
วันนี้ใครจะเป็นเศรษฐี? Near Miss Effect จิตวิทยาว่าด้วย ‘ความเฉียด’ ที่แค่ได้สุ่มและร่วมลุ้นก็อาจฟินราวกับทำสำเร็จ
วันนี้ฉันจะรวย! (แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นเศรษฐีไม่เป็นไร งวดหน้าเอาใหม่)
คุณเคยรู้สึกท้อแท้หรือทุกข์ใจเพราะความ ‘อยาก’ หรือ ‘ไม่อยาก’ บ้างไหม
ไม่ว่าจะอยากเลื่อนตำแหน่ง ไม่อยากไปทำงาน หรือ อยากให้คนที่แอบชอบรับรัก หากคำตอบคือ ‘เคย’ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะความรู้สึกอยากหรือไม่อยาก
เป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ทุกคน
ในแต่ละวันเราอาจพบกับความทุกข์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโซเชียลมีเดียทำให้เราเห็นว่าชีวิตคนอื่นเต็มไปด้วยความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือการท่องเที่ยวอย่างหรูหรา ในขณะที่เราต้องดิ้นรนและเผชิญกับอุปสรรค จนอาจรู้สึกว่าตนเองกำลังล้าหลังหรือพลาดสิ่งสำคัญไป
การรับมือกับความอยากหรือไม่อยาก จึงไม่ได้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกวี่วันเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้กันระหว่างจิตใจของเรากับปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมด้วย ว่าเราจะยอมรับสถานการณ์นั้นอย่างที่เป็น หรือดึงดันอยู่กับความรู้สึกของตนเองที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง
แม้ว่าปัญหาของความอยากหรือไม่อยากนั้น อาจจบลงได้ง่ายๆ เพียงแค่ ‘ยอมรับ’ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคก็คือ มุมมองหรือทัศนคติของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อคำว่า ‘ยอมรับ’ มักอยู่ในบริบทที่ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะ ‘ยอมรับผิด’ หรือ ‘ยอมรับความพ่ายแพ้’ ทำให้ความรู้สึกที่ตามมาเป็นความกังวลความเสียศักดิ์ศรี เสียหน้า ยิ่งสังคมไทยเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และความสำเร็จบ่อยครั้งคนส่วนใหญ่จึงรู้สึกว่าการยอมรับเป็นสัญชาตญาณของความล้มเหลวมากกว่าจะเป็นหนทางไปสู่ความสงบสุขของจิตใจ
แต่จริงหรือที่การยอมรับ = การยอมแพ้? หากลองคิดดูอีกที จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าการยอมรับ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบในชีวิตที่เราไม่เคยค้นพบมาก่อน
| เส้นบางๆ ระหว่าง ‘ยอมรับ’ กับ ‘ยอมแพ้’
ในชีวิตคนเรา มีเส้นบางๆ คั่นกลางระหว่างการยอมรับกับการยอมแพ้ ที่บางครั้งก็ทำให้สับสนว่าสิ่งที่เรากำลังเป็น กำลังทำ คือการยอมรับหรือว่ายอมแพ้กันแน่
หากใครคนหนึ่งมีความฝันอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่เรียนไม่เก่ง และครอบครัวไม่มีกำลังสนับสนุน ทำให้เขาต้องพยายามมากกว่าคนอื่น ทำงานหนักเพื่อเก็บเงินเป็นค่าสอบและค่าเดินทางจนไม่มีเวลาพักผ่อน แต่แม้จะสอบหลายครั้งก็ยังไม่ผ่าน หลายปีผ่านไป ความพยายามก็ยังไม่เห็นผล ขณะที่อายุก็เพิ่มขึ้นทุกปี หากยังสอบชิงทุนอยู่ ก็อาจเสียโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน กรณีนี้หากหยุดพยายาม แล้วหันกลับมาโฟกัสกับสิ่งที่เป็นไปได้ ณ ปัจจุบัน หมายความว่าเขากำลังยอมรับความจริง หรือยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้?
