เคยสังเกตไหม? ชีวิตคนเรามักเปลี่ยนแปลงไปทุกๆ 7 ปี
“ในทางมนุษยปรัชญา ชีวิตคนเราจะแบ่งออกเป็นช่วงชีวิตทีละ 7 ปี ซึ่งเรียกว่า ‘7-Year Phase of Life’ คือ 0-7 ปี, 7-14 ปี และ 14-21 ปีไปเรื่อยๆ ซึ่งในแต่ละช่วงวัยก็มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ไปตามวัย
“ช่วงเวลาที่ท้าทายมักเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่าน (Transition) จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง หากพวกเราพ่อแม่ ครู หรือผู้ดูแลเด็ก เข้าใจพัฒนาการตามช่วงวัยของเด็ก เตรียมพร้อมที่จะรับมือและช่วยเหลือ จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่น โดยไม่ทิ้งแผลเป็นไว้ในใจของเด็กๆ
ตอนเด็กคล้ายเป็นการตอกเสาเข็มให้ตัวตนมั่นคง”
แม่ตาเล่าถึงแนวคิดที่น่าสนใจของมนุษยปรัชญาอย่างเรื่องของ ‘7-Year Phase of Life’ ที่ว่าด้วยชีวิตของมนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นท่อนละ 7 ปี ซึ่งแต่ละช่วงขวบปีมีพัฒนาการที่แตกต่างกันทั้งร่ายกาย จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก และความคิด
ช่วงแรกเกิดถึงอายุ 7 ปีจะเรียกว่าเป็น ‘ช่วงปฐมวัย’ (Early Childhood) ที่เป็นช่วงที่เวลาแห่งเจตจำนง (Willing) ตามพัฒนาการของเด็กซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณและการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตที่ผู้ดูแลเลี้ยงดู รวมถึงผู้คนรอบข้างควรตระหนัก และให้การใส่ใจจัดการกับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเด็กๆ
การวางรากฐานในช่วง 7 ปีแรกของชีวิตทั้งร่างกายและจิตใจนั้น เปรียบเสมือการเตรียมวางรากฐานลงเสาเข็มให้พร้อมสำหรับการสร้างบ้าน แม้เราไม่อาจมองเห็น แต่มั่นใจได้ว่ารากฐานที่มั่นคงแข็งแรงนั้นจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการก่อร่างสร้างชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งให้เติบโต พร้อมรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน สร้างให้เป็นตัวตนที่เข้มแข็ง นำทางชีวิตของตนเอง และช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้ในภายภาคหน้า
ต่อมาเมื่อ 7-14 ปี จะเริ่มเป็นขวบวัยของการพัฒนาอารมณ์และความรู้สึก (Feeling) เด็กๆ จะเรียนรู้และทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกอันหลากหลายที่เกิดขึ้นภายในตนเอง ช่วงเวลานี้จึงจำเป็นที่พ่อแม่หรือผู้ดูแลควรให้ความสำคัญอย่างมากในการเป็นพื้นที่โอบรับ ชี้ชวนให้เด็กๆ รู้จักและรับมือกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
ถัดมาในช่วงอายุ 14-21 ปีเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาความคิด (Thinking) เริ่มทำงานอย่างเต็มที่ เมื่อร่างกายและอารมณ์ของเขาถูกรับรู้แล้ว นั่นทำให้ตัวตนของเขาเริ่มชัดเจนงมากพอที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ได้ ครอบครัวจึงลดบทบาทลงมาอยู่ในฐานะผู้สนับสนุน (Supporter) แทน หลังจาก 21 ปีแล้ว ‘ตัวตน’ ของเขาจะปรากฏขึ้น อย่างไรก็ตาม ‘ตัวตน’ (ในทางมนุษยปรัชญาใช้คำว่า ‘I’) ยังคงต้องการเวลาในการพัฒนาให้แข็งแรงมากขึ้นผ่านการเดินทางและประสบการณ์ชีวิตต่อไป หลังจากผ่านการใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ รับผิดชอบตัวเองผ่านการทำงานได้ระยะหนึ่ง เมื่อก้าวสู่ช่วงอายุ 28 ปี แม้ว่าจะมีการงานที่ดูเหมือนทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ดีก็ตาม แต่จะเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ พบทางแยกภายในที่สำคัญ นำไปสู่การ set zero ผ่านวิกฤตที่จะนำไปสู่โอกาส
อีกนัยหนึ่งคือการที่ ‘ชีวิต’ กำลังจะ ‘เริ่มต้นใหม่’ อีกครั้ง
คล้ายกับว่าเป็นการ Coming of Age อีกครั้งและอีกครั้งในช่วงอายุ 35, 42, 49 ไปเรื่อยๆ ตามเฟสของชีวิต
“ฉะนั้นหากเราเตรียมงานรากฐานไม่ได้ดีพอ เมื่อเด็กๆ เติบโตเป็นวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ต้องออกไปเผชิญโลกภายภาคหน้า เขาอาจวิตกกังวล สั่นไหว ไม่มั่นใจในตัวเอง ดังนั้นการเตรียมมนุษย์คนหนึ่งเพื่อให้เขาพร้อมใช้ชีวิตบนโลกจึงเป็นเรื่องละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตให้ผ่านๆ ในแต่ละวันแบบหลับใหล”
“อีกสิ่งหนึ่งที่พี่ตาได้เรียนรู้จากการทำงานเป็นเพื่อนของคุณพ่อคุณแม่ใน Playgroup มา 12 ปีทำให้พบว่า ผู้ใหญ่หลายคนเมื่อต้องมาอยู่ในฐานะผู้ดูแลเด็กนั้นทำได้ยากมาก คล้ายกับว่าเขาอาจจะยังไม่สามารถที่จะรักตัวเองได้จริงๆ เพราะความรักตัวเองนั้นกลับเอาไปผูกพ่วงอยู่กับการถูกรักเมื่อครั้งยังเด็ก”
“ชีวิตเราล้วนมีโอกาสอีกครั้งเสมอ เพราะหากเราเข้าใจกระบวนการการชีวิต (Life Process) และให้ปัจจุบันทำงานกับประสบการณ์ในวันวัยที่ผ่านมา เราจะสามารถเชื่อมต่อกับตัวตนอันจริงแท้ของเราได้ เพื่อเรียนรู้ความหมายที่ชีวิตมอบให้จากเรื่องราวที่ผ่านมา”
แม่ตาว่าพร้อมชี้ถึงจุดแข็งของมนุษยปรัชญาอีกหนึ่งข้อว่า หากเรายอมรับในสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่อย่างแท้จริง รวมถึงศึกษาพัฒนาการชีวิตในแต่ละช่วงวัยด้วยความเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่สิ่งที่อยากให้เป็นจะยิ่งทำให้เข้าใจกับชีวิตได้มากยิ่งขึ้น และนั่นอาจต้องอาศัย ‘ดวงตาช่างสังเกต’ (Observing Eyes) ลดการอคติหรือใคร่ตัดสินออกไป ทั้งหมั่นฝึกฝนมองเห็นอย่างละเอียดลึกซึ้ง เพื่อให้เห็นได้มากกว่าสิ่งที่ปรากฏบนพื้นผิวเท่านั้น