The Present Move

ทำความเข้าใจตัวตนและเรียนรู้ปัจจุบันขณะกับมนุษยปรัชญา คุยกับ ‘แม่ตา’ Mamata ว่าด้วยเรื่องราวและชีวิตของมนุษย์ในแต่ละวันวัย

The Present Move | Mindful Global Citizens

เคยไหม? รู้สึกว่าโลกหมุนไวจนเราตั้งตัวไว้แทบไม่ทัน และหลายต่อหลายครั้งก็แทบหลุดลอยไปจนเกือบจะร่วงหล่นไปกับชีวิตและความเป็นตัวของตัวเอง

บนโลกอันกว้างใหญ่และดูเหมือนเรานั้นไร้ซึ่งการควบคุมจิตใจ เราหลายคนต่างตั้งคำถามกับความเป็นมนุษย์ไปจนถึงการให้ความหมายกับการใช้ชีวิต เพราะว่าไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่นั้นคืออะไร เราจะพร้อมรับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาได้อย่างดีไหม หรือกระทั่งเผลอตัดสินไปก่อนว่าสิ่งอื่นๆ ที่นอกเหนือจากตัวเรานั้นเป็นอย่างไร ทั้งที่เรายังไม่ได้สำรวจและทพความเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยเสียด้วยซ้ำ

‘มนุษยปรัชญา’ (Anthroposophy) หมายถึง การตระหนักรู้ในความเป็นมนุษย์ เป็นวิถีแห่งความรู้เพื่อเข้าใจในความเป็นมนุษย์อย่างเป็นองค์รวม โดยมีแกนหลักเพื่อให้มนุษย์เข้าถึงแก่นแท้ของการเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงด้วยหลากหลายช่องทางและวิธีการ

The Present Move จึงชวนคุยกับ แม่ตา-วรณัน โทณะวณิก ผู้บริหาร MaMaTa_Nurturing Nature in Your Child และผู้ร่วมก่อตั้ง The HUMAN Academy ที่สนใจและขับเคลื่อนเรื่องมนุษยปรัชญาและการศึกษาวอลดอร์ฟในประเทศไทย ว่าด้วยเรื่องราวของมนุษยปรัชญาในชีวิตประจำวันทั้งแนวคิดและวิถีปฏิบัติ

การดำเนินชีวิตอย่างเข้าใจถึงธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ในแบบของแม่ตาจะเป็นอย่างไร และมนุษย์เรานั้นจะใช้ชีวิตอย่างเข้าถึงใจ โดยไม่ตัดสินกันในแบบฉบับของแนวคิดมนุษยปรัชญาจะเป็นเช่นไร ติดตามได้ตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป

| นิยามของ ‘มนุษยปรัชญา’ ตามแบบฉบับของแม่ตา

“มนุษยปรัชญาทำให้เรามองเห็นความเป็นมนุษย์ชัดเจนขึ้น มันมีอะไรที่มากกว่าการมองเห็น  และรับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัสโดยทั่วไป มนุษย์ทุกคนเดินทางลงมาอยบนโลกด้วยความตั้งใจ และทุกคนต่างก็มีภารกิจในการใช้ชีวิต (Life Mission) เป็นของตนเอง” 

“มันไม่ได้พูดถึงเรื่องความขาว-ดำ ในแบบของทวินิยม (Dualism) พี่ตามองว่ามันคือการเรียนรู้ และเข้าใจว่าองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์คืออะไร มีมิติใดบ้าง มนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อสร้างสรรค์บางสิ่งให้ปรากฏ ประสบการณ์ในชีวิตช่วยก่อรูปร่างทำให้เกิดเป็นตัวตนที่มีความเฉพาะเจาะจง ไม่มีใครเหมือนใคร และนั่นคือความเป็นปัจเจกของมนุษย์”

