ทั้งหมดนี้ราวกับว่า แค่เพียง ‘คิดบวก’ จะกลายเป็นทางออกที่ดีที่สุดเสมอ ราวกับว่า สามารถเสกปิ๊งให้เรื่องราวทั้งหมดมลายหายไป แค่เพียงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้
แต่อันที่จริงแล้ว อะไรที่มากเกินไปก็อาจไม่เป็นผลดีตามที่คาดเอาไว้ แม้กระทั่ง ‘การคิดบวก’ (Positive Thinking) ก็เช่นเดียวกัน เพราะในบางครั้งการคิดบวกที่มากเกินไปก็อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายเราได้เช่นเดียวกัน
ความคิดบวกที่เป็นพิษ (Toxic Positivity) คือ การปฏิเสธความรู้สึกจริงของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ หรือความกลัว เราจะพยายามหาแต่แง่ดีในทุกสถานการณ์ แม้ว่าสถานการณ์นั้นจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม
หากการคิดบวกคือการมองหาแง่ดีในทุกสถานการณ์ แม้จะเจอปัญหา ก็ยังมองหาโอกาสและบทเรียนที่ได้เรียนรู้ แต่การคิดบวกที่เป็นพิษนั้นต่างออกไป เพราะว่า นั่นอาจเป็นช่องทางในการ ‘ปฏิเสธความรู้สึกเชิงลบ’ ออกไปเลยเสีย ซึ่งนั่นอาจไม่เป็นผลดีเท่าไรนัก เพราะการไม่ยอมรับหรือรู้ไม่เท่าทันความรู้สึกของตัวเองนั้น ก็อาจเป็นหนทางที่เราร่วงหล่นจากตัวตนของตัวเองไป
ดังนั้น การพยายามบังคับให้ตัวเองรู้สึกดีเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายหรือยากลำบากเพียงใดจึงอาจไม่เป็นผลดีเสมอไป
Toxic Positivity สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น การตกงาน หลายคนอาจพูดว่า
“คิดบวกเข้าไว้” หรือ “หางานแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้แล้ว” แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะมีเจตนาดีและต้องการให้กำลังใจ แต่กลับเป็นการปิดกั้นโอกาสที่คนฟังจะได้พูดถึงความรู้สึกที่พวกเขากำลังเผชิญ
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างอีกหนึ่งเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราทุกคน คงหนีไม่พ้นเรื่องการทำงาน อาจมีบางวันที่คุณรู้สึกเครียด กดดัน หรือสภาพแวดล้อมการทำงานเป็นพิษ ถ้าคุณพร่ำบอกตัวเองว่า “ทำๆ ไปเหอะ ดีกว่าไม่มีงานทำ” เพราะช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี การมีงานทำนั้นดีที่สุดแล้ว หากคิดแบบนี้บ่อยๆ ก็มีแต่จะทำให้คุณไม่สามารถขยับขยายไปที่ไหนได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว คุณมีความสามารถมากกว่านั้น และมีโอกาสเติบโตอีกไกลในที่อื่นๆ
หรือกรณีของการสูญเสีย คุณอาจเคยได้ยินคำปลอบประโลมที่ว่า “เขาไปดีแล้ว” หรือ “มีพบก็ต้องมีจาก” แม้คำพูดเหล่านี้จะมีจุดประสงค์เพื่อปลอบโยน แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ แต่ในบางครั้งคำพูดเหล่านี้กลับเป็นการปิดกั้นโอกาสที่ผู้สูญเสียจะได้แสดงความรู้สึกเสียใจออกมา
แม้ว่าการมองโลกในแง่ดีจะเป็นสิ่งที่ดี แต่การพยายามมองโลกในแง่ดีตลอดเวลาโดยไม่ยอมรับความรู้สึกเชิงลบที่แท้จริง กลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจของเราเอง โดยเฉพาะเรื่องการปฏิเสธความรู้สึก ทำให้เราเก็บกดความรู้สึกเหล่านั้นไว้ภายใน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น เช่น ภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวล
จากเดิมที่เรามักใช้คำว่า “สู้ๆ นะ” หรือ “คิดบวกเข้าไว้” อาจลองเปลี่ยนเป็นประโยคที่แสดงความเข้าใจ เช่น
“ฟังดูยากนะที่ต้องผ่านเรื่องราวแบบนี้”
“ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนเข้มแข็ง เชื่อว่ายังไงก็ผ่านไปได้”
“ถ้ามีอะไรที่ช่วยได้ บอกได้เลยนะ”
เพราะหลักการสำคัญอยู่ที่ ‘การให้กำลังใจอย่างมีสติ’ เพราะสิ่งนี้คือการแสดงความเข้าใจและให้กำลังใจผู้อื่นในแบบที่พวกเขาต้องการ ซึ่งส่งผลที่ดีและยั่งยืนมากกว่าการพูดคำหวาน และการฝึกฝนทักษะนี้จะช่วยให้คุณสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีของทั้งตัวคุณเอง รวมถึงผู้อื่นอีกด้วย
จริงๆ แล้วการมองโลกในแง่ดีไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องดี เราทุกคนต่างมีอารมณ์และประสบการณ์ที่เจ็บปวด แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่อยากรับรู้ แต่เราจำเป็นต้องรู้และจัดการอารมณ์ตัวเองกับเรื่องเหล่านั้นอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์ เพื่อยอมรับความจริงและสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า
สุดท้ายนี้ หาก Toxic Positivity คือการที่เราถูกผลักดันให้คิดบวกจนเกินไป แม้ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรือความท้าทาย เมื่อความคิดบวกเริ่มกลายเป็นสิ่งที่กดทับอารมณ์และปฏิเสธความรู้สึกด้านลบ ส่งผลให้สุขภาพจิตถูกบั่นทอนและปัญหาก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข บทความนี้จะเสนอวิธีรับมือกับ Toxic Positivity เพื่อให้เราได้เผชิญกับความรู้สึกของตัวเองอย่างแท้จริง