์กันได้นะคะ
เพราะในบางครั้งการปล่อยความคิดตัวเองให้จอยๆ นั้น
อาจช่วยให้ค้นพบอะไรมากกว่าการคร่ำเคร่งโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์
คนกลัวความสูงจะขึ้นรถไฟเหาะได้ไหม? และเขาจะทำมันอย่างไร
ท่ามกลางแสงสีของเมืองหลวงอันวุ่นวาย จะดีไหมหากเรามีสถานที่เงียบสงบสักแห่งให้เป็นที่พักใจ เป็นที่ที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากความรู้สึกของตัวเอง
“ฉันไม่ดีพอ” (I’m not good enough.) เป็นประโยคที่ตอกย้ำและหลอกหลอนเราในฐานะคนที่ Self-doubt ตลอดเวลาอย่างเราๆ ได้อย่างดีเยี่ยม