เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเล่นเครื่องเล่นที่สวนสนุกแห่งหนึ่ง ด้วยอายุที่มากขึ้นและความบกพร่องที่ตกหล่นเรื่องการดูแลตัวเองไปบ้าง ทำให้ถึงแม้ว่าอายุจะยังไม่เยอะนัก แต่ก็รู้สึกกังวลไม่น้อยเมื่อเพื่อนชวนไปสวนสนุก เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าถึงจะยังคงสนุกและตื่นเต้นกับการไปสถานที่แบบนี้อยู่ แต่ความสนุกก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะมีความกังวลทั้งร่างกายและจิตใจ และมีความ ‘กลัว’ อยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเล่นเครื่องเล่นผาดโผน
Roller Coaster คือเครื่องเล่นที่ผู้ปกครองหลายคนอาจเป็นห่วง หากเด็กๆ ของพวกเขาร้องขอที่จะทดลองเล่นมัน และถึงแม้ว่าเรารู้กันดีว่ามันอาจไม่อันตรายและหวาดเสียวเท่าอะไรแบบ Bungee jump แต่ใครหลายคนอาจคิดไม่ต่างจากผู้เขียนว่า แล้วหากอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นที่เราพอดีล่ะ? เราจะทำอย่างไร และจะรับมือกับ ‘ความเสี่ยง’ ที่อาจเกิดขึ้นได้ไหวไหม
วันนั้นเองผู้เขียนหลบหลีกที่จะเล่นเครื่องเล่นชนิดนี้สุดๆ ด้วยเป็นคนกลัวความสูงเป็นทุนเดิม บวกกับได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นจากคนที่เล่น Roller Coaster ตลอดทั้งวันเพราะเครื่องเล่นนี้วนรอบสวนสนุก เหล่านั้นก็ยิ่งตอกย้ำ ‘ความกลัว’ บางอย่าง (หรืออาจจะหลายอย่าง) และทำให้เรารู้สึกว่า กลัว ไม่อยาก ไม่กล้า อยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวัน
แต่จนแล้วจนรอด สุดท้ายก็รับมือกับความช่างตื๊อของเพื่อนไม่ไหว เลยตัดสินใจเข้าต่อคิวเครื่องเล่นนั้นในช่วง 30 นาทีสุดท้ายก่อนที่ความสนุกจะหมดเวลาลง
ช่วงเวลาระหว่างนั้นแน่นอนว่า ต้องมีถามเพื่อนอีกครั้งว่านี่เรากำลังจะขึ้นรถไฟเหาะกันจริงๆ หรือ แต่ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นและการเดินทั้งวันชวนปวดเท้า แต่เพื่อนของผู้เขียนทั้งสองคนก็ยังยืนยันที่จะเล่นมัน
เมื่อถึงคิดที่ต้องขึ้นไปใจก็เต้นตึกตัก ทั้งกลัว กังวล หวาดเสียว และตื่นเต้น ซึ่งในวินาทีนั้นเมื่อเครื่องเล่นพลันฉลุยออกไป เท้าที่ไม่ติดพื้นอีกต่อไปเริ่มกังวลและอยากร้องไห้ เสียงเพลงกระหึ่มที่เปิดข้างหลังอาจไม่ช่วยอะไร และเท่าที่คิดในขณะนั้นได้ก็คือการหลับตาปี๋อย่างเดียว
เวลาแห่งความกลัวและกังวลมักจะผ่านไปช้าเสมอ นั่นคือสัจธรรม รถไฟเหาะที่วิ่งไป 20 วินาทีกลับรู้สึกว่ามันยาวราว 2 ชั่วโมง จนในที่สุดผู้เขียนก็ลืมตาขึ้นโดยที่ไม่รู้ว่าทำไปเพราะอะไร
เท่านั้นก็พบความสวยงาม
มากเกินกว่าที่จะหาอะไรมาอธิบาย
วิวทิวทัศน์รอบ Universal Studio Japan และเมืองโอซาก้าโดยรอบ ถูกเห็นและรู้สึกใกล้ขอบฟ้าราวกับว่าเพียงเอื้อมมือแตะเราก็อาจหลุดไปในอีกโลกขอบจักรวาล
แม้ว่าความสวยงามนั้นอาจถูกบดบังเล็กน้อยด้วยความเร็ว และความสูงจากพื้นที่ร่างกายของผู้เขียนยังคงปะทะด้วยความรวดเร็วว่องไว และไร้ซึ่งการต่อรองว่าช่วยช้าลงอีกนิดได้หรือไม่
นั่นอาจไม่ต่างอะไรกับการใช้ชีวิต
ที่หลายต่อหลายครั้งเราอาจหมกมุ่นกับการรวบรวมความกล้าที่จะออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองอยู่เสมอ และโฟกัสไปกับความกังวลแบบไม่ยอม zoom out ออกมาดูสักหน่อย มากไปถึงกังวลว่า ‘การเปลี่ยนแปลง’ ที่จะมาถึงนั้น เราเตรียมพร้อมรับมือกับมันอย่างดีจริงๆ หรือยัง
จนอาจลืมไปว่า ในบางครั้ง ‘ความกลัว’ และ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ก็สวยงามไม่แพ้กัน
หากบาดแผลในวัยเยาว์ช่วยก่อร่างสร้างให้ ‘เรา’ เป็น ‘เรา’ ได้อย่างไร การเรียนรู้ที่จะน้อมรับความกลัวหากแต่ไม่ยอมแพ้ ก็อาจเป็นหนทางที่ดีที่เราจะได้เรียนรู้ชีวิต
อะไรที่เกิดแล้วย่อมดีเสมอ
และไม่มีชีวิตใดที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง