The Present Move

ก้าวข้ามกับดักของการคิดบวก ชวนรู้จักและหาวิธีรับมือกับ Toxic Positivity เพื่อที่จะน้อมรับทุกอารมณ์และความรู้สึก

The Present Move | Mindful Global Citizens

ตั้งแต่เด็กจนโต หลายครั้งที่รู้สึกไม่ดีหรือเศร้า
เรามักได้ยินคำว่า ‘อย่าคิดมาก’
‘ให้มองโลกในแง่ดี’ หรือ ‘คิดบวกเข้าไว้สิ’
เพื่อให้เรามีกำลังใจฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ 

ทั้งหมดนี้ราวกับว่า แค่เพียง ‘คิดบวก’ จะกลายเป็นทางออกที่ดีที่สุดเสมอ ราวกับว่า สามารถเสกปิ๊งให้เรื่องราวทั้งหมดมลายหายไป แค่เพียงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้

แต่อันที่จริงแล้ว อะไรที่มากเกินไปก็อาจไม่เป็นผลดีตามที่คาดเอาไว้ แม้กระทั่ง ‘การคิดบวก’ (Positive Thinking) ก็เช่นเดียวกัน เพราะในบางครั้งการคิดบวกที่มากเกินไปก็อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายเราได้เช่นเดียวกัน

ความคิดบวกที่เป็นพิษ (Toxic Positivity) คือ การปฏิเสธความรู้สึกจริงของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ หรือความกลัว เราจะพยายามหาแต่แง่ดีในทุกสถานการณ์ แม้ว่าสถานการณ์นั้นจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม

หากการคิดบวกคือการมองหาแง่ดีในทุกสถานการณ์ แม้จะเจอปัญหา ก็ยังมองหาโอกาสและบทเรียนที่ได้เรียนรู้ แต่การคิดบวกที่เป็นพิษนั้นต่างออกไป เพราะว่า นั่นอาจเป็นช่องทางในการ ‘ปฏิเสธความรู้สึกเชิงลบ’ ออกไปเลยเสีย ซึ่งนั่นอาจไม่เป็นผลดีเท่าไรนัก เพราะการไม่ยอมรับหรือรู้ไม่เท่าทันความรู้สึกของตัวเองนั้น ก็อาจเป็นหนทางที่เราร่วงหล่นจากตัวตนของตัวเองไป

ดังนั้น การพยายามบังคับให้ตัวเองรู้สึกดีเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายหรือยากลำบากเพียงใดจึงอาจไม่เป็นผลดีเสมอไป

 Toxic Positivity สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น การตกงาน หลายคนอาจพูดว่า
“คิดบวกเข้าไว้” หรือ “หางานแป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้แล้ว” แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะมีเจตนาดีและต้องการให้กำลังใจ แต่กลับเป็นการปิดกั้นโอกาสที่คนฟังจะได้พูดถึงความรู้สึกที่พวกเขากำลังเผชิญ 

ผู้เขียนขอยกตัวอย่างอีกหนึ่งเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเราทุกคน คงหนีไม่พ้นเรื่องการทำงาน อาจมีบางวันที่คุณรู้สึกเครียด กดดัน หรือสภาพแวดล้อมการทำงานเป็นพิษ ถ้าคุณพร่ำบอกตัวเองว่า “ทำๆ ไปเหอะ ดีกว่าไม่มีงานทำ” เพราะช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี การมีงานทำนั้นดีที่สุดแล้ว หากคิดแบบนี้บ่อยๆ ก็มีแต่จะทำให้คุณไม่สามารถขยับขยายไปที่ไหนได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว คุณมีความสามารถมากกว่านั้น และมีโอกาสเติบโตอีกไกลในที่อื่นๆ

หรือกรณีของการสูญเสีย คุณอาจเคยได้ยินคำปลอบประโลมที่ว่า “เขาไปดีแล้ว” หรือ “มีพบก็ต้องมีจาก” แม้คำพูดเหล่านี้จะมีจุดประสงค์เพื่อปลอบโยน แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ แต่ในบางครั้งคำพูดเหล่านี้กลับเป็นการปิดกั้นโอกาสที่ผู้สูญเสียจะได้แสดงความรู้สึกเสียใจออกมา

แม้ว่าการมองโลกในแง่ดีจะเป็นสิ่งที่ดี แต่การพยายามมองโลกในแง่ดีตลอดเวลาโดยไม่ยอมรับความรู้สึกเชิงลบที่แท้จริง กลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจของเราเอง โดยเฉพาะเรื่องการปฏิเสธความรู้สึก ทำให้เราเก็บกดความรู้สึกเหล่านั้นไว้ภายใน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น เช่น ภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวล

จากเดิมที่เรามักใช้คำว่า “สู้ๆ นะ” หรือ “คิดบวกเข้าไว้” อาจลองเปลี่ยนเป็นประโยคที่แสดงความเข้าใจ เช่น

“ฟังดูยากนะที่ต้องผ่านเรื่องราวแบบนี้”

“ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนเข้มแข็ง เชื่อว่ายังไงก็ผ่านไปได้”

“ถ้ามีอะไรที่ช่วยได้ บอกได้เลยนะ” 

เพราะหลักการสำคัญอยู่ที่ ‘การให้กำลังใจอย่างมีสติ’ เพราะสิ่งนี้คือการแสดงความเข้าใจและให้กำลังใจผู้อื่นในแบบที่พวกเขาต้องการ  ซึ่งส่งผลที่ดีและยั่งยืนมากกว่าการพูดคำหวาน และการฝึกฝนทักษะนี้จะช่วยให้คุณสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีของทั้งตัวคุณเอง รวมถึงผู้อื่นอีกด้วย

จริงๆ แล้วการมองโลกในแง่ดีไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องดี เราทุกคนต่างมีอารมณ์และประสบการณ์ที่เจ็บปวด แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่อยากรับรู้ แต่เราจำเป็นต้องรู้และจัดการอารมณ์ตัวเองกับเรื่องเหล่านั้นอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์ เพื่อยอมรับความจริงและสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอาจเป็นสิ่งที่ดีกว่า

สุดท้ายนี้ หาก Toxic Positivity คือการที่เราถูกผลักดันให้คิดบวกจนเกินไป แม้ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหรือความท้าทาย เมื่อความคิดบวกเริ่มกลายเป็นสิ่งที่กดทับอารมณ์และปฏิเสธความรู้สึกด้านลบ ส่งผลให้สุขภาพจิตถูกบั่นทอนและปัญหาก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข บทความนี้จะเสนอวิธีรับมือกับ Toxic Positivity เพื่อให้เราได้เผชิญกับความรู้สึกของตัวเองอย่างแท้จริง

| 1. ยอมรับความรู้สึก

ยอมรับความรู้สึกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า โกรธ หรือกลัว ล้วนเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ การปฏิเสธความรู้สึกเหล่านี้จะยิ่งทำให้คุณรู้สึกแย่ลงไปอีก ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การกดทับหรือพยายามผลักดันอารมณ์เหล่านี้ออกไปเพราะคิดว่ามันไม่ดี อาจทำให้เราไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างแท้จริง วิธีง่ายๆ ที่ลงมือทำได้เลยคือการให้เวลาตัวเอง ไม่ตัดสินตัวเอง และจดบันทึกความรู้สึก สำรวจอารมณ์ของตัวเองอย่างลึกซึ้งและชัดเจนมากขึ้น

| 2. พูดคุยกับผู้อื่น

การพูดคุยกับคนที่เราไว้ใจช่วยให้เราได้ระบายและแบ่งปันความรู้สึก การเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวอาจทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว โดยเลือกคนที่ไว้ใจ รู้สึกปลอดภัย และเชื่อว่าจะรับฟังโดยไม่ใคร่ตัดสิน รวมถึงเปิดใจรับฟังมุมมองของคนอื่น อาจทำให้เรามองสถานการณ์จากอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน พยายามฟังอย่างตั้งใจและให้กำลังใจพวกเขา ไม่จำเป็นต้องรีบหาทางแก้ไขปัญหาเสมอไป บางครั้งแค่มีคนรับฟังก็เพียงพอแล้ว

| 3. มองสถานการณ์ให้รอบด้าน

การมองสถานการณ์ในหลายมิติ ช่วยให้เราเข้าใจความจริงอย่างสมบูรณ์ และหาทางแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยไม่จำเป็นต้องมองในแง่บวกหรือลบเกินไป เช่น การถามตัวเองว่า “เกิดอะไรขึ้น” “ควรปล่อยวางเรื่องไหน” สิ่งสำคัญคืออย่ามองโลกในแง่ดีเกินไปหรือแง่ร้ายเกินไป
พยายามรักษาความสมดุลในความคิดของตัวเองให้ได้


อย่างไรก็ตาม การรับมือนั้นไม่ใช่การปฏิเสธความคิดบวก แต่คือการยอมรับว่าทุกคนมีทั้งความรู้สึกดีและไม่ดี การให้ความสำคัญกับอารมณ์ที่แท้จริงจะช่วยให้เราเติบโตและแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น การแสดงความรู้สึกออกมาบ้างเป็นเรื่องปกติ และการปล่อยให้ตัวเองได้รู้สึกเศร้า โกรธ หรือกลัว ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมันจะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและปัญหาที่กำลังเผชิญได้ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาทั้งหมดในทันที การให้เวลาตัวเองได้ประมวลผลความรู้สึกก่อน จะช่วยให้เราจัดการกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น

ใครจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา เพราะเรามีความสุขได้ด้วยการ ‘Let Them’ ยอมรับและปล่อยให้พวกเขาได้เป็น และได้ทำอย่างที่ต้องการ

บ่อยครั้งแค่ไหน ที่ใจของเราจับจ้องอยู่กับการกระทำของคนอื่นไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง หรือ แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับเราเลย ตั้่งแต่คนที่เดินสวนกันในที่สาธารณะ

เราสมควรได้รับความรักจากตัวเองมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องรอคอยหรืออ้อนวอนขอความรักจากใคร

People Pleaser คือ คนที่ทำเพื่อคนอื่นจนละเลยความรู้สึกของตัวเอง ยอมสละความสุขหรือความสบายส่วนตน เพื่อทำให้ผู้อื่นพึงพอใจ

เพราะเราทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญในโลกอันกว้างใหญ่ ชวนฟัง 8 วลีที่อาจช่วยปลอบประโลมเราได้ในปี 2024 นี้

บางครั้งสิ่งที่เราต้องการนั้นก็อาจเป็นเพียงแค่กำลังใจ หรือคำพูดดีๆ จากใครสักคนที่ปลอบประโลมเราในช่วงเวลาที่ยากลำบาก