“การนิยามว่าอะไรคือมนุษยปรัชญา ‘ของจริง’ หรือมนุษยปรัชญาต้องเป็นแบบไหน สำหรับพี่ตากลับมองว่ามนุษย์ทุกคนคือ ‘ของแท้’ เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมมีศักยภาพที่เต็มเปี่ยม เพียงแค่รอเวลาเผยตัว”

แม่ตาตอบเราในคำถามที่ว่า ‘มนุษยปรัชญา’ สำหรับเธอคืออะไร ซึ่งยิ่งทวีคูณความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นเมื่อมันไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะนั่นอาจเป็นการตัดสินและแบ่งแยกอย่างไม่รู้ตัว ทว่าความจริงแท้นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน และทุกภาคส่วนของสรรพสิ่งในโลกและธรรมชาติตามแต่ที่เราจะนึกถึง

สำหรับเส้นทางที่เป็นจุดสนใจในมนุษยปรัชญาของแม่ตานั้นเริ่มต้นจากหนังสือ คุณคือคุณครูคนแรกของโลก ที่เขียนโดย ราหิมา บาลด์วิน แดนซี (Rahima Baldein Dancy) และแปลไทยโดย ครูโม่ย-สุวรรณา โชคประจักษ์ชัด อุชุคตานนท์ ที่มิตรสหายคนหนึ่งส่งมาให้ตอนที่ตั้งครรภ์ ซึ่งแม่ตามองว่าหนังสือเล่มนี้มาถูกที่ถูกเวลาอย่างพอดิบพอดี เพราะเป็นช่วงอายุ 35 ปีที่กำลังเริ่มทบทวนและตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตนี้เราเกิดมาเพราะอะไร และเราเองมีประโยชน์ต่อโลกใบนี้อย่างไร

| มนุษยปรัชญาและการศึกษาแนววอลดอร์ฟ (Waldorf Education)

หนังสือเล่มดังกล่าวเรียกได้ว่าเปลี่ยนชีวิตของแม่ตา เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แม่ตาได้รู้จักกับแนวทางของมุนษยปรัชญา ด้วยความที่ตอนนั้นกำลังจะเป็นคุณแม่ จึงเป็นโอกาสที่ได้เริ่มทำความเข้าใจชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่วัยแรกเริ่ม เพราะเนื้อหาในนั้นคือแนวคิดว่าด้วยการศึกษาที่อนุญาตให้มนุษย์คนหนึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างเป็นอิสระและมีเสรีภาพในแบบของเขาเอง 

ซึ่งนั่นก็คือการศึกษาแนววอลดอร์ฟ (Waldorf Education) ที่ริเริ่มด้วย รูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) รูปแบบการศึกษาที่บูรณาการองค์ความรู้วิชาการผสานกับการลงมือทำกิจกรรมเชิงศิลปะและความเป็นธรรมชาติเพื่อให้ผู้เรียนเกิดจินตนาการและมีพัฒนาการที่เหมาะสมกับช่วงวัยและอายุ

ด้วยความที่สนใจและศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง ‘ชุมชนบ้านสำราญ’ อันเป็นที่เกิดบทสนทนาของเราและแม่ตาในวันนี้ ซึ่งที่นี่ก่อตั้งมากว่า 12 ปีแล้ว

‘ชุมชนบ้านสำราญ’ เริ่มต้นจากการเป็นชุมชนของครอบครัวที่มีลูกในช่วงปฐมวัย (0-7 ปี) ที่พ่อแม่จากหลายครอบครัวมาใช้เวลาร่วมกันในวันหยุดเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดูแลเลี้ยงดูลูกๆ โดยแม่ตานำวิถีชีวิตและแนวคิดมนุษยปรัชญาและการศึกษาวอลดอร์ฟมาเป็นแรงบันดาลใจในการแบ่งปันแก่เพื่อนๆ พ่อแม่และเด็กๆ ในชุมชน ผ่านการจัดกิจกรรมเพลย์กรุ๊ป (Playgroup) พ่อแม่ลูก รวมถึงเวิร์กช็อปศิลปะและการแบ่งปันองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อช่วยให้พ่อแม่ คุณครู และผู้คนที่สนใจได้รับประสบการณ์ผ่านการลงมือทำ เพื่อให้เข้าใจตนเองได้ลึกซึ้งมากขึ้น 

“ที่เราทำคือวิถีชาวบ้านสมัยก่อน ที่ผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นหมู่บ้านและช่วยกันเลี้ยงลูกๆ เหมือนคำกล่าวในสุภาษิตแอฟริกัน ‘ใช้่ทั้งหมู่บ้านเพื่อเลี้ยงเด็กหนึ่งคนให้เติบโต’ (It takes a village to raise a child.) แต่สมัยนี้สังคมเมืองไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว จากที่เคยอยู่รวมกันก็แยกตัวซึ่งนั่นทำให้เกิดความโดดเดี่ยว เลยทำให้เกิดไอเดียในการทำบ้านสำราญขึ้นมา”

การจัดจังหวะชีวิตที่สม่ำเสมอ สอดคล้องกับจังหวะลมหายใจ (Rhythm)

การทำซ้ำๆ (Repetition)

การทำสิ่งต่างๆ ด้วยความรู้สึกขอบคุณ (Reverence)

การเล่นอิสระ (Free Play) ที่เด็กๆ ใข้ตัวเองเป็นคนนำ (Self-directed Play)

ตุ๊กตาไร้หน้า

นิทานปากเปล่า (ไม่มีภาพประกอบ)

ลานเด็กเล่น

การจำกัดการใช้เครื่องมือสื่อสาร

ที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือบางส่วนของชีวิตเรียบง่ายตามแนวทางการศึกษาวอลดอร์ฟที่ชุมชนบ้านสำราญนำมาใช้ ซึ่งเป็นไปเพื่อหล่อเลี้ยงและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างมีสุขภาวะของเด็กๆนอกเหนือไปจากกิจกรรมสำหรับเด็กๆ และผู้ปกครองที่บ้านสำราญแล้วนั้น แม่ตายังสร้างช่องทาง MaMaTa_Nurturing Nature in Your Child เพื่อเผยแพร่แนวคิดมนุษยปรัชญาในเชิงคอนเทนต์ออนไลน์ และ The HUMAN Academy เป็นชุมชนการเรียนรู้แบบองค์รวมที่จะมีหลักสูตรเพื่อพัฒนามนุษย์อย่างเป็นองค์รวมจากผู้คนในแวดวงต่างๆ รวมถึงยังจัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับมนุษยปรัชญาและการศึกษาวอลดอร์ฟอีกด้วย

| ‘7-Year Phase of Life’ เพราะชีวิตถูกแบ่งเอาไว้ตามช่วงวัย

เคยสังเกตไหม? ชีวิตคนเรามักเปลี่ยนแปลงไปทุกๆ 7 ปี

“ในทางมนุษยปรัชญา ชีวิตคนเราจะแบ่งออกเป็นช่วงชีวิตทีละ 7 ปี ซึ่งเรียกว่า ‘7-Year Phase of Life’ คือ 0-7 ปี, 7-14 ปี และ 14-21 ปีไปเรื่อยๆ ซึ่งในแต่ละช่วงวัยก็มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ไปตามวัย

“ช่วงเวลาที่ท้าทายมักเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่าน (Transition) จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง หากพวกเราพ่อแม่ ครู หรือผู้ดูแลเด็ก เข้าใจพัฒนาการตามช่วงวัยของเด็ก เตรียมพร้อมที่จะรับมือและช่วยเหลือ จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่น โดยไม่ทิ้งแผลเป็นไว้ในใจของเด็กๆ

ตอนเด็กคล้ายเป็นการตอกเสาเข็มให้ตัวตนมั่นคง”

แม่ตาเล่าถึงแนวคิดที่น่าสนใจของมนุษยปรัชญาอย่างเรื่องของ ‘7-Year Phase of Life’ ที่ว่าด้วยชีวิตของมนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นท่อนละ 7 ปี ซึ่งแต่ละช่วงขวบปีมีพัฒนาการที่แตกต่างกันทั้งร่ายกาย จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก และความคิด  

