The Present Move

ใครจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา เพราะเรามีความสุขได้ด้วยการ ‘Let Them’

The Present Move | Mindful Global Citizens

ยอมรับและปล่อยให้พวกเขาได้เป็น
และได้ทำอย่างที่ต้องการ 

เคยสังเกตไหมว่า ในแต่ละนาทีความคิดของเราโลดแล่นไปอย่างไรบ้าง?

ในทางพระพุทธศาสนา มีคำเปรียบเทียบว่า จิตของมนุษย์เหมือนกับลิงที่ห้อยโหนกิ่งไม้ จากกิ่งนั้น ไปกิ่งนี้ อยู่นิ่งไม่ได้ วิ่งไปวิ่งมาตลอดเวลา

บ่อยครั้งแค่ไหน ที่ใจของเราจับจ้องอยู่กับการกระทำของคนอื่นไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง หรือ แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับเราเลย ตั้่งแต่คนที่เดินสวนกันในที่สาธารณะ รถที่ขับปาดหน้าบนท้องถนน หรือการกระทำบางอย่างของเพื่อนร่วมงานที่เราอาจไม่ถูกใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยภายนอก ที่เราควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่จิตใจของเรากลับยอมให้การกระทำหรือพฤติกรรมของผู้คนเหล่านั้น เข้ามามีอิทธิพลต่ออารมณ์ กลายเป็นความรู้สึกเชิงลบ
ที่ก่อเกิดขึ้นในใจ 

ลองจินตนาการถึงยามเย็นที่ผ่อนคลาย คุณกำลังเดินอยู่ในสวนที่เขียวขจี ลมเย็นๆ พัดผ่านสัมผัสผิวกาย ทันใดนั้นเองอาจมีคนสองคนเดินคุยกันเสียงดังตามหลังคุณมาติดๆ ทันใดนั้นคุณก็คิดขึ้นมาว่า ‘น่ารำคาญ’ คุณเริ่มรู้สึกหงุดหงิด จึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่ด้านหน้ากลับมีคนอีกคนเดินขวางที่ทำให้คุณแซงขึ้นไปไม่ได้ คุณอาจคิดในใจ ‘เกะกะจัง’ เมื่อคนด้านหลังยังคงส่งเสียงดังไม่หยุด และจิตใจของคุณก็ยิ่งหงุดหงิดขุ่นมัวจากปัจจัยภายนอกที่ไม่เป็นไปดั่งใจ ทั้งที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามนั้น ต่างคนต่างก็ไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาเพียงแค่ใช้ชีวิตของตนเองไป เพียงการกระทำของเขา ‘ไม่ถูกใจ’ คุณเท่านั้นเอง

พระอาทิตย์ยามเย็นกำลังจะอัสดง แสงสีส้มเรืองรองที่ปลายขอบฟ้าสวยงาม แต่คุณกลับพลาดโอกาสชื่นชมอย่างน่าเสียดาย เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับการกระทำของคนอื่น ไม่แน่ว่าหากคุณปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตของตนเองไป โดยไม่เอาใจเข้าผูก ชีวิตของคุณอาจเบาสบายกว่าที่เป็น 

| ชวนรู้จักทฤษฎี Let Them ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา

ถ้าวันหยุดนี้เพื่อนไม่ชวนไปกินข้าว… ช่างเขา
ถ้าคนที่กำลังคบหากับใครสักคนแต่ไม่อยากผูกมัด… ช่างเขา
ถ้าลูกๆ ไม่อยากออกไปทำกิจกรรมกับครอบครัว… ช่างเขา

นี่คือบางประโยคจาก เมล ร็อบบินส์ (Mel Robbins) ผู้เขียนหนังสือชื่อ The Let Them Theory ที่ยกตัวอย่างเพื่ออธิบายทฤษฎี Let Them ในหนังสือของเธอ ร็อบบินส์ ระบุว่าทฤษฎี Let Them เป็นเครื่องมือที่จะสร้างทัศนคติของการปล่อยวาง ปล่อยให้คนรอบตัวตัดสินใจและใช้ชีวิตของตนเอง โดยที่เราไม่เข้าไปควบคุมบงการการกระทำของพวกเขา เพราะความคิด คำพูดและการกระทำของคนอื่น ล้วนเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา 

