
YOLO : Please Handle with Care เพราะเรามีแค่ ‘ชีวิตเดียว’ จึงควรใช้ให้คุ้มค่า
เมื่อเห็นคำว่า Fragile ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงคำนี้เข้ากับชีวิตของคนเรา เพราะ ‘Fragile’ แปลว่า ‘เปราะบาง’ หรือ ‘แตกสลายได้’ ไม่ต่างอะไรกับชีวิต
“ถ้าข้าวของในห้องมันอัดแน่นและวางกองเรี่ยราด
มันอาจจะส่งเสริมให้เรารู้สึกวิตกกังวล หงุดหงิด และรู้สึกวุ่นวายได้”
พอพูดถึงการดูแลและใส่ใจสุขภาพจิต หลายคนอาจจะนึกถึงการทำสมาธิ การได้ลองอยู่กับตัวเอง การปรับมายเซ็ต การออกไปหางานอดิเรกหรือหากิจกรรมผ่อนคลายอารมณ์ บางคนใช้ศิลปะบำบัดความเครียด ใช้เสียงบำบัดความกังวล ตลอดจนหา Support System ที่คอยรับฟังและอยู่เคียงข้าง ฯลฯ ซึ่งจริงๆ แล้ว นอกเหนือจากสิ่งที่เราพูดมาทั้งหมด ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่บางคนอาจมองข้าม หรือไม่ทันได้คิดเลยว่า สถานที่ที่เราอยู่ทุกวันอย่าง ‘ห้องนอน’ หรือ ‘บ้าน’ ของเราเองนี่แหละ จะมีผลต่อสุขภาพจิตของเรา และสไตล์การแต่งห้องของเราเอง ก็มีส่วนกำหนดให้น้องลั้ลลา น้องเศร้าซึม น้องกลั๊วกลัว น้องฉุนเฉียว หรืออีกล้านอารมณ์ในหัวไหนๆ จะออกมาทักทายเราระหว่างวัน
เพราะปัจจัยภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมภายนอก มันส่งผลต่อปัจจัยภายในมากกว่าที่หลายคนคิด เนื่องจากการแต่งห้อง แต่งบ้าน แต่งคอนโด หรือแม้ตกแต่งสเปซส่วนตัวของเราอย่างโต๊ะทำงาน หรือมุมอ่านหนังสือ มีส่วนช่วยให้สุขภาพจิตของเราดีขึ้นได้ เหมือนที่บางคนรู้สึกอารมณ์ดี๊ดีหลังจัดห้องหรือทำความสะอาดห้องเสร็จใหม่ๆ บ้างก็ชอบย้ายนู่น ย้ายนี่ เพิ่มเฟอร์นิเจอร์เก๋ๆ เข้ามาตกแต่ง เพื่อแสดงออกถึงสไตล์ของตัวเอง ซึ่งวันไหนที่เราต้องเผชิญวันแย่ๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเราแวดล้อมไปด้วยสิ่งที่เราชอบ มองไปทางไหนก็ชอบไปหมด วันนั้นเราก็อาจจะมองเห็นสิ่งดีๆ รอบตัวได้บ้าง เพราะอย่างน้อยก็ยังมีห้องของเรานี่แหละ ที่เลิศ!
กลับกัน หากเราปล่อยห้องทิ้งไว้ให้รกรุงรัง หรือกระทั่งมองแล้วไม่สบายตา ก็มีส่วนทำให้เราเกิดความไม่สบายใจ และฟุ้งซ่านได้เหมือนกัน เอาล่ะๆ หากใครอยากบูสต์ บูสต์ บูสต์ เอเนอร์จี้ของเราด้วยการแต่งห้อง แต่งบ้าน บทความนี้มีคำตอบมากมาย ถึงเบื้องหลังที่การแต่งห้องกลายเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ที่ช่วยปรับอารมณ์ของเราให้ดีขึ้นได้
| ความปลอดภัยทางใจ เริ่มจาก ‘สไตล์’
จากคำกล่าวของ Lily Bernheimer นักวิจัยด้านจิตวิทยาสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบ และเขียนหนังสือ The Shaping of Us : How Everyday Spaces Structure Our Lives, Behaviour, and Well-Being เธอพบว่าเมื่อเด็กๆ ถูกขอให้วาดภาพ ‘บ้าน’ ขึ้นมา พวกเขามักจะวาดบ้านที่มีหลังคาแหลมสูงทรง 3 เหลี่ยม แม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในแฟลตก็ตาม ซึ่งเธอกล่าวว่า การที่เด็กวาดหลังคาแบบนั้น เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรู้สึกปลอดภัยกับบ้านลักษณะนั้น เป็นเหมือนสถานที่หลบภัยบางอย่างที่พวกเขาต้องการ โดยที่แต่ละคนก็คงมีสถานที่ที่รู้สึกปลอดภัยที่แตกต่างกันออกไป