ช่วงแรกเกิดถึงอายุ 7 ปีจะเรียกว่าเป็น ‘ช่วงปฐมวัย’ (Early Childhood) ที่เป็นช่วงที่เวลาแห่งเจตจำนง (Willing) ตามพัฒนาการของเด็กซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณและการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตที่ผู้ดูแลเลี้ยงดู รวมถึงผู้คนรอบข้างควรตระหนัก และให้การใส่ใจจัดการกับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเด็กๆ

การวางรากฐานในช่วง 7 ปีแรกของชีวิตทั้งร่างกายและจิตใจนั้น เปรียบเสมือการเตรียมวางรากฐานลงเสาเข็มให้พร้อมสำหรับการสร้างบ้าน แม้เราไม่อาจมองเห็น แต่มั่นใจได้ว่ารากฐานที่มั่นคงแข็งแรงนั้นจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการก่อร่างสร้างชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งให้เติบโต พร้อมรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน สร้างให้เป็นตัวตนที่เข้มแข็ง นำทางชีวิตของตนเอง และช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้ในภายภาคหน้า

ต่อมาเมื่อ 7-14 ปี จะเริ่มเป็นขวบวัยของการพัฒนาอารมณ์และความรู้สึก (Feeling) เด็กๆ จะเรียนรู้และทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกอันหลากหลายที่เกิดขึ้นภายในตนเอง ช่วงเวลานี้จึงจำเป็นที่พ่อแม่หรือผู้ดูแลควรให้ความสำคัญอย่างมากในการเป็นพื้นที่โอบรับ ชี้ชวนให้เด็กๆ รู้จักและรับมือกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น

ถัดมาในช่วงอายุ 14-21 ปีเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาความคิด (Thinking) เริ่มทำงานอย่างเต็มที่ เมื่อร่างกายและอารมณ์ของเขาถูกรับรู้แล้ว นั่นทำให้ตัวตนของเขาเริ่มชัดเจนงมากพอที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ได้ ครอบครัวจึงลดบทบาทลงมาอยู่ในฐานะผู้สนับสนุน (Supporter) แทน หลังจาก 21 ปีแล้ว ‘ตัวตน’ ของเขาจะปรากฏขึ้น อย่างไรก็ตาม ‘ตัวตน’ (ในทางมนุษยปรัชญาใช้คำว่า ‘I’) ยังคงต้องการเวลาในการพัฒนาให้แข็งแรงมากขึ้นผ่านการเดินทางและประสบการณ์ชีวิตต่อไป หลังจากผ่านการใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ รับผิดชอบตัวเองผ่านการทำงานได้ระยะหนึ่ง เมื่อก้าวสู่ช่วงอายุ 28 ปี แม้ว่าจะมีการงานที่ดูเหมือนทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ดีก็ตาม แต่จะเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ พบทางแยกภายในที่สำคัญ นำไปสู่การ set zero ผ่านวิกฤตที่จะนำไปสู่โอกาส

อีกนัยหนึ่งคือการที่ ‘ชีวิต’ กำลังจะ ‘เริ่มต้นใหม่’ อีกครั้ง

คล้ายกับว่าเป็นการ Coming of Age อีกครั้งและอีกครั้งในช่วงอายุ 35, 42, 49 ไปเรื่อยๆ ตามเฟสของชีวิต

“ฉะนั้นหากเราเตรียมงานรากฐานไม่ได้ดีพอ เมื่อเด็กๆ เติบโตเป็นวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ต้องออกไปเผชิญโลกภายภาคหน้า เขาอาจวิตกกังวล สั่นไหว ไม่มั่นใจในตัวเอง ดังนั้นการเตรียมมนุษย์คนหนึ่งเพื่อให้เขาพร้อมใช้ชีวิตบนโลกจึงเป็นเรื่องละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตให้ผ่านๆ ในแต่ละวันแบบหลับใหล”