แต่โดยไม่รู้ตัว เรามักใช้พลังงานอย่างมากพยายามควบคุมทุกอย่างให้เป็นดั่งใจ เมื่อไม่สำเร็จ ก็ทำให้เครียด หงุดหงิด ชีวิตไม่มีความสุข ซึ่งร็อบบินส์ อธิบายว่าต้นตอของปัญหาคืออำนาจที่เราส่งออกไปเพื่อพยายามควบคุมคนอื่นโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อใดก็ตามที่เข้าใจทฤษฎี Let Them ‘ปล่อยเขา’ ก็อาจทำให้ค้นพบความจริงว่าที่ผ่านมาเราเสียเวลาและพลังงานไปกับเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมมากมายเพียงใด และอำนาจแท้จริงที่เราควบคุมได้มีเพียงความคิด คำพูดและการกระทำของเราเท่านั้น 

การปล่อยให้แต่ละคนเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่พยายามควบคุม ยังช่วยให้เราค้นพบตัวตนที่แท้จริงของคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อน คนรัก หรือคนอื่นๆ เมื่อพวกเขาแสดงออกผ่านคำพูดและการกระทำ เราอาจพบว่าที่ลูกๆ ยอมออกไปข้างนอกด้วย เพราะพวกเขากลัวคุณโกรธ แต่นั่นหาใช่ความต้องการจริงๆ ของพวกเขา หรือค้นพบว่าที่เพื่อนร่วมงานชวนคุณกลับบ้านทุกวัน เป็นเพราะคุณคอยถามว่าพวกเขากลับบ้านทางไหน แน่นอนว่าการมีน้ำใจช่วยเหลือ หรือยอมลดละความต้องการของตัวเอง เพื่อรักษาความสัมพันธ์เป็นเรื่องดี แต่สิ่งเหล่านั้นควรมาจากความต้องการส่วนลึกของแต่ละคนจริงๆ ไม่ใช่มาจากการกระทำหรือคำพูดบางอย่างของอีกฝ่ายที่กระตุ้นให้พวกเขาต้องทำอย่างนั้น

หน้าที่จริงๆ ของแต่ละคนตามที่ทฤษฎี Let Them แนะนำคือ การยอมรับและปล่อยให้พวกเขาได้เป็นและได้ทำอย่างที่ต้องการ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้ใครทำอะไรกับเราก็ได้ เพราะสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งนอกจากการ Let Them ก็คือ การรับรู้ว่าเราเองก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะตอบสนองแต่ละความสัมพันธ์อย่างไร เพราะทุกคนมีคุณค่าในตนเองและมีทางเลือกมากกว่าจะปล่อยให้การกระทำของคนอื่นมีผลต่ออารมณ์และตัวตนของเรา 

| ความท้าทายของการ Let Them

สิ่งที่ทำให้การ Let Them หรือ ‘ปล่อยเขา’ เป็นเรื่องท้าทายก็คือ จิตของคนเราที่ไม่เคยอยู่นิ่ง เปรียบเหมือนลิงที่โหนกิ่งไม้ไปมา ในเมื่อเรายังต้องอยู่ในสังคม มีความสัมพันธ์หลายรูปแบบ พบปะผู้คนมากมาย แน่นอนว่าเราต้องได้ยิน ได้เห็น การกระทำของคนรอบตัว ทำให้จิตคิดตามไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวที่เราให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ คนรัก เพื่อน ครอบครัว หรือลูก แล้วเราจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจได้อย่างไร?

ต้องเข้าใจก่อนว่า การ Let Them ไม่ใช่การปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะในการเลี้ยงลูก หน้าที่ของพ่อแม่คือการวางกรอบของกฎระเบียบที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตให้ลูกทำตาม เช่น ตารางเวลากินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน เข้านอน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ควรปลูกฝังและไม่สามารถ Let Them ได้ ตราบเท่าที่ลูกไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น และไม่ทำร้ายข้าวของ พ่อแม่ก็ควรปล่อยให้เขาเติบโตอย่างเป็นตัวของตัวเอง

