The Present Move

Hero’s Journey ‘การเปลี่ยนแปลง’ อาจเป็นเสียงเพรียกหา แม้ชีวิตที่แสนสามัญธรรมดา เราเองก็อาจเป็นฮีโร่ในเรื่องราวของตัวเอง

The Present Move | Mindful Global Citizens

คุณออกจาก Comfort Zone
ครั้งสุดท้ายเมื่อไร?

เชื่อว่าคำถามนี้อาจทำให้ท่านผู้อ่านหลายคนหยุดคิดสักครู่ เพราะนอกจากจะต้องถามตัวเองถึงเหตุการณ์ข้างต้นแล้วนั้น อาจยังเป็นการถกถามถึงนิยามว่าด้วย ‘Comfort Zone’
เช่นกันก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม หากให้อธิบายโดยกระชับ คอมฟอร์ตโซนอาจหมายถึงพื้นที่คุ้นชินที่ปลอดภัยในการที่จะเป็นตัวเองในรูปแบบที่คุ้นชินและอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย

แต่ว่าก็ว่าเถอะ ในชีวิตคนเรานั้นยากที่จะพบเจออะไรที่ราบรื่นได้อย่างตลอดรอดฝั่ง และหลายต่อหลายครั้งก็พบเจอเหตุการณ์ Coming of Age ที่มากมายเกินกว่าจะรับไหวได้ในคราเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจมองได้เช่นกันว่า หลากหลายเหตุการณ์ที่เข้ามาปะทะเหล่านั้น คือการพบเจอสถานการณ์ต่างๆ ที่ช่วยทำให้เราได้เติบโตขึ้น และอาจกลายมาเป็นการให้ความหมายกับชีวิตของเรานี้อย่างมากมายได้ในที่สุด

วันนี้ผู้เขียนจึงขอพาไปรู้จักกับ ‘Hero’s Journey’ หนึ่งในทฤษฎีการสร้างเรื่องเล่าสุดคลาสสิก ที่แม้เราไม่ใช่นักกวีหรือนักเขียนนวนิยายก็ตาม ก็ต่างนำเอาบางอย่างจากทฤษฎีนี้ไปใช้กับชีวิตได้อย่างแนบเนียนไม่แพ้กัน

แน่อยู่แล้วว่า Hero’s Journey คือทฤษฎีการเขียนบทและการสร้างคาแรกเตอร์ตัวละครที่ โจเซฟ จอห์น แคมป์เบลล์ (Joseph John Campbell) นักเขียนและศาสตราจารย์ด้านวรรณกรรมชาวอเมริกัน ได้สร้างสรรค์ทั้งคำนิยามและชิ้นงานที่ว่าด้วยเรื่องนี้เอาไว้อย่างขึ้นชื่อ

งานของแคมป์เบลล์ นอกจากจะเป็นตำรับตำราขึ้นหิ้งของคนที่เรียนวรรณกรรมแล้ว แต่ในอีกแง่หนึ่งงานของเขานั้นยังครอบคลุมหลายแง่มุมที่ตีแผ่ประสบการณ์ของมนุษย์ทั้งการเติบโตผ่านประสบการณ์ ดังนั้นหนังสือ The Hero with a Thousand Faces (1949) จึงเป็นผลงานขึ้นหิ้งของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งนั่นก็คือต้นตำรับของ Hero’s Journey ที่เราจะมาคุยกันในวันนี้นั่นเอง

“ทุกเรื่องเล่าล้วนมี ‘โครงสร้าง’ เดียวกัน” คือข้อเท็จจริงที่เขาค้นพบจากการศึกษาเรื่องราวต่างๆ ทั้งทางวรรณคดีและเทววิทยาที่มีมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้นว่าด้วยเรื่องเล่าต่างๆ นั้น เล่าถึง ‘ผู้กล้า’ (Hero) ผู้ซึ่งเป็นตัวละครหลักของเรื่อง ที่ออกเดินทางไปจากโลกที่คุ้นเคยและเติบโตมา ไปเจอปัญหาและต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นรวมกับเป็นแบบทดสอบที่ต้องเอาชนะในภารกิจ ก่อนที่จะล้มเหลวที่คราแรก ลุกขึ้นสู้ใหม่ พบกับวิธีแก้ปัญหาและเอาชนะมันได้อย่างยิ่งใหญ่ ชื่นชมกับชัยชนะ และกลับไปยังโลกเดิมด้วยแววตาและตัวตนที่เปลี่ยนไปเพราะเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว

หากสังเกตดู เราอาจค้นพบว่า Hero’s Journey แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จยอดนิยมในการสร้างพล็อตภาพยนตร์สักเรื่อง ไม่เพียงแต่หนังแอ็คชันฮีโร่หรือหนัง Coming of Age เองก็ด้วย เพราะเมื่อผ่านจุดไคลแม็กซ์มาแล้วนั้น เมื่อปริศนาและเรื่องราวที่ถูกผูกปมเอาไว้นั้นได้รับการไขปริศนาอย่างกระจ่าง และปิดท้ายด้วยการเติบโตหลังการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น เราจะพบว่า ‘เขา’ ซึ่งก็คือตัวละครเหล่านั้นย่อมแตกต่างไปจากเดิม เพราะอุปสรรคปัญหาที่ได้เผชิญนั้นทำให้เขาเติบโต และช่วยขัดเกลาให้ตัวตนของเขาได้เปลี่ยนไป

ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้วนั้น สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรจากการใช้ชีวิต

เพราะ ‘เรา’ ในฐานะมนุษย์โลกนั้น มีทั้ง ‘เรื่องเล่า’ และ ‘เรื่องราว’ หลากหลายอุปสรรคก่อร่างสร้างตัวตนให้เราเป็นเราเช่นดังในปัจจุบัน 

และแน่นอนว่า หากชีวิตคือภาพยนตร์ เราก็ไม่ต่างอะไรไปจากตัวละครเอกที่ดำเนินชีวิตและเกิดเรื่องราวต่างๆ แม้ในวันธรรมดาสามัญ

ดังนั้น สิ่งที่อาจสำคัญไปกว่าการสร้างเรื่องเล่า คือ ‘เรา’ จะขีดเขียนชีวิตตัวเองออกมาได้อย่างไร และเป็นในเรื่องราวแบบไหน

เพราะอุปสรรคปัญหาที่เข้ามานั้นอาจเป็นภารกิจให้เราต้องเผชิญก่อนจะไปถึงจุดที่จะประสบความสำเร็จ เสียงร้องที่เพรียกหาฮีโร่นั้น ไม่ต่างอะไรกับเสียงจากการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาแทรกแซงเราตลอดชั่วชีวิต ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนเราจะต่อต้านกับสิ่งใหม่ แต่นานวันเข้าไปประสบการณ์ใหม่ๆ เหล่านี้อาจทำให้เราเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็เป็นได้

Writer | ภาพตะวัน

Illustrator | Arunnoon

Personal Boundary มีสติในความสัมพันธ์ เพื่อพื้นที่ของฉันและพื้นที่ของเธอ

สำหรับบางคน เราอาจพัฒนาความสัมพันธ์เป็นเพื่อนสนิท คนรู้ใจ คนที่เราอยากเก็บพวกเขาไว้ในชีวิต แต่ถึงกระนั้น ช่องว่างระหว่างกันก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้แต่ละคนเติบโตต่อไปได้ เปรียบดังต้นไม้ใหญ่ที่เว้นช่องว่างระหว่างกัน

CBT Cognitive Behavioral Therapy การบำบัดที่ใช้ปัจจุบันขณะเป็นสิ่งเยียวยา

เคยรู้สึกบางอย่างแล้วพูดออกมาไม่ได้ไหม? สิ่งเหล่านั้นอาจเกิดจากว่าเราไม่อาจยอมรับความรู้สึกตัวเอง ไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ หรือกระทั่งรู้ไม่เท่าทันกับความคิดบางอย่าง

เปิดเหตุผลทางจิตวิทยา ว่าด้วย ‘Serial Monogamy’ ความสัมพันธ์แบบเลิกกับคนก่อนปุ๊บ ก็มีคนใหม่ปั๊บ

Serial Monogamy เป็นคำเรียกของการไปต่อในความสัมพันธ์ครั้งใหม่ได้เลยในเวลาสั้นๆ หลังจากสิ้นสุดความสัมพันธ์ครั้งเก่า โดยส่วนมากแล้วจะใช้เวลาเพียง 2-3 สัปดาห์ หรืออาจจะไม่เกิน 2-3 เดือนในการคบกับคนใหม่