“อีกสิ่งหนึ่งที่พี่ตาได้เรียนรู้จากการทำงานเป็นเพื่อนของคุณพ่อคุณแม่ใน Playgroup มา 12 ปีทำให้พบว่า ผู้ใหญ่หลายคนเมื่อต้องมาอยู่ในฐานะผู้ดูแลเด็กนั้นทำได้ยากมาก คล้ายกับว่าเขาอาจจะยังไม่สามารถที่จะรักตัวเองได้จริงๆ เพราะความรักตัวเองนั้นกลับเอาไปผูกพ่วงอยู่กับการถูกรักเมื่อครั้งยังเด็ก”

“ชีวิตเราล้วนมีโอกาสอีกครั้งเสมอ เพราะหากเราเข้าใจกระบวนการการชีวิต (Life Process) และให้ปัจจุบันทำงานกับประสบการณ์ในวันวัยที่ผ่านมา เราจะสามารถเชื่อมต่อกับตัวตนอันจริงแท้ของเราได้ เพื่อเรียนรู้ความหมายที่ชีวิตมอบให้จากเรื่องราวที่ผ่านมา”

แม่ตาว่าพร้อมชี้ถึงจุดแข็งของมนุษยปรัชญาอีกหนึ่งข้อว่า หากเรายอมรับในสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่อย่างแท้จริง รวมถึงศึกษาพัฒนาการชีวิตในแต่ละช่วงวัยด้วยความเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่สิ่งที่อยากให้เป็นจะยิ่งทำให้เข้าใจกับชีวิตได้มากยิ่งขึ้น และนั่นอาจต้องอาศัย ‘ดวงตาช่างสังเกต’ (Observing Eyes) ลดการอคติหรือใคร่ตัดสินออกไป ทั้งหมั่นฝึกฝนมองเห็นอย่างละเอียดลึกซึ้ง เพื่อให้เห็นได้มากกว่าสิ่งที่ปรากฏบนพื้นผิวเท่านั้น 

| วิถีชีวิตและหมุดหมายของ ‘มนุษย์’ ตามแนวทางมนุษยปรัชญา

“พวกเราเองก็เคยเป็นเด็กคนหนึ่งมาเหมือนกัน ซึ่งในช่วงเวลาที่เท้าเราเหยียบพื้นนั้นเราต้องยืนให้เต็มเท้า ที่สำคัญคือการเห็นคุณค่าและความหมายของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ผ่านกระบวนการการศึกษาและการดูแลของผู้ใหญ่ในสังคม เราจะคอยประคองช่วยเหลือกันไปเพื่อให้สามารถอยู่ได้อย่างมั่นคง”

แม่ตาว่าด้วยรอยยิ้มพร้อมย้ำถึง Life Mission ของมนุษย์ทุกคนว่าเรามีหมุดหมายอะไรสักอย่างจึงได้มาเกิดอยู่ที่โลกมนุษย์

“มนุษย์ทุกคนมีปัญญาญาณบางอย่างเฉพาะตัวอยู่แล้ว แค่รอวันที่จะเผยตัวตน คล้ายกับเมล็ดพันธุ์ที่ถูกบ่มเพาะ ที่จะต้องอาศัยดิน น้ำ หรือลมดีๆ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะทำให้คนทุกคนเติบโตได้ในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม 

“และมนุษย์ในฐานะปัจเจกเหล่านั้นก็มาอยู่รวมกัน และช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้โลกนี้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น ซึ่งหากทำอันนี้ได้มันแก้ไขได้เกือบทุกเรื่องบนโลกเลยสำหรับพี่ตา”

ช่วงเวลาในการค้นพบความหมายของชีวิตตามแนวทางมนุษยปรัชญาสำหรับแต่ละคนนั้นจะมีความแตกต่างกัน และแต่ละคนจะค้นพบด้วยตัวของเขาเองผ่านการลงมือทำบางอย่าง

การกลับไปอยู่กับธรรมชาติเพื่อเชื่อมโยงตัวตนกับสรรพสิ่งก็เป็นอีกแนวทางที่สำคัญ ซึ่งสำหรับแม่ตานั้นไม่ใช่แค่เพียงการกลับไปสัมผัสต้นไม้ใบหญ้าในเชิงกายภาพ แต่การทำความเข้าใจ ‘ธรรมชาติ’ ของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องสำคัญ

ดังนั้นการมองว่ามนุษยปรัชญาหรือการศึกษาวอลดอร์ฟผ่านภาพจำเพียงแค่การเล่านิทาน เล่นตุ๊กตาหุ่นไร้หน้า ร้องรำทำเพลง เล่นอิสระ และการให้ความสำคัญกับศิลปะจึงอาจเป็นเพียงแค่ส่วนที่ผิวเผินและยังไม่เจาะลึกในทางมุษยปรัชญาจริงๆ เท่าไรนัก

“มนุษยปรัชญาคือการใช้ชีวิตแบบองค์รวม ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่ใช่แค่การเรียนรู้แบบด้านใดด้านหนึ่งแต่ยังมีชีวิตด้านอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น อาหารการกิน การศึกษา การทำเกษตร การแพทย์ ศิลปะ การดูแลตัวเองและการใช้ชีวิต ทุกสิ่งอย่างล้วนเกี่ยวข้องต่อกันหมด”

ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ทุกอย่างล้วนเป็น ‘ประตู’ เข้าสู่การใช้ชีวิตตามแนวคิดแบบมนุษปรัชญาทั้งหมด และขึ้นอยู่กับว่าใครจะเข้าด้วยแนวทางไหน

“มนุษยปรัชญาทำงานกับการเรียนรู้ผ่าน 3 อย่าง ได้แก่ Thinking, Feeling และ Willing (หรือจะเรียกว่า Head Heart และ Hand ก็ได้) และพี่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีช่วงเวลาที่เป็นของเขาเอง ซึ่งก่อนจะตัดสินใจว่าสิ่งนี้ใช่หรือไม่ใช่สำหรับคุณ อาจจะต้องเอาตัวเองไปศึกษาอย่างจริงจังดูก่อน เอาตัวเองไปมีประสบการณ์กับกระบวนการเหล่านี้เพื่อเป็นการเรียนรู้”

‘กระบวนการ’ ที่แม่ตาว่า เมื่อศึกษาอะไรใหม่ๆ สิ่งที่เราจะเกิดขึ้นแน่ๆ คือ ‘การตั้งคำถาม’ ซึ่งแม่ตามองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเรียนรู้ อีกทั้งกิจกรรมการทำความเข้าใจมนุษยปรัชญานั้นก็มีหลากหลายช่องตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งเราทุกคนสามารถเลือกได้ตามวิถีชีวิตที่เข้ากับตัวเอง

ยกตัวอย่างการจำกัดการใช้เครื่องมือสื่อสาร แม่ตามองว่าเราสามารถใช้ประโยชน์ของเหล่านี้ตามความจำเป็นเพื่อความสะดวกสบายได้ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ซึ่งหากเรามีปฏิสัมพันธ์ที่แท้จริงในโลกออฟไลน์แล้ว เราจะสามารถลดบทบาทของเครื่องมือสื่อสารเหล่านี้ในชีวิตของเราได้

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนของมนุษยปรัชญาเท่านั้น ผู้เขียนก็เชื่อเช่นดังแม่ตาว่าในโลกใบนี้ยังมีหลากหลายช่องทางและวิธีการในการศึกษามนุษยปรัชญา

และสำหรับแต่ละคนย่อมมีช่องทางและช่วงเวลาที่แตกต่างกัน

เราสมควรได้รับความรักจากตัวเองมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องรอคอยหรืออ้อนวอนขอความรักจากใคร

People Pleaser คือ คนที่ทำเพื่อคนอื่นจนละเลยความรู้สึกของตัวเอง ยอมสละความสุขหรือความสบายส่วนตน เพื่อทำให้ผู้อื่นพึงพอใจ