
วันนี้ใครจะเป็นเศรษฐี? Near Miss Effect จิตวิทยาว่าด้วย ‘ความเฉียด’ ที่แค่ได้สุ่มและร่วมลุ้นก็อาจฟินราวกับทำสำเร็จ
วันนี้ฉันจะรวย! (แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นเศรษฐีไม่เป็นไร งวดหน้าเอาใหม่)
รู้จัก Crown Shyness ไหม?
ท่ามกลางป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ หากลองแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ก็อาจพบว่าเรือนยอดของต้นไม้มากมายเหล่านั้น ต่างรักษาระยะห่างซึ่งกันและกัน
อย่างพอเหมาะพอดี เกิดเป็นช่องว่างสวยงามราวกับลวดลายฉลุ
ที่ประดับประดาอยู่เบื้องหน้าท้องฟ้าสีคราม
ในทางตรงกันข้าม ลองจินตนาการว่าหากต้นไม้เหล่านั้น อยู่ชิดติดกัน ปราศจากพื้นที่ว่างให้เติบโต มนุษย์เดินดินที่อาศัยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นก็คงรู้สึกอึดอัด อบอ้าว
ยิ่งเมื่อแสงจากดวงอาทิตย์ไม่อาจสาดส่องลงมาถึงพื้นดินได้ สรรพสิ่งทั้งหลายภายใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่ คงไม่อาจเติบโต สำหรับต้นไม้ใหญ่เองก็เช่นกัน การอยู่ชิดติดกันเกินไปก็อาจบาดเจ็บ
จากการสัมผัส เสียดสีเมื่อมีแรงลม ฝน และอาจได้รับอันตรายจากแมลงศัตรูพืชที่ติดต่อกัน
ต้นไม้มากมายในป่า ก็คงไม่ต่างจากมนุษย์ในสังคม เรามีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน สำหรับบางคน เราอาจพัฒนาความสัมพันธ์เป็นเพื่อนสนิท คนรู้ใจ คนที่เราอยากเก็บพวกเขาไว้ในชีวิต แต่ถึงกระนั้น ช่องว่างระหว่างกันก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้แต่ละคนเติบโตต่อไปได้ เปรียบดังต้นไม้ใหญ่ที่เว้นช่องว่างระหว่างกัน
แต่การสร้างพื้นที่ส่วนตัวในความสัมพันธ์อาจไม่ง่ายขนาดนั้น ยิ่งคนเราใกล้ชิดกันมาก มีความรู้สีกดีๆ ให้แก่กัน บางครั้งเราก็อาจเผลอเอาตัวตนของเราผูกไว้กับอีกฝ่าย หรือใช้อีกฝ่ายเป็นที่พึ่งพิงทางอารมณ์ จนช่องว่างระหว่างกันค่อยๆ หายไป กลายเป็นความอึดอัด หรือบางครั้ง เราก็หวาดกลัวความชิดใกล้ จนเว้นที่ว่างห่างเกินไป ทำร้ายความสัมพันธ์
เมื่อความสัมพันธ์เป็นเรื่องของคนสองคน สิ่งที่อยากชวนหาคำตอบก็คือ เราจะสร้างพื้นที่ส่วนตัวอย่างไร ให้พอเหมาะพอดี และเว้นพื้นที่ตรงกลางเป็นที่ว่างให้ต่างคนได้เติบโต
| เข้าใจเรื่อง Personal Boundary
เพราะทุกคนต้องมี ‘พื้นที่ส่วนตัว’
มนุษย์เราต่างต้องการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว ซึ่งแต่ละคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตย่อมมีระยะห่างที่แตกต่างกัน ตั้งแต่คนรู้จัก ไปจนถึงคนสนิทที่คุ้นเคยไม่ต่างจากครอบครัว คนรู้จักทั่วไปมักมีขอบเขตในความสัมพันธ์ที่ชัดเจน พูดคุยกันได้ในบางเรื่อง แต่เมื่อเป็นคนใกล้ชิดหรือคนรัก ความสนิทสนมและเวลาที่ใช้ร่วมกันอาจทำให้ขอบเขตนั้นเลือนราง จนบางครั้งกลายเป็นการก้าวล้ำพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน การแบ่งปันชีวิตกันเป็นเรื่องดี แต่หากขาดการรักษาระยะห่างที่เหมาะสม อาจทำให้สูญเสียตัวตนและไม่เป็นตนเอง
บางคนอาจมองว่าการสร้างขอบเขต หมายถึงการสร้างกำแพงในความสัมพันธ์ ซึ่งการสร้างกำแพงกับคนที่ไม่สนิทสนม คงไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์สักเท่าไร แต่การสร้างกำแพงกับคนใกล้ชิดเป็นสิ่งที่ควรทำจริงหรือ?