ในซีรีส์เกาหลีเรื่อง Prison Playbook (2017) เรื่องราวของนักเบสบอลชื่อดังที่ชีวิตตกต่ำจนต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ มีฉากหนึ่งที่ตัวเอกคุยกับรุ่นน้องในเรือนจำที่ติดคุกข้อหาขับรถชนคนเสียชีวิต เนื่องจากหลับใน เพราะอดนอนอ่านหนังสือสอบและทำงานหนัก ตัวเอกพูดกับรุ่นน้องคนนั้นว่า
“นายต้องทำงานมากกว่านี้ อ่านหนังสือมากกว่านี้ นอนวันละ 3 ชั่วโมง
ไม่ต้องกินอะไรเลยก็ได้ นายต้องไม่มีวันหยุด นายต้องทำงานตลอด 365 วัน
แต่นายคิดว่าทำได้เหรอ ไม่มีทางทำได้ ไม่มีใครทำได้
เพราะฉะนั้น ถ้านายทำมันดีที่สุดแล้ว นายทำมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
นายอย่าโทษตัวเอง เพราะโลกนี้แค่ไม่ให้โอกาสนายเท่านั้นเอง”
คำพูดจากซีรีส์ดังกล่าวอาจพออธิบายให้เราเห็นภาพของการยอมรับความจริงได้ชัดขึ้น เมื่อพยายามจนสุดทุกทางแล้ว แต่ยังไม่ถึงเป้าหมาย การหยุดพยายามและเดินหน้าต่อในเส้นทางอื่น ย่อมไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการยอมรับความจริงว่า โลกไม่ได้หยิบยื่นโอกาสนั้นให้กับเรา และหากยังดื้อดึง ไม่ยอมรับ ก็อาจทำให้เราเสียเวลาในชีวิตที่มีอย่างจำกัดไปกับสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้
ความจริงก็คือ คำกล่าวที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น อาจไม่ได้เป็นจริงสำหรับทุกคนเสมอไป ความพยายามเป็นสิ่งดี แต่ความสำเร็จนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะปัจจัยที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย ไม่ได้มีแค่ความพยายามของเราเท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่ควบคุมไม่ได้ หากพยายามแล้ว ไม่สำเร็จ สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าความพยายามคือการรู้ว่าควรหยุดพยายามตอนไหน เพื่อยอมรับความจริงแล้วเดินหน้าต่อ
ขณะที่การยอมแพ้ เป็นการหยุดพยายาม หยุดเดินหน้า แล้วปล่อยชีวิตไปตามชะตากรรมโดยมีความกลัวและความสิ้นหวังเป็นแรงขับ ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ตามที่เป็นจริงเลย ต่างจากการยอมรับ ที่เกิดจากความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ มองเห็นปัญหา และมองหาทางเลือกอื่นๆ
โจน เคบัต-ซิน (Jon Kabat-Zinn) ศาสตราจารย์ชาวอเมริกันผู้ก่อตั้ง Stress Reduction Clinic and the Center for Mindfulness in Medicine อธิบายไว้ว่า การยอมรับ ไม่เหมือนกับการยอมจำนนหรือยอมแพ้ เพราะการยอมรับต้องใช้ความเข้มแข็งทางใจมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เราต้องยอมรับนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่พึงพอใจ เมื่อยอมรับแล้วก็ต้องใช้สติปัญญา กำลังใจในการดำเนินการอย่างชาญฉลาดเพื่อให้ชีวิตไปต่อได้ ด้วยสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งทางกายและทางใจ เพื่อเยียวยา ปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่เหมาะสมตามความเป็นจริง
การยอมรับจึงไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอ แต่หมายถึงเรากำลังเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ค้นพบหนทางใหม่ๆ และเป็นการเลือกที่จะสู้ต่อในแบบที่ไม่ฝืนธรรมชาติของตนเอง
| เส้นชัยที่ชื่อว่า ‘การยอมรับ’
เราเติบโตในสังคมที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และความสำเร็จ ทำให้เรามองว่าการยอมรับข้อบกพร่องหรือสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เป็นสัญญาณของความล้มเหลว การไม่ยอมรับกลายเป็นการปกป้องตนเองจากความอับอาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง การยอมรับคือการเผชิญหน้ากับความจริงด้วยความกล้าหาญ และเป็นหนทางเดียวที่จะปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการของความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง
การยอมรับ (Aceeptance) ถือเป็นกุญแจสำคัญไปสู่ความสงบสุข ในทางจิตวิทยา การยอมรับถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบำบัดที่ได้รับความนิยม โดยมีการปรึกษาทางจิตวิทยาที่เรียกว่า การบำบัดที่เน้นการยอมรับและการทำตามสัญญา (Acceptance and Commitment Therapy) เป็นการบำบัดที่มุ่งเน้นให้เกิดการเห็นคุณค่าในตนเอง นำไปสู่การยอมรับและพัฒนาตนเองตามเป้าหมายที่ตั้งใจ
นอกจากนี้ การยอมรับ ยังเป็นหนึ่งใน 12 ขั้นตอนสำหรับการรักษาโรคพิษสุราเรื้อรังมาตั้งแต่ปี 1939 โดยนายแพทย์ชื่อว่า Paul Ohliger เขียนบทความเกี่ยวกับวิธีที่การยอมรับที่นำไปสู่ความสุขและมีสติไว้ในการพิมพ์ครั้งที่ 3 ของหนังสือ Alcoholics Anonymous ว่า
“Until I could accept my alcoholism, I could not stay sober; unless I accept life completely on life’s terms, I cannot be happy. I need to concentrate not so much on what needs to be changed in the world as on what needs to be changed in me and in my attitudes. ” That’s the answer. Acceptance. ”
“จนกว่าที่ฉันจะยอมรับว่าตนเองติดเหล้า ฉันคงไม่สามารถสร่างเมาได้ หากฉันไม่ยอมรับชีวิตตามเงื่อนไขที่เป็นโดยสมบูรณ์ ฉันไม่สามารถมีความสุขได้ ฉันไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงโลกมากไปกว่าการให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองและทัศนคติ ซึ่งคำตอบของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือ การยอมรับ” ซึ่งข้อความนี้กลายเป็นประโยคสำคัญที่ผู้รักษาโรคพิษสุราเรื้อรังในยุคนั้นยึดถือเป็นแรงใจ
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ แม้จะไม่ได้เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง แต่ประโยคดังกล่าวก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตได้ ทั้งเรื่องการเรียน การงาน และความสัมพันธ์ เราอาจอยากให้โลกเป็นดั่งใจ เฝ้าจินตนาการถึงสิ่งที่ ‘ควรจะเป็น’ แต่เพียงความต้องการของเรานั้นไม่อาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ หนำซ้ำยังอาจนำมาซึ่งความทุกข์ ความร้อนรนใจอีกด้วย
มีการศึกษาวิจัยมากมายที่พบว่า การใช้ชีวิตให้ช้าลง มีสติอยู่กับปัจจุบัน และรู้สึกขอบคุณสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต สามารถสร้างเส้นทางวิถีประสาทในสมองใหม่ ซึ่งการฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การเชื่อมโยงเหล่านี้ยิ่งแข็งแกร่ง เมื่อเวลาผ่านไป เราอาจเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ที่เริ่มมีความสุขกับสิ่งเล็กน้อย ยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างเข้าใจ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปล่อยตัวเองให้เลื่อนไหลไปอย่างไร้จุดหมาย แต่กลับมีความสุขในชีวิตอย่างเต็มที่มากขึ้น
สุดท้ายแล้ว การยอมรับ จึงย่อมไม่เท่ากับ การยอมแพ้ แต่คือการเดินทางสู่เส้นชัยที่เราจะก้าวข้ามไปสู่เป้าหมายใหม่ เมื่อเลือกที่จะไม่ฝืน ไม่ดึงดัน เมื่อเปิดใจให้เห็นความจริงของชีวิต หยุดต่อสู้กับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และโอบรับความจริงตามที่เป็น เราก็จะได้ปลดปล่อยตัวเองจากการต่อสู้ที่แสนเหนื่อยล้า และค่อยๆ กลับมาอยู่กับปัจจุบันที่สงบเย็นและเป็นสุข
เมื่อเราเปลี่ยนมาทุ่มเทพลังงานให้กับสิ่งที่ยังเปลี่ยนแปลงได้ สร้างเส้นทางชีวิตขึ้นมาใหม่
และก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความหวังและพลังใจ นั่นย่อมไม่ใช่การยอมแพ้
แต่เป็นการเข้าเส้นชัยที่กล้าหาญ ซึ่งจะพาชีวิตไปสู่ความสงบสุขได้ต่างหาก
Writer | สุภาวดี ไชยชลอ
Illustrator | Arunnoon
วันนี้ฉันจะรวย! (แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นเศรษฐีไม่เป็นไร งวดหน้าเอาใหม่)
พูดคุยกับ คุณนุ้ย-ดร.ปรีชญา ชวลิตธำรง General Manager 10DK และ คุณชื่น-ชื่นกมล อบอาย Head of 10DK Home Tidying Department ตัวแทนจากทีม 10DK Home Tidying
บันทึกการเดินทาง Work & Travel ที่ชวนย้อนทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ว่าครั้งหนึ่งเราพาตัวเองไปพบเจอเรื่องร้ายดีเช่นไร