The Present Move

ยอมรับ ≠ ยอมแพ้ วิชาความสุขของคนที่รู้เท่าทันตนเอง

The Present Move | Mindful Global Citizens

คุณเคยรู้สึกท้อแท้หรือทุกข์ใจเพราะความ ‘อยาก’ หรือ ‘ไม่อยาก’ บ้างไหม

ไม่ว่าจะอยากเลื่อนตำแหน่ง ไม่อยากไปทำงาน หรือ อยากให้คนที่แอบชอบรับรัก หากคำตอบคือ ‘เคย’ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะความรู้สึกอยากหรือไม่อยาก
เป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ทุกคน 

ในแต่ละวันเราอาจพบกับความทุกข์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโซเชียลมีเดียทำให้เราเห็นว่าชีวิตคนอื่นเต็มไปด้วยความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือการท่องเที่ยวอย่างหรูหรา ในขณะที่เราต้องดิ้นรนและเผชิญกับอุปสรรค จนอาจรู้สึกว่าตนเองกำลังล้าหลังหรือพลาดสิ่งสำคัญไป

การรับมือกับความอยากหรือไม่อยาก จึงไม่ได้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกวี่วันเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้กันระหว่างจิตใจของเรากับปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมด้วย ว่าเราจะยอมรับสถานการณ์นั้นอย่างที่เป็น หรือดึงดันอยู่กับความรู้สึกของตนเองที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง 

แม้ว่าปัญหาของความอยากหรือไม่อยากนั้น อาจจบลงได้ง่ายๆ เพียงแค่ ‘ยอมรับ’ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคก็คือ มุมมองหรือทัศนคติของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อคำว่า ‘ยอมรับ’ มักอยู่ในบริบทที่ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะ ‘ยอมรับผิด’ หรือ ‘ยอมรับความพ่ายแพ้’ ทำให้ความรู้สึกที่ตามมาเป็นความกังวลความเสียศักดิ์ศรี เสียหน้า ยิ่งสังคมไทยเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และความสำเร็จบ่อยครั้งคนส่วนใหญ่จึงรู้สึกว่าการยอมรับเป็นสัญชาตญาณของความล้มเหลวมากกว่าจะเป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขของจิตใจ 

แต่จริงหรือที่การยอมรับ = การยอมแพ้? หากลองคิดดูอีกที จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าการยอมรับ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในชีวิตที่เราไม่เคยค้นพบมาก่อน  

 

| เส้นบางๆ ระหว่าง ‘ยอมรับ’ กับ ‘ยอมแพ้’

ในชีวิตคนเรา มีเส้นบางๆ คั่นกลางระหว่างการยอมรับกับการยอมแพ้ ที่บางครั้งก็ทำให้สับสนว่าสิ่งที่เรากำลังเป็น กำลังทำ คือการยอมรับหรือว่ายอมแพ้กันแน่ 

หากใครคนหนึ่งมีความฝันอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่เรียนไม่เก่ง และครอบครัวไม่มีกำลังสนับสนุน ทำให้เขาต้องพยายามมากกว่าคนอื่น ทำงานหนักเพื่อเก็บเงินเป็นค่าสอบและค่าเดินทางจนไม่มีเวลาพักผ่อน แต่แม้จะสอบหลายครั้งก็ยังไม่ผ่าน หลายปีผ่านไป ความพยายามก็ยังไม่เห็นผล ขณะที่อายุก็เพิ่มขึ้นทุกปี หากยังสอบชิงทุนอยู่ ก็อาจเสียโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน กรณีนี้หากหยุดพยายาม แล้วหันกลับมาโฟกัสกับสิ่งที่เป็นไปได้ ณ ปัจจุบัน หมายความว่าเขากำลังยอมรับความจริง หรือยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้? 

ในซีรีส์เกาหลีเรื่อง Prison Playbook (2017) เรื่องราวของนักเบสบอลชื่อดังที่ชีวิตตกต่ำจนต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ มีฉากหนึ่งที่ตัวเอกคุยกับรุ่นน้องในเรือนจำที่ติดคุกข้อหาขับรถชนคนเสียชีวิต เนื่องจากหลับใน เพราะอดนอนอ่านหนังสือสอบและทำงานหนัก ตัวเอกพูดกับรุ่นน้องคนนั้นว่า 