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่ ย่อมแตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับเด็ก ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าพ่อแม่มีหน้าที่ปลูกฝังระเบียบวินัย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ด้วยกัน ต้องถือว่าแต่ละคนล้วนมีวุฒิภาวะที่สามารถตัดสินใจและรับผิดชอบการกระทำของตนเองได้ แม้ว่าเราจะมีความห่วงใยหรืออะไรก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วเราไม่สามารถควบคุมให้ทุกคนทำตามใจเราได้ 

ความท้าทายของการ Let them จึงไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจิตใจของเรา เพราะการปล่อยให้ผู้คนเป็นตัวของตัวเองโดยไม่พยายามควบคุมหรือเปลี่ยนแปลง ย่อมทำให้เราไม่สบายใจเมื่อต้องเผชิญกับพฤติกรรมหรือทัศนคติที่ไม่สอดคล้องกับความคาดหวัง 

นอกจากนี้ เรายังต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ เพราะเราไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์หรือปฏิกิริยาของคนอื่นได้ การ Let them จึงต้องอาศัยความยืดหยุ่นทางจิตใจ และการเห็นคุณค่าในตนเอง เพื่อยอมรับและว่าอำนาจที่แท้จริงคือการเลือกตอบสนองในแบบที่ไม่ทำลายสุขภาพจิตหรือความสุขของเราเอง

| ฝึกมีความสุขกับปัจจุบัน ด้วยการ Let Them

การมีความสุขกับปัจจุบันอาจฟังดูง่าย แต่ในความเป็นจริงการปล่อยวางและยอมรับเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน โดยเฉพาะเมื่อต้องรับมือกับความคาดหวังและความต้องการที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเรา ต่อไปนี้คือวิธีฝึกการปล่อยให้ผู้คนและสถานการณ์ได้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้เราค้นพบความสงบและความสุขในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น

  1. ปล่อยวางจากความคาดหวัง : การปล่อยวางจากความคาดหวัง ไม่ได้หมายความว่าเราต้องละทิ้งความฝันหรือเป้าหมาย แต่เป็นการลดความยึดติดกับผลลัพธ์ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เพื่อไม่ให้ความคาดหวังเหล่านั้นมากำหนดความสุขของเรา หากเราต้องรับผิดชอบโครงการหนึ่ง แม้ว่าจะคาดหวังให้ทุกอย่างออกมาตามแผน แต่ถ้าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ เราสามารถปรับตัวและยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้ ไม่จมอยู่กับความโศกเศร้าเสียใจ 

  2. รับผิดชอบต่อตัวเอง และปล่อยให้คนอื่นรับผิดชอบต่อสิ่งที่พวกเขาเลือกเช่นกัน : การรับผิดชอบต่อตัวเองหมายถึงการตระหนักรู้ถึงบทบาทของเราในสถานการณ์ต่างๆ ไม่โทษผู้อื่นเมื่อเกิดปัญหา นอกจากนี้ยังหมายถึงการเคารพในสิทธิของคนอื่นที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เขาควรรับผิดชอบ เช่น หากเพื่อนร่วมงานมีหน้าที่ต้องส่งงานให้เสร็จตรงเวลา เราอาจเตือนเขาได้ แต่เราไม่มีหน้าที่แบกความรับผิดชอบแทนเขา หรือเป็นกังวลจนตนเองเป็นทุกข์ 

  3. ปล่อยให้ผู้คนได้เป็นตัวของตัวเอง : การยอมรับความแตกต่างของแต่ละคน คือ การให้ เกียรติซึ่งกันและกัน โดยไม่พยายามควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขา เช่น หากเพื่อนเป็นชาวอินโทรเวิร์ต เมื่อไปงานปาร์ตี้ แทนที่เราจะพยายามทำให้เขามีส่วนร่วมในวงสนทนา เราอาจเลือกที่จะปล่อยให้เขาเป็นในแบบที่เขาสบายใจ และยอมรับในความเป็นตัวตนของเขา ไม่ต้องคิดแทน ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเขาจะสนุกหรือไม่ เมื่อต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว ก็แค่ปล่อยให้ทุกคนได้เป็นตัวของตัวเอง 

