
หากชีวิตคือการเดินทาง เป้าหมายคือเกาะมหาสมบัติ
กัปตันบางคนก็อาจเชื่อในเรื่องของ ‘ความพยายาม’ และ ‘ความมุ่งมั่น’ ที่จะนำเรือเหล่านั้นฝ่าฟันพายุฝนต่อๆ ไป
เราจะทำอย่างไร เพื่อให้สามารถเข้าถึงใจ
และไม่ใคร่ตัดสิน
เชื่อว่าหลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า ‘Empathy’ กันมาไม่น้อย โดยเฉพาะพักหลังมาคำนี้ก็ยิ่งทวีคูณการใช้บ่อยๆ ขึ้นในหลากหลายบริบท
แต่รู้หรือไม่? เจ้า Empathy คำนี้ยังมีคำที่มีความคล้ายกันอย่างมาก และหลายคนอาจแยกความแตกต่างของ 2 คำนี้ไม่ค่อยออก (เพราะเอาเข้าจริงก็มีความคล้ายกันในบางประการอยู่เหมือนกัน แถมหน้าตาการสะกดของคำยังมีความคล้ายกันอีก) คำนี้ที่ว่าคือ ‘Sympathy’ นั่นเอง
ในวันนี้เราจึงอยากชวนทุกท่านที่กำลังอ่านโพสต์นี้อยู่มาสำรวจความเหมือนและความต่างของคำนี้ไปพร้อมๆ กัน ทั้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง และสามารถใช้ได้ถูกต้องในแต่ละบริบทและสถานการณ์
| การฟังอย่าง ‘เข้าใจ’ ไม่ใช่แค่สงสาร แต่รู้สึกตามไปกับเรื่องที่รับรู้มา
อาจกล่าวได้อย่างโดยง่ายว่า ‘Sympathy’ แปลเป็นไทยอย่างง่ายที่สุดว่า ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ หรือ ‘ความสงสาร’ เมื่อเราได้รับรู้ความรู้สึกหรือเรื่องเราที่เขาถ่ายทอดสถานการณ์บางอย่างของเขาให้เราได้รับฟัง
ในขณะที่ ‘Empathy’ จะมีความหมายลึกซึ้งขึ้น ซึ่งหมายถึง ‘ความสามารถในการเข้าอกเข้าใจผู้อื่น’
ซึ่งหากถามว่าสิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง 2 คำนี้คืออะไร? สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘จุดยืน’ หรือ ‘มุมมอง’ เมื่อเรามองเข้าไปในแต่ละเรื่องราวของคนเหล่านั้น
กล่าวคือ เราอาจรู้สึกสงสาร (Sympathy) เมื่อเห็นใครสักคนที่เป็นทุกข์ และอาจเกิดความรู้สึกอยากช่วยอะไรเขาสักอย่างถ้าเป็นไปได้ ในขณะที่หากเรารู้สึกเข้าอกเข้าใจ (Empathy) เราอาจจะยิ่งพยายามทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่คืออะไร เพื่อที่จะได้มองในภาพใหญ่ให้เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญได้อยู่อย่างมากที่สุด ความเห็นอกเห็นใจดังกล่าวนี้คือการนำเอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่นำเอาความคิดของตัวเราเองไปยัดใส่ในความรู้สึกของเขา เพราะเราแต่ละคนล้วนเจอสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
แต่สิ่งสำคัญที่สุดของ Empathy ก็คือ ‘การเข้าถึงใจ’ และ ‘ไม่ใคร่ตัดสิน’
รวมถึงไม่นำเอา ‘ความรู้สึกส่วนตัว’ ของตัวเรา
เข้าไปตัดสิน
หรือเป็นศูนย์กลาง
ยิ่งไปกว่านั้นทักษะความเห็นอกเห็นใจยังเป็นอะไรที่เราฝึกฝนกันได้ ผ่านการเข้าใจตัวเอง รับรู้ความรู้สึกของคนอื่น และเมื่อเรายิ่งตระหนักรู้และเท่าทันความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นเท่าไร เราก็จะยิ่งเข้าถึงใจของคนอื่นได้มากขึ้นเท่านั้น