“นายต้องทำงานมากกว่านี้ อ่านหนังสือมากกว่านี้ นอนวันละ 3 ชั่วโมง
ไม่ต้องกินอะไรเลยก็ได้ นายต้องไม่มีวันหยุด นายต้องทำงานตลอด 365 วัน
แต่นายคิดว่าทำได้เหรอ ไม่มีทางทำได้ ไม่มีใครทำได้
เพราะฉะนั้น ถ้านายทำมันดีที่สุดแล้ว นายทำมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
นายอย่าโทษตัวเอง เพราะโลกนี้แค่ไม่ให้โอกาสนายเท่านั้นเอง”

คำพูดจากซีรีส์ดังกล่าวอาจพออธิบายให้เราเห็นภาพของการยอมรับความจริงได้ชัดขึ้น เมื่อพยายามจนสุดทุกทางแล้ว แต่ยังไม่ถึงเป้าหมาย การหยุดพยายามและเดินหน้าต่อในเส้นทางอื่น ย่อมไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการยอมรับความจริงว่า โลกไม่ได้หยิบยื่นโอกาสนั้นให้กับเรา และหากยังดื้อดึง ไม่ยอมรับ ก็อาจทำให้เราเสียเวลาในชีวิตที่มีอย่างจำกัดไปกับสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้  

ความจริงก็คือ คำกล่าวที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น อาจไม่ได้เป็นจริงสำหรับทุกคนเสมอไป ความพยายามเป็นสิ่งดี แต่ความสำเร็จนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะปัจจัยที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ไม่ได้มีแค่ความพยายามของเราเท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่ควบคุมไม่ได้ หากพยายามแล้ว ไม่สำเร็จ สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าความพยายามคือการรู้ว่าควรหยุดพยายามตอนไหน เพื่อยอมรับความจริงแล้วเดินหน้าต่อ

ขณะที่การยอมแพ้ เป็นการหยุดพยายาม หยุดเดินหน้า แล้วปล่อยชีวิตไปตามชะตากรรมโดยมีความกลัวและความสิ้นหวังเป็นแรงขับ ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ตามที่เป็นจริงเลย ต่างจากการยอมรับ ที่เกิดจากความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ มองเห็นปัญหา และมองหาทางเลือกอื่นๆ

โจน เคบัต-ซิน (Jon Kabat-Zinn) ศาสตราจารย์ชาวอเมริกันผู้ก่อตั้ง Stress Reduction Clinic and the Center for Mindfulness in Medicine อธิบายไว้ว่า การยอมรับ ไม่เหมือนกับการยอมจำนนหรือยอมแพ้ เพราะการยอมรับต้องใช้ความเข้มแข็งทางใจมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เราต้องยอมรับนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่พึงพอใจ เมื่อยอมรับแล้วก็ต้องใช้สติปัญญา กำลังใจในการดำเนินการอย่างชาญฉลาดเพื่อให้ชีวิตไปต่อได้ ด้วยสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งทางกายและทางใจ เพื่อเยียวยา ปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่เหมาะสมตามความเป็นจริง 

การยอมรับจึงไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอ แต่หมายถึงเรากำลังเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ค้นพบหนทางใหม่ๆ และเป็นการเลือกที่จะสู้ต่อในแบบที่ไม่ฝืนธรรมชาติของตนเอง 

| เส้นชัยที่ชื่อว่า ‘การยอมรับ’

เราเติบโตในสังคมที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และความสำเร็จ ทำให้เรามองว่าการยอมรับข้อบกพร่องหรือสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เป็นสัญญาณของความล้มเหลว การไม่ยอมรับกลายเป็นการปกป้องตนเองจากความอับอาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง การยอมรับคือการเผชิญหน้ากับความจริงด้วยความกล้าหาญ และเป็นหนทางเดียวที่จะปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการของความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง

การยอมรับ (Aceeptance) ถือเป็นกุญแจสำคัญไปสู่ความสงบสุข ในทางจิตวิทยา การยอมรับถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบำบัดที่ได้รับความนิยม โดยมีการปรึกษาทางจิตวิทยาที่เรียกว่า การบำบัดที่เน้นการยอมรับและการทำตามสัญญา (Acceptance and Commitment Therapy) เป็นการบำบัดที่มุ่งเน้นให้เกิดการเห็นคุณค่าในตนเอง นำไปสู่การยอมรับและพัฒนาตนเองตามเป้าหมายที่ตั้งใจ


นอกจากนี้ การยอมรับ ยังเป็นหนึ่งใน 12 ขั้นตอนสำหรับการรักษาโรคพิษสุราเรื้อรังมาตั้งแต่ปี 1939 โดยนายแพทย์ชื่อว่า Paul Ohliger เขียนบทความเกี่ยวกับวิธีที่การยอมรับที่นำไปสู่ความสุขและมีสติไว้ในการพิมพ์ครั้งที่ 3 ของหนังสือ Alcoholics Anonymous ว่า 

