The Present Move

ทำความเข้าใจบาดแผลในวัยเด็ก ที่อาจหล่อหลอมให้เราเป็นเราในทุกวันนี้

The Present Move | Mindful Global Citizens

คุณเคยรู้สึกว่าแม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่บางครั้ง
ก็ยังรู้สึกเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ต้องการความรัก
และความสนใจไหม?

ต้องการความสนใจ
โหยหาความรัก
ชอบทำอะไรคนเดียว

นั่นเป็นเพราะภายในใจของเราอาจมีความเป็นเด็กในตัวหรือ ‘Inner Child’ ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่การเป็นเด็กที่สนุกกับการเล่นอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงส่วนหนึ่งของจิตใจที่ยังคงได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์วัยเด็ก ซึ่งนั่นมีผลต่อการเป็นตัวเราในปัจจุบัน 

คำว่า ‘Inner Child’ หรือ ‘เด็กในตัวเรา’ ในทางจิตวิทยาอธิบายถึงส่วนหนึ่งของจิตใจที่ได้รับอิทธิพลจากวัยเด็ก และส่งผลต่อการใช้ชีวิตในทุกวันนี้ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเน้นถึงความสำคัญของประสบการณ์ในวัยเยาว์ ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรม ความคิด และอารมณ์ของเราขณะเติบโต

บทความนี้จะพาคุณสำรวจว่าเพราะเหตุใด Inner Child จึงมีความสำคัญ อะไรคือสิ่งกระตุ้นให้เกิด Inner Child และคุณจะเข้าถึงเด็กในใจในตัวเองเพื่อเริ่มต้นการเยียวยาได้อย่างไร 

| เพราะเหตุใด Inner Child ถึงสำคัญ?

แนวคิดเรื่อง Inner Child ถูกนำเสนอครั้งแรกโดยคาร์ล ยุง (Carl Jung) นักจิตบำบัดและนักจิตวิทยาสายจิตวิเคราะห์ ที่มีจุดเริ่มต้นจากการตั้งคำถามเกี่ยวกับการขับเคลื่อนอารมณ์หลายอย่างในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อเราไม่รู้ตัวถึงการมีอยู่ของมัน

เปรียบเหมือนรากฐานของตัวตนและประสบการณ์วัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นช่วงมีความสุข ความเหงา ความกลัว หรือความเจ็บปวด ทุกเรื่องราวล้วนมีส่วนในการหล่อหลอมให้เราเป็นเราในวันนี้

หากคุณรู้สึกถึงการมีอยู่ของ Inner Child จะช่วยให้คุณจัดการอารมณ์และพฤติกรรมได้อย่างมาก เช่น การต้องการความรัก ต้องการการยอมรับมากเกินไป กลัวการถูกปฏิเสธ การระเบิดอารมณ์ หรือกลัวโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งอาจมีต้นตอจากประสบการณ์ในวัยเด็กที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา  

| องค์ประกอบที่ทำให้เกิด Inner Child
มีหลายแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในวัยเด็ก ความรู้สึก
และความต้องการที่ยังไม่สมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่น

  1. ความทรงจำและประสบการณ์ในวัยเด็ก : ประสบการณ์ในวัยเด็กไม่ว่าจะดีหรือร้ายจะส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ เช่น หากเราเติบโตมาในครอบครัวที่ให้ความรักและความอบอุ่น เราอาจเติบโตเป็นคนที่เชื่อมั่นในความรักและความสัมพันธ์ที่ดี ในทางกลับกัน หากเราเผชิญกับความเจ็บปวด ถูกทอดทิ้งหรือขาดความรัก อาจทำให้เรามีความกลัวหรือความไม่มั่นคงในความสัมพันธ์เมื่อเป็นผู้ใหญ่

  2. ความรู้สึกและอารมณ์ : อารมณ์ในปัจจุบันของเราหลายครั้งมาจากเด็กในตัวเอง เช่น เมื่อพบเจอสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกโกรธหรือเศร้า บางทีอาจเป็นเพราะเหตุการณ์คล้ายๆ กับประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็ก เช่น คนที่เคยถูกวิจารณ์หรือกดดันจากพ่อแม่ อาจมีแนวโน้มที่จะโกรธหรือต่อต้านเมื่อได้รับคำวิจารณ์จากคนอื่นๆ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

