The Present Move

บันทึกสนทนาฮีลใจและบทเรียนแห่งความสุขจาก ศร-ศวัส เจ้าของเพจ ‘คิดมาก’ นักเขียนที่ใช้ตัวหนังสือเยียวยาจิตใจคนอ่าน

The Present Move | Mindful Global Citizens

บันทึกสนทนาฮีลใจและบทเรียนแห่งความสุขจาก ศร-ศวัส เจ้าของเพจ ‘คิดมาก’ นักเขียนที่ใช้ตัวหนังสือเยียวยาจิตใจคนอ่าน

‘ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดวงดาว’ หรือ ‘โตขึ้นมาเป็นความสุข’ ชื่อหนังสือจากปลายปากกาของ ศร-ศวัส มลสุวรรณ นักเขียนและเจ้าของเพจ ‘คิดมาก’ ที่หลายคนรู้จัก ศรกลายเป็นนักเขียนขวัญใจวัยรุ่น ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ปลอบประโลม และฮีลใจใครหลายคนผ่านตัวหนังสือ เพราะข้อความทุกตัวอักษรของเขา ได้รับการกลั่นกรองมาจากชีวิตและประสบการณ์ของตัวเอง

เราเริ่มอ่านข้อความของเขาเป็นครั้งแรกเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ในยุคที่ทวิตเตอร์ (หรือ X ในทุกวันนี้) ยังจำกัดจำนวนตัวอักษรไว้ที่ 140 ตัวอักษรเท่านั้น แม้ในเวลานั้นจะไม่ได้พูดคุยต่อหน้า แต่กลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นใจ และการปลอบโยนผ่านตัวอักษรที่กระตุ้นให้คิด เน้นย้ำถึงการดูแลจิตใจตัวเอง การปล่อยวาง และมองโลกในแง่ดีในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เช่น

“วันหนึ่งฤดูกาลของเราจะมาถึง”

“ความรักไม่อาจคงอยู่หากปราศจากการให้อภัย แต่คนที่ทำผิดก็ไม่ควรคาดหวังว่า เขาจะให้อภัยกับเราเกินสองครั้งในเรื่องเดิม”

“คุณจะทำทุกๆ เรื่องในวันนี้ได้ดี ขอให้คุณมั่นใจในตัวเอง”

“ให้ตัวเองมีความสุขได้เสมอ”

ข้อความเหล่านี้อาจทำให้ใครหลายคนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และได้คำตอบให้กับชีวิตตัวเอง

จะว่าไปแล้วผลงานของศรที่เราคุ้นเคยมักอยู่ในรูปแบบการเขียนผ่านโลกออนไลน์ และหนังสือที่จับต้องได้เป็นรูปเล่ม ด้วยผู้ติดตามกว่าล้านคนบนโซเชียลมีเดีย และผลงานหนังสือที่ขายดีติดต่อกันเขาจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อนามปากกา ‘คิดมาก’ 

เส้นทางการเป็นนักเขียนของศรเริ่มจาก ‘ความรักในหนังสือ’ ศรบอกว่า ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ต้องเรียนในระบบโฮมสคูล และเพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่จะอายุน้อยกว่า จึงทำให้ไม่มีเพื่อนเท่าไรนัก ทว่า เขาก็ได้พบเพื่อนที่ชื่อ ‘หนังสือ’ และกลายเป็นเพื่อนคนสำคัญมาจนถึงวันนี้ โดยหนังสือที่จุดประกายความรักในการอ่านคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้เขาหลงใหลในโลกของตัวอักษร และค่อยๆ พัฒนาความสามารถในการเล่าเรื่องจนกลายเป็นนักเขียนที่ตั้งใจถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆ ผ่านการเขียนในที่สุด

| จากนักอ่านตัวยง สู่นักเขียนที่มีหนังสือมากมาย
คุณคิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของการเขียน

การอ่านหนังสือเปรียบเหมือนกับฟังเพื่อนพูด และเวลาที่ได้เขียนหนังสือ เหมือนเราได้พูดกับเพื่อน เมื่อเรามีอะไรในใจหรือมีความทุกข์ใจ การเขียนจึงกลายเป็นพื้นที่ให้เราคุยกับตัวเองยาวๆ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เราชอบการเขียนมากขึ้น

