เคยรู้สึกบางอย่างแล้วพูดออกมาไม่ได้ไหม? สิ่งเหล่านั้นอาจเกิดจากว่าเราไม่อาจยอมรับความรู้สึกตัวเอง ไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ หรือกระทั่งรู้ไม่เท่าทันกับความคิดบางอย่างที่ก่อตัวในใจ จนสับสน มึนงง และวุ่นวาย
ในหลายครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจเกิดขึ้นเพราะเราต้องการการรับฟัง และมีสาเหตุสำคัญมาจากความอัดอั้นที่ไม่ได้พูดออกไป ความในใจที่ก่อตัวคล้ายกับเมฆฝนที่เตรียมก่อตัวเป็นพายุ ภาวะทางอารมณ์ ความรู้สึก หัวใจ และสมองย่อมเชื่อมต่อกันและกันอย่างปฏิเสธไม่ได้
เมื่ออะไรสักอย่าง ‘ไม่โอเค’ สิ่งต่างๆ ที่เหลือก็อาจไม่โอเคตามไปอย่างแยกไม่ขาด และหากในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราอาจถูกบาดแผลทางสุขภาพจิตเล่นงาน นั่นจึงอาจเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะกลับมาทบทวนบาดแผลทางใจบางอย่างของเราอีกครั้ง และนั่นไม่ใช่เรื่องผิดปกติเลย เพราะมนุษย์เราย่อมมีวันที่ทั้งโอเคและไม่โอเคทั้งนั้นไม่ต่างกัน
หากเปรียบเทียบว่า ‘ช่องทาง’ ในการเข้ารับการรักษาหรือบำบัดเปรียบเสมือน ‘ประตู’ ความโชคดีก็คือมนุษย์เรามีหลากหลายศาสตร์และวิธีที่จะเป็นบานประตูให้คุณได้เข้าสู่การบำบัดทางใจ ขึ้นอยู่กับว่าวิถีชีวิตและความต้องการของคุณเป็นแบบไหน คุณสามารถ ‘เลือก’ เปิดประตูบานที่ใช่ได้อยู่เสมอ
และหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากลด ละ เลิกความคิดฟุ้งซ่าน และอยากกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะเพื่อทำความเข้าใจตัวตน การบำบัดแบบเน้นการพูดคุย การใช้ความคิด และปรับพฤติกรรมเพื่อเป็นหนทางในการแก้ไขปัญหา หรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Cognitive Behavioral Therapy (CBT) อาจเป็นการบำบัดที่เหมาะสมกับตัวตนและความต้องการของคุณ
ย้อนกลับไปสักทศวรรษก่อนหน้า CBT อาจไม่เป็นที่คุ้นหูของชาวไทยเท่าไรนัก หากแต่แท้ที่จริงแล้ว CBT ถือเป็นการบำบัดที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ตั้งแต่ยุคสมัยการบำบัดที่เน้นการปรับพฤติกรรมเป็นหลัก แต่ในภายหลังได้เริ่มนำเอาส่วนของความคิด (cognitive) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการบำบัดผ่านการที่ อารอน ที. เบ็ค (Aaron T. Beck) ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการบำบัดแบบ CBT ได้ยกสิ่งนี้เข้ามาผนวกใช้ ซึ่งนั่นทำให้การบำบัดในรูปแบบ CBT ต่างออกไปจากแนวคิดแบบจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ที่จะเน้นการบำบัดรักษาไปยังการกลับไปศึกษาปมบางอย่างของตัวตนในอดีต โดยที่ CBT จะเน้นการกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะเป็นพื้นฐานมากกว่า
พัฒนาการที่น่าสนใจของ CBT ยังไม่จบแค่นั้น แนวทางดังกล่าวนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิดบางประการในพุทธศาสนา ว่าด้วยการรับรู้ตน มีสติ เพื่อทำความเข้าใจกับตัวตนและความคิดของเราแต่ละคน ซึ่งส่วนนี้ยังได้รับอิทธิพลมาจากการที่เบ็คได้พบเจอกับท่าดาไลลามะอีกด้วย
สำหรับ ผศ.นพ.ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ The 101.World เอาไว้ว่า ถึงแม้ว่า CBT จะถูกใช้แรกๆ ในการบำบัดจากโรคซึมเศร้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังเอาไปใช้กับการแก้ไขปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตและการใช้ชีวิตได้
“จุดเด่นอย่างยิ่งของ CBT คือเป็นการรักษาทางจิตสังคมที่มีวิทยาศาสตร์รองรับมากที่สุด เพราะจะถูกตรวจสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ว่ากลไกของโรคเป็นแบบใด และกระบวนการรักษาเหล่านั้นที่ออกแบบมาก็มีการวิจัยก่อนว่าสามารถใช้กับคนไข้ได้จริงไหม” ผศ.นพ.ณัทธร กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ The 101.World
เว็บไซต์ ooca ระบุว่า การบำบัดในรูปแบบ CBT อาจเรียกได้ว่าเป็นการรักษา ‘ระบบความคิด’ ผ่านการรักษาทั้งสภาวะอารมณ์และการรักษาพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งให้น้ำหนักกับ ‘การปรับความคิด’ ให้กับผู้ที่มีความคิดแง่ลบ ซึ่งนั่นจะต่อยอดไปถึงการแสดงออกจากอารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น
ในลำดับขั้นตอนแรกๆ เราอาจเริ่มได้จาก ‘การประเมิน’ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และบอกเล่าความคิดและความรู้สึกที่เป็นอยู่ รวมถึงสำรวจ ‘ปัญหา’ ให้ผู้บำบัดได้รับฟัง และค่อยๆ สำรวจผ่านผู้เชี่ยวชาญไปทีละขั้นตอน
อย่างไรก็ดีการบำบัดรักษาด้วย CBT ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีที่ดีและในขณะนี้ก็เป็นที่ได้รับความนิยมในไทยมากยิ่งขึ้น แต่ก็มีข้อควรระวังอย่างมาก คือต้องคำนึงถึง ‘ความสะดวกใจ’ ของผู้เล่าเป็นสำคัญ เพราะในบางครั้งถึงแม้ว่าจะใช้ปัจจุบันขณะเป็นตัวเยียวยา หากแต่ในบางทีเราอาจต้องย้อนกลับไปนึกถึงปัญหาหรือเรื่องราวบางอย่างในอดีตที่สอดคล้องและส่งผลมาถึงปัจจุบันอย่างเลี่ยงไม่ได้
The Present Move ขอเป็นกำลังใจให้ผู้อ่านทุกท่านที่อาจกำลังพบเจอกับวันร้ายๆ แต่เชื่อเหลือเกินว่าในทุกครั้งเราอาจผ่านมันไปได้ในเร็ววัน แต่หากคุณกำลังต้องการคนรับฟัง ยังมีผู้เชี่ยวชาญทั้งแพทย์ นักจิตวิทยา และนักบำบัดอยู่อีกมากที่รอคอยที่จะรับฟังคุณอย่างเข้าใจ ขอแค่เพียงอาจลองเปิดใจก้าวเข้าไปปรึกษากับใครสักคนดู