  3. ความต้องการและความปรารถนา : ความต้องการที่ไม่เคยได้รับการเติมเต็มในวัยเด็ก เช่น การต้องการความรัก ความปลอดภัย หรือความยอมรับ อาจสะท้อนออกมาในพฤติกรรมเมื่อโตขึ้น ตัวอย่างเช่น คนที่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ อาจพยายามหาการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานหรือคู่ชีวิตอย่างไม่สิ้นสุด หรืออาจรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอ

| Inner Child สามารถแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบ
ในชีวิตประจำวัน ซึ่งในบางครั้งเองเราอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เช่น 

  1. การต้องการความสนใจ : เมื่อรู้สึกเหงาหรือเบื่อหน่าย อาจแสดงออกโดยการเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น เช่น การโพสต์โซเชียลมีเดียบ่อยๆ หรือการโทรหาเพื่อนฝูงบ่อยครั้ง
  2. การเก็บสะสมของ : การสะสมของเล่น ของสะสม หรือสิ่งของต่างๆ อาจเป็นการพยายามเติมเต็มความรู้สึกขาดแคลนในวัยเด็ก
  3. การโหยหาความรัก : การเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีซ้ำๆ อาจเป็นการพยายามหาความรักที่เคยขาดหายไปในวัยเด็ก
  4. กลัวการถูกปฏิเสธ : การกลัวที่จะเข้าสังคมหรือสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ อาจเป็นเพราะเคยรู้สึกโดดเดี่ยวหรือถูกทอดทิ้ง
  5. ความวิตกกังวล : การรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตหรือสถานการณ์ต่างๆ อาจเป็นเพราะเคยเผชิญกับความไม่แน่นอนในวัยเด็ก
  6. การชอบทำอะไรคนเดียว : การชอบอยู่คนเดียวหรือทำกิจกรรมคนเดียว อาจเป็นการต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพื่อสำรวจตัวเอง

| อะไรที่กระตุ้น Inner Child ของเรา?

สิ่งที่กระตุ้น Inner Child ของเรามักเป็นประสบการณ์ในวัยเด็กที่สร้างบาดแผลทางจิตใจ ทั้งการถูกแกล้งหรือดูถูก ทำให้ขาดความมั่นใจ และกลัวการถูกปฏิเสธ เมื่อโตขึ้นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน อาจกระตุ้นให้บาดแผลเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง ทำให้รู้สึกเจ็บปวดและไม่มั่นคงในความสัมพันธ์กับผู้อื่น นั่นจึงทำให้ใครที่เคยถูกทอดทิ้งตอนเด็ก อาจกลัวการถูกทิ้งในความสัมพันธ์ หรือใครที่เคยถูกหัวเราะเยาะ อาจกลัวการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตัวเอง 

หรือเรื่องใกล้ตัวอย่างการไปทำงานสาย อาจทำให้บางคนรู้สึกวิตกกังวลเกินเหตุ กลัวว่าจะถูกตำหนิ ถูกดุด่า หรือถูกไล่ออก แม้ว่าปกติจะเข้าทำงานตรงเวลาและได้รับคำชมเสมอ ความกังวลนี้อาจเกิดจากการเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่มั่นคง ซึ่งเขาเคยถูกตำหนิหรือถูกทำร้ายร่างกายเพียงเพราะความผิดพลาดเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม Inner Child เป็นเหมือนเหรียญ 2 ด้าน ไม่ได้มีผลเชิงลบหรือเต็มไปด้วยความไม่พอใจเท่านั้น แต่ยังมีด้านสว่างที่เต็มไปด้วยความสุข ความมีชีวิตชีวา ความสนุกสนาน และความตื่นเต้นได้อีกด้วย เช่น ความอยากรู้อยากเห็นและความตื่นเต้นที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือจินตนาการเพื่อแก้ปัญหาหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะ หรือการใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติเพื่อแสวงหาความสงบสุขในชีวิต

| การตระหนักรู้ถึง Inner Child มีความสำคัญอย่างยิ่ง

เพราะช่วยให้เราเข้าใจที่มาของพฤติกรรมหรืออารมณ์ที่อาจดูไม่สมเหตุสมผลในบางครั้ง การดูแลและเยียวยา ‘เด็กในตัวเรา’ ช่วยให้เราเข้าใจตัวเอง รับมือกับปัญหาทางอารมณ์และความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น เช่น การจัดการกับความเจ็บปวดในอดีต การเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง
และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับผู้อื่น

| เมื่อเราเข้าใจ Inner Child แล้ว การเยียวยาบาดแผลในใจก็เป็นสิ่งสำคัญ  ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น