ดังนั้นการออกแบบบ้าน หรือการแต่งห้องที่สอดคล้องกับความรู้สึกปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย จึงเกี่ยวข้องกันตามหลักจิตวิทยาโดยไม่ต้องสงสัย เหมือนที่ Maggie’s องค์กรมะเร็งที่ก่อตั้งโดยนักออกแบบ Landscape อย่าง Maggie Keswick-Jencks และ Charles Jencks ซึ่งสร้างศูนย์บริการในหลายพื้นที่รอบสหราชอาณาจักร ที่ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับไปโรงพยาบาล เพราะดูทันสมัย อบอุ่น และเหมือนผู้ป่วยมาพักผ่อนกันเสียมากกว่า เพราะจุดมุ่งหมายของพวกเขาคือ การออกแบบสภาพแวดล้อมให้ผู้มาเยือนรู้สึก ‘มีความหวัง’ ไม่ใช่สร้างความหดหู่ อย่างที่ไทยเอง ก็ให้นึกถึง โรงพยาบาลราชพฤกษ์ ที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมือนบ้านสวนเพื่อให้ธรรมชาติบำบัดผู้ป่วย และตั้งตัวเป็น ‘โรงพยาบาลที่มีสภาพแวดล้อมเพื่อการเยียวยา’ (Healing Environment Hospital) โดยเฉพาะ
ขั้นต้นแล้ว เราจึงต้องหาสไตล์ที่ใช่ และเราคิดว่าสบายใจต่อกาย และใจมากที่สุด ในการแต่งห้อง หรือออกแบบบ้านเสียก่อน เพราะนั่นอาจมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเราโดยตรง แต่ไม่ว่าคุณจะชอบห้องแนวมินิมอล แนววินเทจ แนวน่ารักๆ แนวธรรมชาติ แนวโมเดิร์น แนวคอนเทมโพรารี่ หรือแนวอะไรก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า ห้องนั้นไม่ควรจะ ‘รก’ ตามที่ Michal Matlon นักจิตวิทยาด้านสถาปัตยกรรม ขยายความว่า หากห้องของเราอีเหละเขะขะ หรือมองดูแล้วไม่โฟลวเอาเสียเลย มันก็มีส่วนสร้างความรู้สึกวุ่นวายใจ และเพิ่มความวิตกกังวลได้ เพราะ
“แม้ว่าคนจะไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันออกมาจากสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นมันสามารถกำหนดอารมณ์และฟังก์ชั่นของเราได้ตลอดทั้งวันเลยล่ะ”
| สีและแสง ช่วยปรับมู้ด ปรับ ‘อารมณ์’
“สีมีผลต่อประสาทสัมผัสของมนุษย์อย่างมาก มันมีบทบาทสำคัญต่อวิธีคิดของเราและความรู้สึกของเรา”
หากว่ากันตามคำกล่าวของ Sofia Vyshnevska ผู้เชี่ยวชาญด้านที่อยู่อาศัย นั่นแปลว่า สีของห้องที่เราอยู่ สีของบ้าน สีของเฟอร์นิเจอร์ ล้วนมีผลต่ออารมณ์ของเราด้วยกันทั้งนั้น เวลาเราอยู่ห้องสีขาว เราอาจรู้สึกอีกแบบ เวลาเราอยู่ห้องสีดำ เราอาจรู้สึกอีกแบบ เวลาเราอยู่ห้องสีเหลือง เราอาจรู้สึกอีกแบบ เพราะ “สีที่ต่างกันให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน” แล้วตอนนี้ห้องของคุณกำลังมีสีอะไรในภาพรวม?
สำหรับสีที่ทำให้ร่างกายเราเย็นลง ไปพร้อมกับใจเราสงบลงตาม คุณว่ามันคือสีอะไรบ้าง? ถ้าคำตอบในใจคือ สีเขียวตุ่นๆ สีเหลืองเข้ม หรือสีน้ำตาล เป็นคำตอบที่ถูกต้องนะคะ เพราะนี่ถือเป็นเหล่าสีในตระกูลเอิร์ธโทนทั้งหลายที่เลียนแบบสีของธรรมชาติที่มีส่วนทำให้เรามองพวกมันแล้วใจเย็นลงตามคำแนะนำของ Sofia Vyshnevska
บางการศึกษาก็พบว่า จริงๆ การใช้สีฟ้าแต่งห้อง หรือสีลาเวนเดอร์แต่งบ้านเนี่ย ก็ช่วยลดความเครียดได้เช่นกัน เพราะว่ามันเป็นสีโทนเย็นที่ดูสงบนั่นเอง กลับกัน หากใครรู้สึกอยากสดใส หรือสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้โลดแล่นในหัว การใช้สีแดง ส้ม หรือเหลือง ก็อาจช่วยได้เช่นกันนะ
ส่วนในมุมจิตวิทยา สีที่บางครั้งแม้จะชอบมาก แต่อาจจะต้องเลี่ยง เพราะมันอาจส่งผลต่ออารมณ์ของเราได้ก็มีเหมือนกันนะ จากประสบการณ์ของ Asia Ligas ผู้เป็น Design Experience Manager ที่ Block Renovation กล่าวว่า “สีที่มีความอิ่มตัวต่ำ ก็อาจจะส่งผลต่อคนที่กลัวที่แคบได้ และสีที่สดมากๆ อย่าง สีชมพูสดใส สีเทอร์ควอยซ์ หรือสีเขียวมะนาว ก็สามารถสร้างความสับสนวุ่นวายได้เช่นกัน”
และ ดร. Joel Frank นักจิตวิทยา และนักประสาทวิทยา ก็เน้นย้ำว่า
“องค์ประกอบการตกแต่งภายในที่ทรงพลังมากที่สุดต่อสุขภาพจิต ได้แก่ การเลือกสี อุณหภูมิแสง และแปลนพื้นที่ ความสมดุลที่เหมาะสมระหว่างสามสิ่งนี้จะส่งผลต่ออารมณ์และความคิดของผู้คน”
| การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ และการจัดวาง สำคัญกว่าที่คิด!