นักจิตวิทยาแนะนำว่า ทุกความสัมพันธ์ ควรมีกำแพงสำหรับพื้นที่ส่วนตัว เพียงแต่ระดับความสูงของกำแพงนั้นอาจไม่เท่ากัน เมื่ออยู่กับคนรักหรือเพื่อนสนิท กำแพงอาจลดต่ำลง เพื่อเปิดรับและแบ่งปันกันมากขึ้น แต่ในบางจังหวะก็จำเป็นต้องมีระยะห่างพอสมควร เพื่อให้แต่ละฝ่ายได้มีเวลาทำความเข้าใจตนเองและเติบโตโดยไม่ถูกครอบงำ การมีขอบเขตที่ชัดเจนจึงไม่ใช่การปิดกั้น แต่เป็นการรักษาความสมดุลในความสัมพันธ์ ให้ยังคงอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน หรือที่เรียกว่า การกำหนดขอบเขต (Set Boundary) นั่นเอง
การกำหนดขอบเขต หมายถึง การขีดเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่เราเต็มใจและไม่เต็มใจจะแบ่งปันกับผู้อื่น เปรียบเสมือนเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันความขุ่นข้องหมองใจ ความเครียด และความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ไม่ให้เข้ามากล้ำกรายในความสัมพันธ์
ยกตัวอย่าง ความสัมพันธ์ที่ขาดสติและพึ่งพิงกันมากเกินไป มักทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายรู้สึกหมดพลังและขาดอิสรภาพ เช่น คู่รักที่ต้องการการยืนยันความรักจากอีกฝ่ายเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการรับโทรศัพท์ทันที ตอบข้อความเร็วๆ หรือคอยเช็กตลอดเวลาว่า อีกฝ่ายทำอะไร กับใคร หากไม่ได้รับการตอบสนองอย่างที่คาดหวัง ก็จะระแวงและนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งในที่สุด นั่นเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ได้ตกลงกำหนดขอบเขตพื้นที่ในความสัมพันธ์ให้ชัดเจนนั่นเอง
Personal Boundary จึงสำคัญกับความสัมพันธ์ไม่ว่าจะกับคนรู้จัก คนสนิท หรือกระทั่งครอบครัว เพราะเมื่อแต่ละคนได้มีพื้นที่ส่วนตัว ก็เปรียบเสมือนปรากฏการณ์ Crown Shyness ที่ต้นไม้เว้นระยะห่างของยอดใบ ให้แต่ละต้นยังได้รับแสงแดดและอากาศตามเพื่อเติบโตอย่างที่ควรจะเป็น ความสัมพันธ์ของคนเราก็เป็นเช่นนั้น Personal Boundary ช่วยให้เราไม่ใกล้กันจนอึดอัดหรือห่างกันจนอ้างว้าง แต่สามารถเติบโตเคียงข้างกันไปได้โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง
| ชวนรู้จักขอบเขตที่ควรสร้างในความสัมพันธ์
ขอบเขตส่วนตัวในความสัมพันธ์อาจเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นความสัมพันธ์ประเภทใดและกับใคร เช่น คุณอาจมีขอบเขตทางกายภาพกับเพื่อนร่วมงาน แต่ไม่ใช่กับคนรัก หรือมีขอบเขตเรื่องทรัพย์สินเงินทองกับญาติห่างๆ แต่ไม่มีกับเพื่อนสนิท ซึ่งขอบเขตเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานะและความสัมพันธ์ในชีวิตได้ ไม่ใช่เรื่องตายตัว ต่อไปนี้ เป็นประเภทของขอบเขตที่เราอยากแนะนำให้รู้จัก เผื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาที่คุณกำลังเผชิญในความสัมพันธ์ได้ไม่มากก็น้อย
ขอบเขตด้านกายภาพ ช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดภัยและไม่อึดอัด ไม่เฉพาะเมื่ออยู่กับคนแปลกหน้าเท่านั้น แต่กับคนใกล้ตัวก็เช่นเดียวกัน เช่น หากคุณมีเพื่อนที่หัวเราะทีไรก็ชอบตีแขนคนข้างๆ ครั้งเดียวไม่เท่าไร แต่ตีรัวเป็นกลองชุด จนรู้สึกเจ็บ คุณก็สามารถสื่อสารบอกเพื่อนได้ว่า การกระทำนี้ทำให้คุณเจ็บ และคุณไม่ต้องการให้เกิดขึ้น หรือกระทั่งกับคนรัก ที่ชอบหยิกแก้มเวลาที่คุณเผลอ หากคุณรู้สึกไม่โอเค การกำหนดขอบเขตว่าอะไรทำได้ไม่ได้กับร่างกายของเรา ก็จะทำให้สองฝ่ายเข้าใจกันมากขึ้น