หากรู้สึกว่าชีวิตวุ่นวาย ไม่สงบสุข บางครั้งการหยุดอยู่นิ่งๆ และพิจารณาสถานการณ์ต่างๆ สำรวจจิตใจตนเองว่าความรู้สึกว้าวุ่นนั้นมาจากไหน ไม่แน่เราอาจค้นพบว่า ความทุกข์ทั้งหมดนั้น มาจากความคาดหวังในตัวคนรอบข้าง นำไปสู่การควบคุมบงการ เพื่อให้พวกเขาเป็นไปอย่างใจ ไม่ว่าจะในนามของความรัก ความห่วงใย หรือความหวังดี ซึ่งหากมองให้ลึกลงไปอีกชั้น ภายใต้ความรัก ความห่วงใย และความหวังดีนั้น เราอาจค้นพบความกลัวของตัวเราเอง ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังความรู้สึกอื่นๆ 

เราหวังดี อยากให้ลูกเลือกเรียนคณะที่เราแนะนำ
เพราะ
เรากลัวว่าลูกจะลำบากในอนาคต 
เราห่วงใยไม่อยากให้สามีกินขนมหวาน
เพราะ
เรากลัวเขาจะเจ็บป่วยและจากเราไปก่อน
หรืออื่นๆ อีกมากมาย

การพยายามควบคุมผู้อื่นหรือคาดหวังให้คนอื่นทำตามใจ จึงอาจสะท้อนถึงความไม่มั่นคงทางใจในบางแง่มุม หรืออาจเป็นการพยายามจัดการกับความกลัวที่ซ่อนอยู่ เมื่อเรารู้สึกไม่มั่นคงหรือไม่แน่ใจในตัวเอง เรามักพยายามหาความรู้สึกปลอดภัยจากการควบคุมสภาพแวดล้อมหรือพฤติกรรมของผู้อื่น เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ในบางกรณี การควบคุมนี้อาจเกิดจากความกลัวการถูกปฏิเสธ การไม่ถูกยอมรับ หรือการสูญเสียความสัมพันธ์ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การปล่อยให้คนอื่นเป็นตัวของตัวเอง หรือ Let Them จึงเป็นการฝึกใจให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน โอบรับสถานการณ์อย่างที่เป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาการควบคุมคนอื่นเพื่อให้รู้สึกปลอดภัย

เมื่อเราฝึกที่จะอยู่กับปัจจุบัน เราจะไม่จมอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว และไม่กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ทำให้จิตใจได้พักจากความคิดฟุ้งซ่าน และดื่มด่ำกับความสุขที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ได้ยินเสียงนกร้อง ได้กลิ่นหอมของกาแฟยามเช้า ดื่มด่ำกับแสงแรกของวัน ที่สำคัญคือได้มีความสุขกับคนใกล้ตัว โดยไม่เสียเวลาไปกับการกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรือเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แต่ใช้เวลาทั้งหมดนั้นเพื่อ ‘มีชีวิตอยู่’ อย่างแท้จริงในทุกลมหายใจ

เพราะนี่คือสิ่งที่ (นักจิตวิทยา) ไม่เคยบอก เราทุกคนล้วนเป็นใครสักคนที่อาจต้องการให้ใครอีกคนรับฟังอย่างเข้าถึงใจและไม่ใคร่ตัดสิน

เคยไหม? อยากพูดกับใครสักคนแต่ไม่รู้ว่า ‘เขาคนนั้น’ จะเป็น ‘ใคร’ในโลกที่แสนปั่นป่วนมากมายหลายเรื่องราวที่เข้ามาปะทะเราแทบไม่มีใครสักคนที่สามารถ ‘รับฟัง’ เราได้อย่างเข้าถึงใจและไม่ใคร่ตัดสิน

คุยกับ Hear & Found ถึงชีวิตที่เรียนรู้ผ่าน ‘เสียง’ เพราะหากเพียงใช้แค่ตามอง เราอาจพลาดสิ่งสำคัญบางอย่างไป

ในขวบปีที่ 6 นั้น Hear & Found เป็นที่รู้จักของหลายคนในหลากหลายนิยาม นักเก็บเสียงจากชนเผ่าและคนกลุ่มน้อย เจ้าของแพลตฟอร์มที่รวบรวมเสียงเหล่านั้นมาเผยแพร่ ผู้จัดงานคอนเสิร์ตดนตรีชาติพันธุ์ ฯลฯ เมกับรักษ์บอกเราว่าที่ร่ายมานี้ถูกต้องทั้งหมด