ย้อนกลับไปสู่ยุคทองของทวิตเตอร์สมัยยังเป็น micro blog เล็กๆ ที่มีไว้เพื่อเขียนเรื่องแบบง่ายๆ เพราะเขียนได้สั้นๆ แค่ 140 ตัวอักษร บวกกับในชีวิตประจำวันผมไม่ได้พบปะผู้คนมากนัก จึงไม่ได้เขียนเล่าเหมือนไดอารี่ แต่ด้วยความเราเป็นคนเซนซิทีฟ เลยเป็นการเล่าความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของตัวเองออกมาเรื่อยๆ คนก็เริ่มมาติดตามมากขึ้น จากผู้ติดตามหลักร้อย หลักพัน แล้วสุดท้ายก็เพิ่มจนถึงหลักแสน ซึ่งนำไปสู่การเปิดเพจในเฟซบุ๊กในเวลาต่อมา ซึ่งหากนับจากวันแรกในยุคทวิตเตอร์ ตอนนี้ก็ประมาณ 14 ปีแล้วครับ

| ข้อความแบบไหนที่คุณเลือกถ่ายทอดไปในช่วงแรก

ตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่น เนื้อหาส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ทั้งเรื่องอกหัก สมหวัง และการให้กำลังใจซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนในวัยนั้นพบเจอและเข้าใจง่ายๆ เมื่อเวลาผ่านไป เนื้อหาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปตามช่วงวัย จนมาถึงช่วงกลางของชีวิต เนื้อหาที่เขียนจะเป็นเรื่องของความสุขและความเศร้า ซึ่งบางครั้งก็มีมุมที่ดิ่งลงไปบ้าง แต่เป็นความเศร้าที่มาพร้อมการหาทางรับมือเพื่อความสุขที่แท้จริง

เข้าสู่ปัจจุบัน ผมเริ่มสนใจแนวคิดที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ทฤษฎีเกี่ยวกับกฎแรงดึงดูด (Manifestation) และแนวคิดด้านพลังงานในเชิงบวกที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริง เรื่องเหล่านี้เข้ามาเป็นองค์ประกอบใหม่ในงานเขียน ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของชีวิต ล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงตามวัยที่เปลี่ยนไป เหมือนกับการเปลี่ยนกลุ่มเพื่อนที่ได้พูดคุยด้วยตามอายุที่เพิ่มขึ้น

| หลายคนอาจกังวลกับการแชร์เรื่องราวส่วนตัวในโซเชียล คุณมีความคิดเห็นอย่างไร

ผมไม่คิดเยอะกับการแชร์เรื่องส่วนตัวให้ผู้อื่นได้รู้ เพราะสิ่งที่เล่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัวในแบบเหตุการณ์หรือรายละเอียดชีวิตประจำวัน แต่เป็นการเล่าเรื่องราวผ่านอารมณ์และความรู้สึกแทน และหัวข้อที่เขียนก็มีความเกี่ยวข้องกับทุกคน ไม่ได้มุ่งเน้นที่เหตุการณ์เฉพาะตัว แต่สะท้อนความรู้สึกที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงได้ แม้ว่าจะไม่เคยผ่านประสบการณ์เดียวกันก็ตาม

มันเหมือนเราเล่าจากอารมณ์เรา ที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเราเท่านั้น แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของทุกคน ที่ผ่านความสุขสมหวัง ความผิดหวัง หรือช่วงเวลาที่ต้องดีลกับความเหงา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอในบางจังหวะของชีวิต 

ผมไม่กังวลว่าการเขียนจะเผยความเป็นส่วนตัวมากเกินไป แต่มองว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้สะท้อนและสำรวจความรู้สึกของตัวเองไปพร้อมๆ กัน

| การปรับตัวบนเส้นทางจากทวิตเตอร์สู่เฟซบุ๊ก 

ช่วงแรกผมพยายามปรับให้คอนเทนต์มีความแตกต่างกัน เพราะรู้สึกว่าแต่ละแพลตฟอร์มมีความเฉพาะตัว จึงอยากให้รูปแบบของคอนเทนต์สอดคล้องกับสื่อที่ใช้ แต่ในท้ายที่สุด พบว่าสิ่งที่เขียนในทวิตเตอร์คือ ตัวเรา แม้จะพยายามปรับเปลี่ยนวิธีการเขียนให้เหมาะกับแพลตฟอร์มอื่น แต่อะไรที่ไม่ใช่สไตล์เรา วิธีการเล่าไม่เหมือนกัน ผู้อ่านจะสัมผัสได้ว่าไม่เป็นธรรมชาติและไม่เป็นตัวเรา

เหมือนกับคนพูดมากและคนพูดน้อย ถ้าให้คนพูดน้อยไปพูดเยอะ หรือให้คนพูดเยอะไปพูดน้อย มันก็ทำไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจใช้คอนเทนต์แบบเดียวกันในทุกแพลตฟอร์ม โดยยึดแนวคิดว่า คนอ่านอยู่ตรงไหน เราก็อยู่ตรงนั้น

โซเชียลมีเดียเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้อ่านได้ดีที่สุด ต่างจากในอดีตที่การสื่อสารสาธารณะต้องผ่านสื่อใหญ่ หรือสื่อโทรทัศน์เท่านั้น การมีโซเชียลมีเดียจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเชื่อมโยงผู้เขียนกับผู้อ่านได้อย่างใกล้ชิด

ผู้ติดตามของคิดมาก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน อายุระหว่าง 20-45 ปีที่ติดตามกันมายาวนาน หลายคนเป็นแฟนคลับที่ติดตามตั้งแต่ยุคแรกๆ บ้างก็หล่นหายไปตามกาลเวลา และอยู่ในช่วงวัยที่มีกำลังค้นหาความหมายหรือก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ ของชีวิต งานเขียนของศรจึงสะท้อนความเข้าใจในความรู้สึกนั้น ทำให้เพจคิดมากกลายเป็นพื้นที่ปลอบโยนและเติบโตไปพร้อมกับผู้อ่าน

 

| ข้อความฮีลใจเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

จุดกำเนิดคอนเทนต์มี 2 แบบคือ แบบตั้งใจคิด และ แบบการสั่งสมประสบการณ์

แบบตั้งใจคิด มาจากรื่องที่เราสนใจและอินอยู่ในช่วงเวลานั้นเลยอยากถ่ายทอดออกไป อีกแบบคือ เรื่องราวที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์จากแบบแรก บางทีก็คิดได้ตอนอาบน้ำ ก็ต้องรีบจดทันที หลักๆ คือเริ่มจากการคิดท็อปปิก และดราฟคอนเทนต์ไว้ โดยจะโพสต์ตามช่วงเวลาที่เหมาะสมกับกาลเทศะ เช่น ช่วงเช้า เราคงไม่โพสต์อะไรเศร้าๆ แต่จะโพสต์เรื่องราวเชิงบวกที่เป็นเหมือนเครื่องดื่มยามเช้า หรือตอนกลางคืน ที่หลายคนมีอิสระทางความคิด เราก็จะโพสต์คอนเทนต์เชิงปล่อยใจฝัน อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างผันเปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละวัน เน้นคอนเทนต์ที่สอดคล้องไปกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน 

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมคอนเทนต์ของผมถึงดูหลากหลาย ทั้งเรื่องความรู้สึก ความสัมพันธ์ การคิดเชิงบวก และกฎแรงดึงดูด ซึ่งก็แล้วแต่ช่วงเวลา จริงๆ แล้วมันก็มาจากการที่ผมสังเกตความรู้สึกของตัวเองในแต่ละวัน ผมเชื่อว่าความรู้สึกของเราในแต่ละวัน ส่งผลต่อสิ่งที่เราคิดและสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ผมยังให้ความสำคัญกับเรื่องของความสัมพันธ์ในมิติของสภาพแวดล้อม ผมมองว่าการที่คนคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นได้มีองค์ประกอบ 2 ส่วนคือ มาจาก DNA ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด อีกอย่างคือสภาพแวดล้อม ที่หมายถึง ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เจอแต่คนดีๆ เราก็จะมีทัศนคติที่ดี ผมอยากให้คอนเทนต์ของผมเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจทุกคน

สิ่งสำคัญคือ ต้องเชื่อที่จะทำในสิ่งที่ดี

| ก่อนหน้านี้คุณพูดถึงกฎแรงดึงดูด เป็นเรื่องที่คุณกำลังอินอยู่ตอนนี้ใช่หรือไม่ เล่าให้ฟังหน่อยว่าการ Manifest ส่งผลต่อชีวิตคุณอย่างไร

ผมไม่ได้เป็นคนที่อ่านเรื่องกฎแรงดึงดูดแล้วนำมาปรับใช้จนทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จในทันที แต่การได้รู้จักกับแนวคิดนี้ทำให้ผมมองย้อนกลับไปและเข้าใจว่าหลายสิ่งที่เขาทำมาตลอด คือการใช้มันโดยไม่รู้ตัว 

การ Manifest สำหรับผมไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมาย แต่เป็นการกล้าคิดถึงสิ่งดีๆ ที่ต้องการจะให้เกิดขึ้นในชีวิต และมีความเชื่อมั่นว่ามันจะเป็นของเราในที่สุด สิ่งสำคัญคือ ต้องเชื่อที่จะทำในสิ่งที่ดี

มันคือการทำให้ตนเองให้ความสำคัญกับการรักษาอารมณ์ให้คงที่มากที่สุด เพราะเราไม่ได้มีวันที่ดีทุกวัน การใช้ชีวิตจึงต้องมีสติ และอารมณ์ที่มีในแต่ละวันสามารถดึงดูดบางสิ่งบางอย่างเข้ามาหาเราได้ การคิดบวกไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้พบเจอสิ่งดีๆ แต่ยังช่วยลดความเป็นไปได้ที่จะดึงดูดพลังลบเข้ามาในชีวิต

 

คนยุคนี้ต้องการประสบความสำเร็จเร็ว ท่ามกลางสังคมเต็มไปด้วยความเครียด อาจไม่ได้ส่งเสริมให้เราคิดเชิงบวกเท่าไรนัก คุณมองเรื่องนี้ยังไง

เป็นประเด็นที่มีผู้อ่านถามเข้ามาเยอะเหมือนกัน ต้องบอกว่าผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นไลฟ์โค้ช และจะไม่มีวันเป็นไลฟ์โค้ช เราไม่สามารถแนะนำชีวิตใครได้ ในขณะที่เราก็ยังเขียนหนังสือเพื่อเยียวยาความรู้สึกตัวเองอยู่เลย แล้วเราจะแนะนำได้อย่างไร สิ่งที่ทำได้ดีคือ การรับฟัง

สำหรับผมแล้ว การคิดเชิงบวกไม่ใช่เรื่องยาก และเป็นธรรมชาติของตนเองอยู่แล้ว ทุกอย่างเกิดจากการอ่าน การฟัง และการเสพสื่อในแบบที่ชอบมาตั้งแต่แรก ทำให้การมองโลกในแง่ดีไม่ใช่สิ่งที่ต้องฝืนทำ แต่เป็นเหมือนระบบอัตโนมัติที่คอยนำทางผมให้เห็นด้านที่ดีของทุกสิ่ง

เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เหมือนทุกวันที่ผ่านมา

| 14 ปีในฐานะนักเขียนความสุขของคุณคืออะไร 

ความสุขของผมมีสองส่วนคือ ความสุขจาก ‘การให้’ และ ‘การได้เขียน’ สำหรับผมการเขียนเป็นเหมือนการปลดปล่อยและระบายความคิดความรู้สึกของตัวเอง วันไหนไม่ได้เขียน ก็เหมือนกับไม่ได้กินข้าว ไม่ได้คุยกับใคร ส่วนที่สองคือ ความสุขจากการได้รับกำลังใจจากผู้อ่าน การได้พบปะและพูดคุยกับนักอ่านตามงานหนังสือ สิ่งเหล่านี้ช่วยยืนยันถึงคุณค่าของสิ่งที่เขียน มีผู้อ่านบางคนที่เป็นโรคซึมเศร้า กำลังเผชิญกับความเดียวดาย การได้พูดคุยกับนักอ่านก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้เขียนได้ในทุกวัน

| คุณเคยมีโมเมนต์ที่รู้สึกว่าคำคมเหล่านี้ไม่สามารถเยียวยาใจตัวเองได้บ้างไหม

มีครับ แต่ว่าสุดท้ายในช่วงเวลาที่ประโยคคำคมเอาเราไม่อยู่ สิ่งที่ทำให้เราผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ก็คือประโยคธรรมดาๆ ประโยคหนึ่ง ซึ่งเป็นประโยคติดปากผมและนำไปตั้งชื่อหนังสือคือ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เหมือนทุกวันที่ผ่านมา เวลาที่ผมเจอช่วงเวลาแย่ๆ ผมจะบอกตัวเองว่า เศร้าก็เศร้า เครียดก็เครียด ช่วงเวลานี้จะไม่ดำรงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเหมือนทุกวันที่ผ่านมา อาจจะไม่ได้ฮีลใจมาก แต่ก็ทำให้ผมผ่านช่วงเวลาที่ไม่ดีมาได้

3 ปัญหาหนักใจของคนยุคนี้

หมดไฟหรือแค่เหนื่อย?

| ด้วยความที่การเขียนเป็นสิ่งที่รัก และเป็นอาชีพ ซึ่งก็มีคำพูดที่บอกว่า อย่าเอาสิ่งที่รักมาเป็นอาชีพ การต้องเขียนทุกวันเป็นเวลาหลายปี คุณเคยมีอาการหมดไฟที่จะเขียนหรือไม่

จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยรู้สึกเบิร์นเอาท์เท่าไร แต่ก็มีบางช่วงที่รู้สึกเหนื่อยล้า อย่างวันที่เลิกงานดึก ฝนตก รถติด ซึ่งทำให้รู้สึกหมดแรงบ้าง แต่ก็เป็นการเบิร์นเอาท์สั้นๆ แค่ได้อาบน้ำ กินข้าว ทุกอย่างก็กลับมาดีเอง เพียงปล่อยให้เวลาช่วยฟื้นฟูจิตใจ และพอได้ผ่อนคลาย ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

| มีคำแนะนำสำหรับผู้อ่านที่รู้สึกหมดไฟกับการทำงานหรือชีวิตประจำวันไหม

การหมดไฟมี 2 แบบ คือ ระยะสั้น และระยะยาว ถ้าเป็นหมดไฟระยะยาว อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าเราอาจอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะสมหรือทำในสิ่งที่ไม่ใช่ ผมมองว่าทุกคนคือเมล็ดพันธุ์ที่สวยงาม และมีสิทธิ์ที่จะเติบโต แต่ถ้าเมล็ดพันธุ์นั้นอยู่ในผืนดินที่ไม่เหมาะสม ต่อให้เมล็ดพันธุ์ดียังไงก็ไม่โต ดังนั้น ควรหาพื้นที่ที่เหมาะสมกับตัวเอง

แต่หากเป็นระยะสั้น แนะนำให้พักผ่อน 2-3 วัน และอนุญาตให้ตัวเองผิดพลาดบ้าง เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ไม่ต้องดีทุกอย่าง และความผิดพลาดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เสมอไป

อย่าลืมว่า ความผิดพลาดของเราเป็นเรื่องใหญ่แค่วันนี้วันเดียว แล้วจะค่อยๆ เล็กลงในวันถัดไป และเมื่อเวลาผ่านไปมันจะกลายเป็นบทเรียนที่มีคุณค่ามากขึ้น

เจ็บช้ำจากความสัมพันธ์ที่ไม่สมหวัง

| ความสัมพันธ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนยุคนี้เกิดปัญหาโรคซึมเศร้ามากขึ้น คุณมีคำแนะนำสำหรับคนยุคนี้ไหม

ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้เจอกันด้วยความบังเอิญ แต่เจอกันด้วยเหตุผลบางอย่างที่นำพามาเพื่อให้เราได้เรียนรู้บางสิ่ง แม้ความสัมพันธ์จะจบลง สุดท้ายก็ยังมีสิ่งที่ยังดำรงอยู่ เช่น แฟนเก่าบางคนทำให้คุณได้รู้จักร้านอาหารอร่อยๆ และกลายเป็นร้านประจำของคุณไปในที่สุด หรือแฟนเก่าที่แนะนำให้คุณเลือกสมัครงานที่นี่ บางคนที่เข้ามาในชีวิตอาจไม่ใช่เพื่ออยู่กับเราไปตลอด แต่อาจจะมาเพื่อให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น หรือรักตัวเองมากขึ้น จงเรียนรู้และขอบคุณในสิ่งนั้น

ที่สำคัญความสุขของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น แม้ว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม การได้อยู่กับเพื่อนหรือครอบครัวจะเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้เราได้จริง แต่การใช้เวลาอยู่กับตัวเองก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สร้างความสุขได้ไม่แพ้กัน

ดังนั้น อย่าเอาความสุขของเราไปฝากไว้กับคนอื่นเสียหมด จงเหลือและเผื่อความสุขของเราไว้ที่ตัวเองบ้าง เพราะวันที่คนที่เป็นความสุขของเราหายไปเรายิ่งต้องเอาความสุขตรงนั้นมาเติมให้ตัวเองมากขึ้น

รับมือกับความเครียดและความกดดันจากการทำงาน

| ในยุคที่ทุกคนต่างเร่งรีบและเผชิญหน้ากับความกดดันในการทำงาน ความเครียดจึงกลายเป็นเรื่องปกติที่หลายคนต้องเจอ คุณมีคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณจัดการกับความเครียดและก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้

ชีวิตนั้นมีวันที่ไม่เป็นดั่งใจ วันที่ความหนักอึ้งเข้ามาจนเรารู้สึกแทบจะทนไม่ไหว แต่อยากให้ทุกคนอย่าหลงลืมไปว่าเราทุกคนล้วนใฝ่ฝันที่ต้องการจะมีชีวิตที่ดี และเรายังมีโอกาสในการสร้างชีวิตที่ดีได้ ตราบใดที่เราไม่ปล่อยให้ความหวังและกำลังใจหลุดลอยไป

366 วันกับการชื่นชมและเห็นคุณค่าของตัวเอง

| ตลอดระยะเวลา 14 บนถนนสายนักเขียน ศรมีหนังสือมาแล้วกว่า 33 เล่ม นั่นเพราะเขาได้สัญญากับตัวเองว่าปัจจุบันศรมีหนังสือแล้ว 33 เล่ม ซึ่งมาจากการสัญญากับตัวเองว่าประมาณ 2 ไม่เกิน 3 เล่ม และในการสนทนาครั้งนี้ เราจึงโอกาสพูดคุยถึงหนังสือ 2 เล่มล่าสุด นั่นคือ ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดวงดาว และ ทุกวันคือของขวัญจากตัวเอง

สำหรับหนังสือ ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดวงดาว เป็นหนังสือเล่มแรกและ (เกือบ) ล่าสุดของผมที่นำมาทำใหม่ ไม่ใช่แค่พิมพ์ใหม่ แต่มีการเขียนเนื้อหาใหม่ เปลี่ยนปกใหม่ ด้วยความที่เล่มแรกเป็นคำคมสั้นๆ 140 ตัวอักษรจากทวิตเตอร์ ในปี 2024 เราจึงนำข้อความเหล่านั้นมารีไรต์และเขียนขยายเป็นเรื่องราว และสุดท้ายเรานำข้อความเหล่านั้นมาเขียนขยายเป็นบทความเป็นเรื่องราวที่ลึกซึ้ง หากใครต้องการรู้จักตัวตนนามปากกาคิดมาก ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดวงดาว ก็เป็นเหมือนบทสรุปของชีวิตและการเติบโตได้อย่างดี