| ชวนรู้จักเทคนิค ‘การฟังอย่างลึกซึ้ง’ (Deep Listening) เทคนิคดีๆ ที่นักจิตวิทยาใช้ เพื่อให้เข้าถึงใจและไม่ใคร่ตัดสิน
ในหลายการอบรมบ่มเพาะนักจิตวิทยา หรือกระทั่งการเรียนจิตวิทยาเบื้องต้นในทางปฏิบัติเองก็ตาม หนึ่งในเทคนิคที่ขาดไม่ได้สำหรับการจะเป็นนักจิตวิทยาที่ดี คือ ‘การตั้งใจฟังอย่างลึกซึ้ง’ (Deep Listening) ซึ่งหมายถึง การฟังในสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ เรียกได้ว่าเป็นการฟังที่ใส่ใจผู้พูดอย่างแท้จริง โดยจะฟังให้ลึกซึ้งไปกว่าแค่การได้ยินคำพูด แต่ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอื่นๆ ที่ถึงแม้ผู้พูดจะไม่ได้เอ่ยออกมาแต่เราก็ยังรู้สึกถึงมันได้ และทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเป็น ‘การฟัง’
โดย ‘ปราศจากอคติ’ อย่างแท้จริง
โดยเราอาจเริ่มทำขึ้นด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
เชื่อเราสิว่าการมีหัวใจที่เปิดกว้าง รับฟังและเท่าทันความรู้สึกคนอื่นได้อย่างดีนั้นไม่ใช่เรื่องยากเกินกว่าเราทุกคนจะทำไม่ได้
หากอย่างน้อยชีวิตนี้คุณเคยร้องไห้ตามซีรีส์ เพลง หนัง ละคร หรือเรื่องราวของบุคคลที่ทั้งไกลและใกล้ตัวอยู่บ้าง รู้สักไปกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อารมณ์และความรู้สึก หรืออาจรวมไปถึงคุณค่าและความคิดของเขาเองเช่นกัน เหล่านั้นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
“เราเองก็เป็นได้นะ คนที่เข้าถึงใจและไม่ใคร่ตัดสินผู้อื่น”
เพราะการรับฟังอย่างดีล้วนเป็นทักษะพื้นฐานของมนุษย์ อีกทั้งความเป็นมนุษย์ยังคงทำงานอย่างดีในตัวพวกเราทุกคน
เรื่องราวและความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดออกมา
สถานการณ์ที่แต่ละคนเจออย่างแตกต่างกัน
ความรู้สึกที่อยากมีใครสักคน ‘รับฟัง’ หรือกระทั่ง ‘กอดปลอบ’ ในวันที่รู้สึกแย่
เหล่านั้นก็ดีไม่น้อยเลย หากเราได้เป็นทั้งผู้รับและผู้ส่งต่อมวลความรู้สึกดีๆ ที่เราทุกคนมีให้แก่กันเพราะการเข้าถึงใจ และไม่ใคร่ตัดสิน
ผ่านการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้เรื่องราวระหว่างกัน
ล้วนเป็นสายสัมพันธ์ที่แยกจากกันไม่ขาดของเรา
ในฐานะที่เป็นมนุษย์
กัปตันบางคนก็อาจเชื่อในเรื่องของ ‘ความพยายาม’ และ ‘ความมุ่งมั่น’ ที่จะนำเรือเหล่านั้นฝ่าฟันพายุฝนต่อๆ ไป
เพราะอะไรหลายคนถึงยอมจากบ้านเกิด เข้ามาแสวงหาความสำเร็จในเมืองใหญ่? สำหรับคนต่างจังหวัดที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงาน พอเรียนจบก็อยากทำงานหาเงิน แต่กลับบ้านเกิดไปก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ทำ
เดือนกันยายนวนมาทีไร เนื้อเพลง Wake me up when September ends ของวง Green Day ก็เป็นเพลงที่วนกลับมาให้เราได้ชวนนึกถึงเฉกเช่นเดียวกัน