The Present Move

ท่ามกลางความสำเร็จของผู้คนมากมาย เรากลับไม่กล้าแบ่งปันเป้าหมายกับใคร เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ควรแก้ไขไหม? ชวนสำรวจตัวตนเพื่อให้เข้าใจตัวเอง

The Present Move | Mindful Global Citizens

คนเรามีเป้าหมายใหม่แทบทุกช่วงวัย ทว่ายิ่งโตขึ้น เป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ยิ่งหนักอึ้ง การบอกเล่าเป้าหมายในอนาคตของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ ทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ จึงอาจกลายเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน

ในปัจจุบัน ผู้คนเริ่มมีพฤติกรรมเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากจนเกินไป หรือที่เรามักคุ้นกันในคำว่า ‘Oversharing’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าถึงประสบการณ์ทำงาน กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน เรื่องราวความรัก ความรู้สึกสุดลึกซึ้ง รวมถึงเบื้องหลังความสำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่า หลายคนเลือกเปิดเผยเพียง ‘ด้านที่ดี’ ในชีวิต เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของตนเอง

บางคนอาจเลือกแบ่งปันเรื่องราวกับคนรอบข้าง เพราะอยากแบ่งเบาภาระในใจ รวมถึงอาจต้องการความคิดเห็นหรือกำลังใจจากคนที่รัก แต่บางคนอาจเลือกเก็บเป้าหมายนั้นเอาไว้กับตัวเอง เปรียบเสมือนความลับที่ไม่อยากให้ใครล่วงรู้ เพราะกลัวโดนตัดสินจากผู้อื่น กังวลว่าถ้าทำไม่สำเร็จแล้วคนอื่นจะคิดอย่างไร รวมถึงไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำสำเร็จ

สองสิ่งที่ผูกติดกับชีวิตของมนุษย์คือ ‘เป้าหมาย’ และ ‘ความสำเร็จ’ เพราะชีวิตเหมือนเกมที่มีด่านใหม่ๆ มาให้เราต่อสู้อยู่เสมอ เมื่อผ่านด่านแรกไปได้แล้ว ก็ต้องเดินทางทดสอบต่อไปในที่ด่านสอง สาม สี่ไปเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับการตั้งเป้าหมายในชีวิต เมื่อทำเป้าหมายแรกสำเร็จแล้ว เป้าหมายถัดไปก็จะรออยู่ที่ปลายทาง 

แต่รู้ไหมว่า การบอกเล่า ‘เป้าหมาย’ หรือ ‘สิ่งที่กำลังทำ’ กับคนอื่น อาจส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของเราได้ทั้งในเชิงลบและบวก วันนี้ The Present Move จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจเหตุผลของเรื่องนี้ เพื่อค้นหาคำตอบว่า เราควรแบ่งปันเรื่องราวกับคนอื่น หรือเก็บมันไว้กับตัวดีกว่า

| ไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะเล่าให้คนอื่นฟัง

เคยไหม? มีความฝันแต่ไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวไม่สมหวัง กลัวทำไม่สำเร็จ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเลย เพราะที่จริงแล้ว การบอกเล่าคนอื่นสามารถส่งผลให้เป้าหมายไม่สำเร็จตามที่หวัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจาก 5 สาเหตุ ดังนี้

  • รู้สึกสำเร็จก่อนลงมือทำ

การบอกเล่าสิ่งที่อยากทำกับคนอื่น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อน แฟน ครอบครัว หรือเจ้านาย มักส่งผลให้เรารู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับจากผู้อื่น และ ‘บรรลุเป้าหมาย’ นั้นแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริง อาจยังไม่ได้เริ่มลงมือเลยก็ตาม เนื่องจากสมองของมนุษย์มักสับสนระหว่าง ‘การกล่าวถึง’ กับ ‘การลงมือทำจริง’ ส่งผลให้เมื่อเราพูดถึงเป้าหมายกับคนอื่นไปแล้ว ความพยายามและความมุ่งมั่นในการทำตามเป้าหมายที่วางไว้จึงลดลงจากเดิม

  • ความรู้สึกแย่ที่เกิดจากคำชม

นับเป็นเรื่องปกติที่คนรอบตัวจะเอ่ยคำชื่นชม เมื่อเราแบ่งปันเป้าหมายในอนาคตกับพวกเขา แต่คำชมเชยอาจกลายเป็นเรื่องแย่ ถ้าคนเราล้มเหลวหลังจากได้รับ ‘คำชมที่เน้นตัวบุคคล’ เช่น เธอสอบติดคณะนี้แน่นอน เพราะเธอเป็นคนมีพรสวรรค์ แทนที่จะเป็น ‘คำชื่นชมที่เน้นกระบวนการ’ เช่น เธอขยันมากที่ตั้งใจอ่านหนังสือทุกวัน เนื่องจากคำชื่นชมรูปแบบแรกจะย้อนกลับมาตอกย้ำความผิดพลาดของตัวเรา ทำให้รู้สึกแย่และผิดหวังในตัวเองมากขึ้น ส่งผลให้ ‘แรงจูงใจภายใน’ (Intrinsic Motivation) ซึ่งคือความต้องการและความสนใจต่อเป้าหมายลดต่ำลง ดังนั้น การได้รับคำชมที่เน้นตัวบุคคลจึงอาจทำให้เราเดินทางไปไม่ถึงฝันในที่สุด