มาถึงเล่มล่าสุด ทุกวันคือของขวัญจากตัวเอง เป็นอีกเล่มที่พิเศษไม่แพ้กัน เพราะเป็นการร่วมงานครั้งแรกระหว่างคิดมากและคิ้วต่ำ เป็นนักเขียนที่คุยถูกคอตามประสาคนอินโทรเวิร์ต สิ่งที่ผมค้นพบระหว่างทำหนังสือเล่มนี้คือความเหมือนในหลายเรื่อง ทั้งข้าสู่วงการในเวลาใกล้เคียงกัน สำนักพิมพ์เดียวกัน แม้แต่การเปิดหนังสือเล่มแรกก็ที่เดียวกัน จึงคิดว่าควรมีโปรเจกต์ด้วยกัน หนังสือ ทุกวันคือของขวัญจากตัวเอง มีความหนามากกว่า 366 หน้า มาจากจำนวนวันในปี 2024 โดยในแต่ละหน้ามีคำชมตัวเองที่ผมเขียนเพื่อให้ผู้อ่านได้สัมผัสถึงคุณค่าในตัวเอง และภาพวาดสี่สีทั้งเล่มโดยฝีมือคุณคิ้วต่ำ

เล่มนี้เป็นเล่มที่เขียนยากที่สุด เพราะต้องเขียนคำชมให้ตนเองถึง 366 เรื่อง โดยปกติเวลาเราทำหนังสือสักเล่ม เราจะมีหัวข้อ 30-40 หัวข้อ แต่เล่มนี้เราได้รับโจทย์ว่า 366 วันแห่งการขอบคุณตัวเอง นั่นหมายความว่าเราต้องขอบคุณตัวเอง 366 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “ฉันเก่งมากๆ” “อย่าให้ความรู้สึกเป็นลบ” หรือ “ยิ้มให้ตัวเองทุกวัน” การเขียนหนังสือเล่มนี้ใช้เวลากว่า 4 เดือน กว่าจะได้ผลงานที่รู้สึกภาคภูมิใจ คนอ่านสามารถใช้หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนไดอารี่ที่เปิดอ่านทุกวันเพื่อเตือนตัวเองถึงคุณค่าและชื่นชมตนเองได้ในทุกๆ วัน

“จงอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข”

| คำถามสุดท้าย เราไม่อาจมีวันที่ดีทุกวันได้เสมอไป คุณอยากบอกอะไรกับผู้อ่านที่เป็นเหล่านักสู้ (ชีวิต) ในวันนี้

สิ่งที่อยากบอกคือ จงอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข เพราะสังคมปัจจุบันมักย้ำเตือนให้เรามุ่งหวังความสำเร็จ ต้องมีความ productive และก้าวไปข้างหน้าให้ได้ตลอดเวลา เพียงเสี้ยวเวลาที่ได้มีความสุขกับการกินอาหารอร่อยๆ ปล่อยดูซีรีส์ หรือไปเที่ยวก็พาให้รู้สึกผิดกับตัวเองได้ง่าย ผมว่าความสุขเหล่านี้หล่อหลอมให้เราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เครื่องจักรที่ต้องผลิตผลงานตลอดเวลา

ถ้าเราอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขแล้วเดี๋ยวสิ่งดีๆ จะตามมา และที่สำคัญคือ การรักษาความหวังในตัวเองไว้เสมอ เราสูญเสียศรัทธาในอะไรก็ได้ แต่อย่าสูญเสียศรัทธาในตัวเอง ไม่ว่าความคาดหวังจากคนอื่นจะหนักหนาแค่ไหน ให้กลับมาหาศรัทธาในตัวเอง เพราะการรักษาศรัทธาในตัวเองเป็นพลังที่สำคัญที่จะนำพาเราไปสู่ชีวิตที่ดีได้ในอนาคต

เพราะเราทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญในโลกอันกว้างใหญ่ ชวนฟัง 8 วลีที่อาจช่วยปลอบประโลมเราได้ในปี 2024 นี้

บางครั้งสิ่งที่เราต้องการนั้นก็อาจเป็นเพียงแค่กำลังใจ หรือคำพูดดีๆ จากใครสักคนที่ปลอบประโลมเราในช่วงเวลาที่ยากลำบาก