ใครชอบปล่อยให้ห้องรก ไม่ว่าจะเพราะไม่มีเวลาให้จัด หรือจะขี้เกียจจัดอยากนอน มุงทางนี้ด่วนนนนน เพราะจากการศึกษาของ Princeton บ้านที่สะอาดและเป็นระเบียบจะนำไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้นได้ ในทางตรงกันข้าม ใครที่นอนอยู่ในห้องรกๆ ดร. Joel Frank ก็บอกว่า “ถ้าข้าวของในห้องมันอัดแน่นและวางกองเรี่ราด มันอาจจะส่งเสริมให้เรารู้สึกวิตกกังวล หงุดหงิด และรู้สึกวุ่นวายได้”
นอกจากนี้การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ก็มีส่วนที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตเราได้เช่นกัน โดย Michal Matlon นักจิตวิทยาด้านสถาปัตยกรรม แชร์ว่า การใช้ฟอร์นิเจอร์ “รูปทรงโค้งมนแทนรูปทรงที่มีมุมแหลม จะสร้างความรู้สึกสบายใจ และลดความรู้สึกถูกคุกคามลงได้” และเสริมว่า “เรายังสามารถใช้รูปทรงเรขาคณิตที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ จนถึงความสมมาตร ความโค้ง และแพตเพิร์นแฟร็กทัลในการเลือกงานศิลปะ ของตกแต่ง หรือพื้นผิวสำหรับสิ่งทอได้ด้วย”
ซึ่งเฟอร์นิเจอร์บางชิ้น หรือการออกแบบบ้าน ก็อาจสร้างความรู้สึกที่แตกต่างกันไปได้ด้วย มีบางการศึกษาเหมือนกันนะที่พบว่า บ้านที่มีกระจกเยอะๆ อาจทำให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้นได้ บางห้องจึงไม่ควรมีกระจก หรือบางการศึกษาก็พบว่าห้องที่มีเพดานสูงๆ จะเป็นสเปซที่เอื้อต่อการใช้ความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย!
สุดท้าย เราเชื่อว่า ต้องมีผู้อ่านหลายคนที่ชอบซื้อต้นไม้มาตกแต่งห้อง ซึ่งทำต่อไปได้เลย มันดีต่อใจจริงๆ นั่นแหละ เพราะตามรายงานของ Journal of Environmental Psychology พบว่า หนึ่งในวิธีแต่งบ้านเพื่อปรับอารมณ์ให้สงบ และลดความเครียด นั่นก็คือการวางต้นไม้ในบ้าน
นี่ก็เป็นแนวทางการแต่งบ้านคร่าวๆ ที่น่าลองเอากลับไปปรับใช้ให้เข้ากับตัวเองที่สุด ใครมีทริคแต่งบ้าน แต่งห้องแบบไหน ที่เวิร์คๆ บ้าง ก็มาป้ายยาเรากันได้นะ
Writer | พัชญ์สิตา ไพบูลย์ศิริ
Illustrator | Arunnoon
เมื่อเห็นคำว่า Fragile ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงคำนี้เข้ากับชีวิตของคนเรา เพราะ ‘Fragile’ แปลว่า ‘เปราะบาง’ หรือ ‘แตกสลายได้’ ไม่ต่างอะไรกับชีวิต
ชวนทุกท่านมารู้จักกับ ‘โพโมโดโร’ (POMODORO) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีการทำงานและแบ่งเวลาที่อาจกำลังบอกเราว่า หากจะมี work-life balance ที่แท้จริงได้นั้น อาจเริ่มจากการคิดเรื่อง ‘เวลาพัก’
หลายครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงเวลาที่เราอยากขมักเขม้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีและทำงานเสร็จสิ้นได้ตามเวลานั้น เหล่านั้นอาจเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่สมองและจิตใจของเราจะหลุดลอยล่องไปตามความคิดใหม่ๆ