“Until I could accept my alcoholism, I could not stay sober; unless I accept life completely on life’s terms, I cannot be happy. I need to concentrate not so much on what needs to be changed in the world as on what needs to be changed in me and in my attitudes. ” That’s the answer. Acceptance. ” 

“จนกว่าที่ฉันจะยอมรับว่าตนเองติดเหล้า ฉันคงไม่สามารถสร่างเมาได้ หากฉันไม่ยอมรับชีวิตตามเงื่อนไขที่เป็นโดยสมบูรณ์ ฉันไม่สามารถมีความสุขได้ ฉันไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงโลกมากไปกว่าการให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองและทัศนคติ ซึ่งคำตอบของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือ การยอมรับ”  ซึ่งข้อความนี้กลายเป็นประโยคสำคัญที่ผู้รักษาโรคพิษสุราเรื้อรังในยุคนั้นยึดถือเป็นแรงใจ

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ แม้จะไม่ได้เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง แต่ประโยคดังกล่าวก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตได้ ทั้งเรื่องการเรียน การงาน และความสัมพันธ์ เราอาจอยากให้โลกเป็นดั่งใจ เฝ้าจินตนาการถึงสิ่งที่ ‘ควรจะเป็น’ แต่เพียงความต้องการของเรานั้นไม่อาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ หนำซ้ำยังอาจนำมาซึ่งความทุกข์ ความร้อนรนใจอีกด้วย 

มีการศึกษาวิจัยมากมายที่พบว่า การใช้ชีวิตให้ช้าลง มีสติอยู่กับปัจจุบัน และรู้สึกขอบคุณสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต สามารถสร้างเส้นทางวิถีประสาทในสมองใหม่ ซึ่งการฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การเชื่อมโยงเหล่านี้ยิ่งแข็งแกร่ง เมื่อเวลาผ่านไป เราอาจเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ที่เริ่มมีความสุขกับสิ่งเล็กน้อย ยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างเข้าใจ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปล่อยตัวเองให้เลื่อนไหลไปอย่างไร้จุดหมาย แต่กลับมีความสุขในชีวิตอย่างเต็มที่มากขึ้น

สุดท้ายแล้ว การยอมรับ จึงย่อมไม่เท่ากับ การยอมแพ้ แต่คือการเดินทางสู่เส้นชัยที่เราจะก้าวข้ามไปสู่เป้าหมายใหม่ เมื่อเลือกที่จะไม่ฝืน ไม่ดึงดัน เมื่อเปิดใจให้เห็นความจริงของชีวิต หยุดต่อสู้กับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และโอบรับความจริงตามที่เป็น เราก็จะได้ปลดปล่อยตัวเองจากการต่อสู้ที่แสนเหนื่อยล้า และค่อยๆ กลับมาอยู่กับปัจจุบันที่สงบเย็นและเป็นสุข 

เมื่อเราเปลี่ยนมาทุ่มเทพลังงานให้กับสิ่งที่ยังเปลี่ยนแปลงได้ สร้างเส้นทางชีวิตขึ้นมาใหม่
และก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความหวังและพลังใจ นั่นย่อมไม่ใช่การยอมแพ้
แต่เป็นการเข้าเส้นชัยที่กล้าหาญ ซึ่งจะพาชีวิตไปสู่ความสงบสุขได้ต่างหาก 

Very Demure, Very Mindful สงบ สง่า อย่างมีสติ เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเทรนด์ไวรัลนี้

ใครที่เล่น TikTok ช่วงเดือนที่ผ่านมา น่าจะผ่านตาคลิปวิดีโอสาวผิวสี ผมบลอนด์ ที่ออกมาแนะนำการวางตัวของสาวยุคใหม่ จนกลายเป็นไวรัลที่มีคนนำไปแชร์ต่อกันอย่างแพร่หลาย

ใช้ชีวิตวันนี้ มีความสุขวันนี้ ชวนรู้จัก ‘Stoic’ ปรัชญาสามัญประจำบ้าน ที่ชวนให้เราไม่หวั่นไหวแม้มีอะไรมากระทบ

หลายคนอาจเคยได้ยิน ‘ปรัชญาสโตอิค’ (Stoic Philosophy) อย่างหนาหูตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ ว่ากันว่าปรัชญาสายนี้เป็นปรัชญาแห่งความ ‘ช่างแม่ง’ ที่เสนอว่าให้เราสนใจเพียงแค่สิ่งที่เราควบคุมได้ และปล่อยวางกับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้