ขอบเขตพื้นที่และเวลา พื้นที่ส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญมาก และการที่คนเราสูญเสียพื้นที่และเวลาส่วนตัวไป อาจส่งผลกระทบต่อหลายๆ สิ่งในชีวิต ทั้งการงาน สุขภาพ และความสัมพันธ์ การใช้เวลากับคนรัก 24 ชั่วโมง อาจฟังดูโรแมนติก แต่ในความเป็นจริง การอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ย่อมทำให้เกิดความเครียดและอึดอัด ต่างฝ่ายควรหาสมดุลระหว่างเวลาส่วนตัวและเวลาร่วมกันให้เหมาะสม และเคารพพื้นที่และเวลาส่วนตัวของกันและกัน สำหรับเพื่อนร่วมงานหรือคนรู้จักก็เช่นเดียวกัน ควรกำหนดขอบเขตเวลา เช่น ไม่คุยเรื่องงานในวันหยุด หรือ โต๊ะทำงานเป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่ควรมีใครมาหยิบจับอะไรก่อนได้รับอนุญาต เป็นต้น
ขอบเขตทางอารมณ์ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรละเลย หากมีบางสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหรือทำแล้วคุณรู้สึกว่าพวกเขากำลังละเมิดความรู้สึกของคุณ เช่น ถามความรู้สึกหลังเลิกกับแฟน หรือ ถามเรื่องในครอบครัวที่คุณไม่อยากพูดถึง ลองสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจ ด้วยการบอกว่า “ผมไม่คุยเรื่องส่วนตัวในที่ทำงาน” หรือ หากการบอกกล่าวยากเกินไป การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก็สามารถส่งสัญญาณได้ว่าคุณรู้สึกไม่โอเคที่จะพูดเรื่องเหล่านั้น ขอบเขตทางอารมณ์ยังหมายถึงการรับรู้ว่าในบางสถานการณ์ เราก็ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบความรู้สึกของใคร เช่น หากคุณปฏิเสธเมื่อมีคนมาชวนออกเดต ทำให้อีกฝ่ายเสียใจ หากคุณมั่นใจว่า แสดงออกชัดเจนมาตลอดว่าไม่ได้มีใจ การรับรู้ว่าตนเองไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอารมณ์ของคนอื่น ก็เป็นการกำหนดขอบเขตทางอารมณ์เช่นกัน
ขอบเขตด้านการเงิน ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และกลายเป็นปัญหาในความสัมพันธ์ได้ง่ายๆ ช่วงเริ่มต้นความสัมพันธ์ ควรพูดคุยอย่างเปิดเผยว่าจะบริหารการเงินระหว่างกันอย่างไร ค่าใช้จ่ายในบ้านใครดูแล เงินส่วนตัวของแต่ละคนจะเปิดเผยหรือไม่ จะเปิดบัญชีร่วมกันไหม
ทั้งหมดนี้ควรพูดคุยทำความเข้าใจกันตั้งแต่เนิ่นๆ บนพื้นฐานของการยอมรับ
และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ความสัมพันธ์ที่ปราศจากขอบเขตอาจกลายเป็น Toxic Relationship ที่บั่นทอนจิตใจ
คุณอาจรู้สึกว่า ถูกเอาเปรียบหากเพื่อนขอยืมเงินบ่อยๆ หรือรู้สึกเครียดที่ต้องรองรับอารมณ์
จากคนรัก บางคนอาจอึดอัดที่พ่อแม่ก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัว รื้อค้นห้องคุณโดยไม่ขออนุญาต
ในทำนองเดียวกัน หากเป็นตัวคุณเองที่ข้ามเส้นขอบเขตส่วนตัวของคนอื่น
การกระทำของคุณก็อาจกำลังทำลายความสัมพันธ์โดยไม่รู้ตัว
การมีสติในทุกย่างก้าวของชีวิต รวมทั้งในความสัมพันธ์ทุกครั้ง จึงสำคัญในแง่ที่ช่วยให้เราเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตนเองและคนรอบข้าง มีเวลากลั่นกรอง และ ใคร่ครวญว่า “เราต้องการอะไรจากความสัมพันธ์นี้” เพื่อสร้างขอบเขตที่ชัดเจน นำไปสู่การเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ต่างจากยอดเรือนของต้นไม้ในป่าใหญ่ ที่ไม่ใช่แค่เติบโตไปวันๆ แต่เรียนรู้ที่จะสร้างช่องว่างระหว่างกัน
เพื่อให้ทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวโยงกันเติบโตในความสัมพันธ์ได้ตามเส้นทางตัวเอง
Writer | สุภาวดี ไชยชลอ
Illustrator | Arunnoon
วันนี้ฉันจะรวย! (แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นเศรษฐีไม่เป็นไร งวดหน้าเอาใหม่)
เคยสงสัยหรือไม่? ว่าเพราะอะไร ‘รักแรก’ จึงยังสวยงามและตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
คุณคิดว่า ‘ความสุข’ หน้าตาเป็นอย่างไรหรืออย่างน้อยที่สุด นิยามของ ‘ความสุข’ สำหรับคุณคืออะไร?