The Present Move

เดินสำรวจเมือง ทำกิจกรรมสนุกๆ สูดอากาศดีๆ มีปฏิสัมพันธ์กับคนใหม่ๆ

The Present Move | Mindful Global Citizens

มาใช้วันลาไปพักร้อนกันเถอะ! 
ชวนมองข้อดีของการหาเวลาออกไปเที่ยว
ที่ช่วยบูสต์พลัง แถมยังทำให้เราไม่แก่ก่อนวัย 

ในโลกที่วุ่นวาย เหนื่อยง่าย งานก็เยอะเป็นบ้าเป็นหลัง
เราได้ออกเดินทางครั้งล่าสุดเมื่อไรกันนะ?

ใครหลายคนอาจทำงานหนักจนลืมว่า เรายังมีวันลาพักร้อนที่ยังไม่ใช้เหลืออยู่อีกเยอะ เพราะบางครั้ง บางคนก็วิ่งวุ่นทำงานอยู่ทุกวี่ทุกวัน แล้วปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ เผลออีกที ก็เสียสิทธิ์ลาไปแล้วตอนบริษัทตัดรอบปี! ซึ่งเราไม่ใช่เครื่องจักรกันนะคะทุกคน ไม่ต้องทำงานทั้งวันทั้งคืน ไม่ต้องอุทิศชีวิตให้งานจนไม่ได้ใช้ชีวิตด้านอื่นๆ ของตัวเอง เพราะวันหนึ่งเราอาจจะกลับมาเสียใจภายหลังที่ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองอยากใช้อย่างน่าเสียดาย

ฉะนั้น เรามาทยอยใช้วันลาที่มีอยู่ให้หมด เพื่อหาเวลาพักกาย พักใจ และหาเวลาอยู่กับตัวเองกันบ้างเถอะ เพราะการได้พัก นอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแล้ว ข้อดีอีกอย่างที่เพิ่งมีงานวิจัยออกมาบอกแบบสดๆ ร้อนๆ เลยก็คือ… มันช่วยชะลอความ ‘ชรา’ ที่ทำให้เราไม่อิดโรย ยังคงสดใส เพิ่มพลังชีวิต และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ด้วยนะ 

พร้อมแล้วก็เก็บกระเป๋า ออกไปเที่ยวกันพวก!

การศึกษาที่ตีพิมพ์โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดิธ โคแวน (Edith Cowan University) ประเทศออสเตรเลีย ที่ตีพิมพ์ใน Science Daily แพลตฟอร์มเว็บไซต์ที่นำเสนอข่าวสารใหม่ล่าสุดในการศึกษาประเด็นเรื่องวิทยาศาสตร์ สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นที่พูดถึง เมื่อนักวิจัยเผยข้อดีอีกอย่างที่หลายคนไม่รู้มาก่อนเกี่ยวกับการไปเที่ยว นั่นก็คือ มันช่วย Keep you young! หรือช่วยทำให้เราดูเปล่งปลั่ง ไม่แก่ก่อนวัย ที่อาจมีผลพวงมาจากการทำงานหนักได้นั่นเอง ซึ่งที่เป็นเช่นนั้น เพราะการออกทริปครั้งหนึ่ง เราจะได้ทั้งเดินทาง เปิดหูเปิดตา มีปฏิสัมพันธ์กับคนมากกว่าวันทั่วไปในชีวิตประจำวัน รู้สึกผ่อนคลายจากการทำกิจกรรมต่างๆ ยิ่งไปกับเพื่อนฝูงที่รู้ใจกัน การที่เรามีโมเมนต์ดีๆ ร่วมกัน ก็ยิ่งกระตุ้นความสุขในชีวิตได้แบบสุดๆ 

กระทั่งได้ออกกำลังกายทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว เช่น จากการเดิน ที่เวลาหลายคนไปต่างประเทศ หรือต่างจังหวัด ก็หลีกไม่ได้ที่ต้องเดินเยอะกว่าปกติมาก เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ จนสุดท้าย รู้ตัวอีกที สุขภาพเราก็ดีขึ้นได้เองแบบไม่ทันสังเกต 

ฟางลี ฮู (Fangli Hu) ผู้เป็นนักวิจัยหลักของการศึกษานี้ ใช้หลักการเอนโทรปี (Entropy) ซึ่งเป็นการวัดความผิดปกติหรือความสับสนวุ่นวาย ไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นระบบ ของร่างกายเรา โดยโฟกัสที่ไปที่ความสึกหรอทางชีวภาพ และพบว่าการได้ไปเที่ยว มันไม่ได้เกี่ยวแค่กับการได้ใช้เวลาว่าง และการได้พักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น แต่มันยังมีบทบาทในเชิงสุขภาพ ที่เชื่อมโยงกับการมีส่วนร่วมทางสังคม การชื่นชมธรรมชาติ การเดิน หรือการออกกำลังกายประเภทอื่นๆ และการกิน

ซึ่งการดื่มด่ำกับจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ที่เราได้ไปเที่ยว มันสามารถชะลอความชราของเราได้ เธอกล่าวไว้กับ The Washington Post สื่อชื่อดังของอเมริกาว่า สภาพแวดล้อม​ โดยเฉพาะวิวทิวทัศน์สวยๆ อย่างป่าไม้หรือชายหาด สามารถช่วยลดความเครียด ส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี และส่งเสริมกิจกรรมทางกาย การได้เปิดหูเปิดตาร่วมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ หรือคนท้องถิ่นในที่นั้นๆ หรือแม้แต่เหล่าสัตว์มากมายที่เราพบเจอ มันสามารถพัฒนาอารมณ์ของเรา และส่งเสริมการทำงานของสมองด้านความคิด (Cognitive Function) ให้ดีขึ้นได้”

ยิ่งถ้าการไปเที่ยวครั้งหนึ่งของเรา เราได้เปิดโอกาสให้ตัวได้ทำกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ มันก็จะยิ่งดีไปอีก เช่น บางคนอาจได้ลองทำสปา นวดผ่อนคลาย นั่งสมาธิ สัมผัสอากาศดีๆ อยู่ในพื้นที่สีเขียว เล่นโยคะ กินอาหารเพื่อสุขภาพแปลกๆ จากต่างแดน อย่างผักที่บางพื้นที่ เขาอาจจะทำมาให้กินมากกว่าที่กินอยู่เป็นปกติ ฯลฯ

ฟางลีจึงย้ำว่า “มันสามารถปรับปรุงความเป็นอยู่ที่เฮลตี้กับผู้คน และป้องกันปัญหาต่างๆ เพราะการได้เที่ยวมันส่งเสริมการฟื้นตัวและบรรเทาการเสื่อมสภาพของร่างกายที่ไม่ค่อยจะดีนักของเราได้”

เธอเสริมไว้กับ Newsweek องค์กรสื่อชื่อดังว่า “การได้เดิน เดินป่า หรือปั่นจักรยาน ช่วยทำให้สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular) ดีขึ้น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อก็ดีขึ้น รวมถึงความเป็นอยู่องค์รวมของเราก็จะดีขึ้นได้” 

เพราะอย่างที่บอกไปว่า เมื่อเราได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่นอกเหนือจากชีวิตประจำวันตอนทำงาน เหล่านั้นจะสามารถช่วยปรับปรุงอารมณ์ของเรา และลดความรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวของเราได้ ยิ่งกับคนที่รู้สึกว่าที่ทำงานนี้เหนื่อยจัง การได้ออกไปใช้ชีวิตที่ไม่ต้องวนอยู่รอบคนเหล่านั้นทุกวัน อาจทำให้เราสงบลงได้

แต่แน่นอนว่า เวลาชีวิตของเรามันไม่มีวันย้อนกลับ เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น คงจะกลับไปเด็กอย่างเดิมคงเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็ยังสามารถคงความสุขภาพดี โดยไม่ทำให้ร่างกายเราแย่ลงไปจนเป็นปัญหาได้ โดยการไปเที่ยวก็เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและร่างกายเราอย่างหนึ่ง

Shannel Kassis Elhelou ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาผู้สูงอายุ (geropsychology) และประสาทจิตวิทยา (neuropsychology) ที่สถาบันประสาทวิทยาแห่งแปซิฟิก (Pacific Neuroscience Institute) ให้ความเห็นไว้ว่าการท่องเที่ยวนั้นไปด้วยกันกับการดูแลสุขภาพของสมอง ทั้งการนอนหลับ โภชนาการ การจัดการความเครียด การออกกำลังกาย การเข้าสังคม และการกระตุ้นการรู้คิด (cognitive stimulation) เพราะ “การท่องเที่ยวมันรวมองค์ประกอบเหล่านี้ไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะการทำกิจกรรมทางกาย การมีส่วนร่วมทางความคิดจากประสบการณ์ใหม่ๆ และการมีส่วนร่วมทางสังคมที่เข้ามาจากการที่เราได้ไปสำรวจคัลเจอร์ใหม่ๆ ตรงนั้น ปัจจัยเหล่านี้มันสำคัญต่อการรักษาระดับสุขภาพจิตและสติปัญญาของเรา และแน่นอนว่าส่งเสริมความรู้สึก ‘มีความสุข’ และความรู้สึกมีจุดมุ่งหมายของเราด้วยเช่นกัน”

เพราะเมื่อเรามีจุดมุ่งหมายบางอย่าง แม้จะแค่การได้วางแพลนเที่ยวสนุกๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกมีความหมายและมีคุณค่าบางอย่างได้เหมือนกัน ถึงอย่างนั้น ก็คงไม่ใช่ทุกการท่องเที่ยวที่ดีต่อสุขภาพนะ หากการท่องเที่ยวนั้นมอบประสบการณ์เชิงลบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต อันนั้นก็คงต้องขอผ่าน เพราะถ้าเที่ยวแล้วยิ่งเครียด ยิ่งปวดหัว หรือไม่ได้เป็นมิตรต่อเราเลย ลาพักร้อนมานอนอยู่บ้าน หรือทำกิจกรรมที่ได้อยู่กับตัวเองจริงๆ หรืออยู่กับคนที่เรารักโดยไม่ต้องไปไหนไกล นั่นอาจดีกว่ารายล้อมกับสถานที่หรือผู้คนที่อาจเป็นพิษนอกเวลางานนะคะ

เราจะทำใจอย่างไรเมื่อน้องหมาน้องแมวกลับดาว ชวนคุยกับ ‘Pet SOULciety’ เพจที่เห็นคุณค่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์ เพื่อให้ความสูญเสียทิ้งไว้เป็นเพียงความรู้สึกเสียใจ แต่ไม่เสียดาย

เราจะอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างมีความสุขได้อย่างไร ในวันที่ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้วในอดีต หรืออาจเกิดขึ้นในอนาคต เพราะเวลาที่เจ้าของกับสัตว์เลี้ยงจะได้อยู่ด้วยกันในจักรวาลนี้อาจน้อยลงทุกนาที