  1. การยอมรับความรู้สึก : ให้เวลากับตัวเองในการรับรู้ความรู้สึกต่างๆ และยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสุข ทุกข์ เศร้า โกรธ หรือกลัว เพราะเมื่อเราให้พื้นที่กับอารมณ์เหล่านี้ เราก็จะจัดการอารมณ์ได้ดีขึ้น
  2. การเชื่อมต่อกับอารมณ์ : ฝึกการเข้าใจและเชื่อมต่อกับอารมณ์ของตนเอง เมื่อรู้สึกว่ามีอารมณ์ที่รุนแรงเกิดขึ้น ลองถามตัวเองว่า มันเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในวัยเด็กหรือไม่
  3. เชื่อมต่อกับร่างกาย : การทำกิจกรรมที่ช่วยให้เราเชื่อมต่อกับร่างกาย เช่น การออกกำลังกาย หรือการทำสมาธิ ช่วยให้เราผ่อนคลายและรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น
  4. การให้ความรักและการดูแลตนเอง : การให้ความรักและการดูแลตนเองอย่างเต็มที่ จะช่วยเยียวยาความต้องการที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มในวัยเด็กได้
  5. สร้างความสัมพันธ์ที่ดี : การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ช่วยให้เรารู้สึกปลอดภัยและได้รับการสนับสนุน
  6. ให้อภัยตัวเอง : ทุกคนเคยทำผิดพลาด การให้อภัยตัวเองจึงเป็นการเริ่มต้นการเยียวยาบาดแผลที่สำคัญ

หากคุณต้องการทำความเข้าใจ Inner Child ของตัวเอง อาจเริ่มต้นจากการเขียนบันทึกเกี่ยวกับความรู้สึกและประสบการณ์ในวัยเด็ก เพื่อทำความรู้จักตัวเองในมุมที่ต่างไป และทำสมาธิเพื่อเชื่อมต่ออารมณ์ ความรู้สึกที่อยู่ภายในเพื่อปล่อยวางความคิดที่ไม่จำเป็น

ต้องบอกว่า การเยียวยา Inner Child เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อน ไม่ควรกดดันตัวเอง แค่เริ่มจากการสังเกตตัวเองและทำในสิ่งที่คุณรู้สึกดีก็พอ

ทั้งนี้ Inner Child เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนที่สำคัญมาก การทำความเข้าใจและดูแล Inner Child ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น หากคุณรู้สึกว่า Inner Child ของคุณกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของคุณ การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน

Pendulum Lifestyle มองชีวิตเป็นลูกตุ้มที่แกว่งไปมา มีขึ้นสูง ลงดิ่ง ไม่ได้บาลานซ์ทุกวัน 

การกดดันตัวเองตลอดเวลาว่า “ชีวิตฉันต้องบาลานซ์เท่านั้น!” อยู่ทุกวัน ถ้าไม่บาลานซ์สักวันแปลว่า ต้องมีอะไรผิดพลาด คิดแบบนี้บางครั้งมันก็… เหนื่อย

ตัวตนอาจไม่ใช่สิ่งที่ค้นหา แต่เป็นการสร้างขึ้นมา

เคยสงสัยไหม? เพราะอะไรใครต่อใครจึงมักพูดว่า “กำลังค้นหาตัวตน” เราบอกเล่าและกล่าวต่อสิ่งนี้ราวกับว่า ‘ตัว’ และ ‘ตน’ เป็นสิ่งที่เราต้องค้นหา

Introvert ก็ไม่ใช่ Extrovert ก็ไม่เชิง หรือเราจะเป็น ‘Ambivert’ มนุษย์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างความเงียบสงบและแสงสีเสียง

เคยรู้สึกสับสนไหมว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ จะอินโทรเวิร์ตก็ไม่ใช่ จะเอ็กซ์โทรเวิร์ตก็ไม่เชิง เพราะบางทีก็ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ แต่บางทีก็อยากออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรืออาจจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน?