
Ayatana คาเฟ่สไตล์มินิมอลที่ขยับ ‘ธรรมะ’ ให้โมเดิร์นและใกล้ตัวคนรุ่นใหม่ผ่านการออกแบบประสบการณ์
ความไม่เที่ยง การปล่อยวาง การรู้จักให้ สมาธิ อิสระ และธรรมะ สิ่งเหล่านี้แฝงตัวอยู่รอบๆ...
Manifestation หลักความเชื่อว่าจักรวาลจะอยู่ข้างเราด้วยการ ‘เชื่อ’ ว่าเราดีพอ จะทำให้เรากล้าพาตัวเองไปถึงจุดหมายต่างๆ
“แค่เชื่อว่าทำได้ ก็สำเร็จไปครึ่งทาง” จริงไหม? สำหรับเรา สมการที่ลงตัวที่สุดอาจจะเป็น เชื่อในตัวเอง + ลงมือทำ = สำเร็จไปครึ่งทาง ส่วนอีกครึ่งทางที่เหลืออาจต้องอาศัยจังหวะชีวิต และโอกาสต่างๆ ที่เข้ามา เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าแต่ละคนมีข้อจำกัดแตกต่างกัน
ถึงอย่างนั้น การที่เราเชื่อในตัวเองว่าฉันจะต้อง ‘ทำได้’ หรือกำหนดภาพในหัวให้แน่ชัดว่าอยากจะมีชีวิตแบบใด และพาตัวเองไปอยู่ในจุดนั้น ย่อมมีเปอร์เซ็นต์ที่จะไปถึงปลายทางมากกว่าปล่อยมันไว้ให้อยู่ในความคิดเฉยๆ แต่ไม่ลงมือทำอะไร และนี่อาจเป็นหลักของ ‘Manifestation’ ที่ความเชื่อว่าตัวเองจะมีชีวิตแบบที่ต้องการ โดยไม่หยุดความเชื่อนั้นไว้แค่ความฝัน สิ่งนั้นก็อาจเกิดขึ้นได้จริง
ณ เวลานี้ แทบจะทุกคน น่าจะเคยได้ยินที่คนเขาพูดถึงการ Manifest กันบ่อยๆ ดูได้จากการถูกพูดถึงผ่าน #Manifestation บน TikTok ในเดือนพฤษภาคมปี 2023 ที่มีคนดูวิดีโออย่างต่ำ 34.6 พันล้านครั้ง และจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนติดแฮชแท็กนี้เป็นจำนวนหลายล้านโพสต์เลยทีเดียว ซึ่งดูท่าก็น่าจะเป็นที่พูดถึงกันต่ออีกยาวๆ ในอนาคต
แต่แม้ Manifestation จะเป็นที่รู้จักกันว่ามันคือความสามารถในการดึงดูด ‘เป้าหมาย’ และ ‘ความสำเร็จ’ บางอย่างในชีวิต ผ่านความ ‘เชื่อ’ ว่าเรามีสิ่งนั้นอยู่แล้วจริงๆ และใช้ชีวิตแบบที่เรามีสิ่งนั้นอยู่กับตัวแล้วจริงๆ โดยส่วนมากหลักการนี้จะถูกผูกโยงกับเรื่องเหนือธรรมชาติ อย่างแรงเหวี่ยงของจักรวาล ที่พลังของจักรวาลจะคัดสรรสิ่งดีๆ มาให้เรา ถ้าเราเชื่อว่าเรามีสิ่งนั้นจริงๆ คล้ายๆ กฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) ซึ่งตรงนี้คงเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลแล้วแต่พิจารณากันได้เลย แต่หากพูดกันโดยไม่มีเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง การแมนิเฟสก็ไม่ได้พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์จริงๆ และไม่มีหลักฐานใดมารับรองว่ามันจะเกิดขึ้นจริงแบบ 100% ถึงอย่างนั้น ก็ยังพออธิบายได้ในเชิงกลไกทางสมอง ตอนที่เรา ‘เชื่อมั่น’ กับเป้าหมายบางอย่าง
เพราะการที่เราเชื่อว่าเราสามารถทำอะไรสักอย่างได้ มันจะมีแนวโน้มที่เราจะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จจริงๆ เพราะหากเราเชื่ออย่างแท้จริงว่าเราจะทำมันได้ เราก็จะเต็มใจที่จะทำหรือเอาตัวของเรา เข้าไปใกล้กับความสำเร็จนั้นๆ อนึ่ง ความเชื่อของเรานำไปสู่พฤติกรรมที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการได้มากกว่าคนที่คิดในหัวตลอดเวลาว่า “ฉันทำไม่ได้”
“Manifestation จะเกิดขึ้นเมื่อคุณมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ทั้งด้านความรู้สึก ความเชื่อ และผนวกมันเข้ากับการกระทำที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการขึ้นมาจริงๆ” นี่คือคำอธิบายบนเว็บไซต์ Byrdie ที่ ดร.ทารา สวาร์ต (Tara Swart) นักประสาทวิทยา กล่าว
ซึ่งหากมองในเรื่องของกลไกสมองเมื่อเราเชื่ออะไรมากๆ เธอบอกว่า “เรื่องของกฏแรงดึงดูดชัดเจนว่าเชื่อมโยงกับพลังสมองของเรา มันอธิบายได้ว่าเป็นวิธีที่เราจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ สถานการณ์ และสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิตของเราจากสิ่งที่เราคิดและเชื่อมันอยู่ลึกๆ ซึ่งเราก็ Manifest มัน โดยมุ่งความสนใจไปที่สิ่งเหล่านั้น มองเห็นภาพว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง และส่งพลังงานของเราไปสู่สิ่งเหล่านั้นผ่านการกระทำ”
นั่นหมายความว่าในแง่มุมของสมอง Manifestation ก็คือการนำความมุ่งมั่นและความเชื่ออย่างสุดใจนั้นๆ นำพาให้เกิดผลลัพธ์ที่เราตั้งใจจริงๆ ขึ้นมา ที่มันจะไม่เกิดขึ้นเองหากเราแค่คิด แต่ไม่ลงมือทำ
เช่น เมื่อเรา Manifest ว่าอยากเจอคนรักที่ไม่ท็อกซิกแบบที่เคยผ่านมา หรือมีคุณสมบัติตรงตามสเปค คุณก็จะมีแนวโน้มที่จะ ‘กรอง’ คนที่ไม่ใช่ออกไปได้ง่ายขึ้น และไม่วนอยู่กับความสัมพันธ์แบบเดิมๆ หรือถ้าเรา Manifest ว่าเราได้งานใหม่ที่ตรงใจแล้ว ถ้าคุณอยู่เฉยๆ โดยไม่ยื่นพอร์ตโฟลิโอไปที่ไหนเลย หรือเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่จะได้งานนั้นเลย โอกาสที่จะไม่ได้งานนั้นก็อาจมีไม่มากเท่าเราลงมือทำ จนถึง สมมติเราเชื่อว่า เราจะได้ไปต่างประเทศเร็วๆ นี้ แต่หากเราไม่เก็บเงินสำรองไว้เพื่อไปประเทศนั้นๆ หรือเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่มีโอกาสยื่นเข้ามาได้ โอกาสที่เราคิดมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้เช่นกัน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มีหลายคนออกมาพูดกันว่า ทำไมฉันถึง Manifest แล้วไม่ได้ผล? นั่นอาจเป็นเพราะบางคน ‘ยังไม่ได้ลงมือทำ’
แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะไม่ใช่ทุกคนจะสามารถลงมือทำได้จริงๆ เนื่องจากแต่ละคนก็มีข้อจำกัดต่างกัน ทั้งในเรื่องฐานะ ครอบครัว การถูกกีดกันในสังคม หรือโอกาสที่ไม่เท่ากัน ฯลฯ จึงไม่แปลกเลย ที่บางคนใช้การ Manifest เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ด้วยการเชื่อว่าเราต่างมีจักรวาลอยู่เคียงข้าง หรือมีสิ่งที่มองไม่เห็นบางอย่างคอยมอบพลัง และความหวังให้เราที่จะทำให้พวกเขารู้สึกดีและสบายใจในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น บางคนก็อาจมองโลกในแง่ดี และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นเลยก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพจิตได้มาก
ทว่าการ Manifest ก็เป็นดาบสองคม เพราะมันอาจทำให้บางคนรู้สึกแย่กับตัวเอง หากคาดหวังว่าฉันต้องได้ในสิ่งนั้น แต่ยังไม่ได้สิ่งนั้นสักที จนทำให้บางคนอาจรู้สึกว่าตัวเองทำไม่เพียงพอ Manifest ผิด หรือรู้สึกไม่ดีพอ ซึ่งนำไปสู่ความผิดหวังต่างๆ จากการกล่าวโทษตัวเองว่าจักรวาลไม่อยู่ข้างพวกเขา ดังนั้น Manifestation อาจให้ประโยชน์ในการนำไปสู่การจัดการความเครียดที่ดีขึ้น ที่ทำให้บางคนมองโลกในเชิงบวกและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น แต่สำหรับบางคนก็อาจส่งผลไม่ดีต่อสภาพจิตใจ กลายเป็น การคิดบวกมากไปกลับส่งผลร้าย (Toxic positivity) เมื่อไม่ได้เผื่อใจไว้เลยว่า บางครั้งชีวิตมันก็ไม่ได้เป็นแบบที่หวังเสมอไป
การมองโลกในแง่ดี หรือเชื่อว่าเราจะกำหนดชีวิตตัวเองได้ เป็นสิ่งที่ดี และเป็นตัวตั้งต้นหลักที่จะนำพาตัวเราให้ไปสู่สิ่งที่ต้องการได้ เพราะแค่เราเชื่อว่าทำได้ เราก็สำเร็จไปครึ่งทางแล้ว แต่อย่าลืมว่าแต่ละคนนั้นมีข้อกำจัดที่ต่างกัน หากเราไปถึงเป้าหมายนั้นช้า ก็อย่าได้โทษตัวเอง เพราะนั่นไม่ได้ทำให้เรามีคุณค่าในตัวเองที่น้อยลงแต่อย่างใด การปรารถนาดีกับตัวเอง จะทำให้เราผ่านพ้นทุกอุปสรรคไปได้
และไม่ว่าเราจะได้สิ่งที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ เราก็จะยังมีความสุขกับตัวเองเช่นเดียวกัน
Writer | พัชญ์สิตา ไพบูลย์ศิริ
Illustrator | Arunnoon
ความไม่เที่ยง การปล่อยวาง การรู้จักให้ สมาธิ อิสระ และธรรมะ สิ่งเหล่านี้แฝงตัวอยู่รอบๆ...
ท่ามกลางแสงสีของเมืองหลวงอันวุ่นวาย จะดีไหมหากเรามีสถานที่เงียบสงบสักแห่งให้เป็นที่พักใจ เป็นที่ที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากความรู้สึกของตัวเอง
มาใช้วันลาไปพักร้อนกันเถอะ! ชวนมองข้อดีของการหาเวลาออกไปเที่ยวที่ช่วยบูสต์พลัง แถมยังทำให้เราไม่แก่ก่อนวัย