  • กลัวความล้มเหลว และการตัดสินจากผู้อื่น

แน่นอนว่าเส้นทางในการพิชิตเป้าหมายไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือเป็นดั่งใจหวังเสียทุกอย่าง บางคนประสบความสำเร็จ แต่หลายคนก็ล้มเหลว การป่าวประกาศเป้าหมายของตัวเองให้คนอื่นทราบ อาจสร้างความเครียด กดดัน และกังวลภายในจิตใจ ทำให้เราไม่กล้าเสี่ยงทำสิ่งใหม่ๆ ที่อาจพาไปถึงความสำเร็จ เนื่องจากเรากลัวที่จะล้มเหลวต่อหน้าคนอื่น และกลัวถูกตัดสินในแง่ลบ หากทำเป้าหมายนั้นไม่สำเร็จ ดังนั้น หลังจากแบ่งปันเรื่องราวกับคนอื่นไปแล้ว การทำตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับประคับประคองจิตใจให้แข็งแรง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบางคน

  • อิทธิพลจากผู้อื่นส่งผลต่อปลายทาง

หากบอกเป้าหมายกับคนอื่นแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสำเร็จของเป้าหมายไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเพียงคนเดียว เพราะ ‘ปัจจัยภายนอก’ หรือ ‘การรับรู้ของบุคคลภายนอก’ อาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ การกระทำ และผลลัพธ์ปลายทางของเรา เช่น เราเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจตามแนะนำของเพื่อนที่ประสบความสำเร็จด้านนี้ แต่เมื่อลองทำแล้ว ธุรกิจกลับแย่ลงกว่าเดิม เพราะวิธีนั้นไม่เหมาะกับเรา ตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยภายนอกอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีได้เช่นกัน

  • ล้มเลิกเป้าหมาย เมื่อได้ยินเรื่องการแข่งขัน

การแข่งขันสูงทำให้บรรลุผลสำเร็จได้ยากขึ้น เราจึงอาจยอมแพ้ต่อเป้าหมายตั้งแต่ยังไม่ได้ลงสนามแข่ง เมื่อผู้อื่นชี้ให้เห็นว่า มีผู้คนจำนวนมากที่พยายามไขว่คว้าความฝันเดียวกับเรา แม้จะเป็นคำแนะนำที่มาจากเจตนาดี แต่มันอาจทำให้เรากังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ต้องเผชิญ และทำลายความมั่นใจของเราในทางอ้อม จนเราล้มเลิกเป้าหมายของตัวเอง เพราะไม่อยากล้มเหลวและพ่ายแพ้จากการแข่งขัน

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะปรารถนาดีต่อเรา ดังสุภาษิตที่ว่า ‘รู้หน้าไม่รู้ใจ’ บางคนอาจเป็นผู้หวังดีประสงค์ร้าย แสร้งว่าเป็นที่ปรึกษาที่ดี แต่จริงๆ แล้วไม่อยากให้เราประสบความสำเร็จ จึงพยายามขัดขวางด้วยการให้คำแนะนำที่ไม่ดี หรือแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในตัวเรา ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาให้ดีและถี่ถ้วนว่า จะแบ่งปันเป้าหมายอันสำคัญนี้กับใคร รวมถึงควรเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองมากน้อยแค่ไหน เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

| การแบ่งปันเป้าหมาย อาจนำไปสู่ความสำเร็จ

ในทางกลับกัน การแบ่งปันเป้าหมายกับคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป มันอาจจะเป็นผลดีสำหรับบางคนที่มองว่า การบอกเล่าสิ่งที่กำลังทำกับคนอื่น ส่งผลให้ตัวเองมุ่งมั่นและตั้งใจทำตามเป้าหมายมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงรู้สึกว่าต้องทำมันให้สำเร็จจริงๆ เพราะคนอื่นรับรู้เป้าหมายนั้นแล้ว 

โดย CNBC Make It เว็บไซต์ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจได้เปิดเผยงานวิจัยของ Howard Klein ศาสตราจารย์ด้านการจัดการและทรัพยากรมนุษย์ วิทยาลัยธุรกิจฟิชเชอร์ มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต (The Ohio State University) ซึ่งพบว่า ผู้คนมักทุ่มเทและไม่ยอมแพ้ต่อเป้าหมายมากขึ้น หลังจากแบ่งปันเรื่องราวกับบุคคลที่พวกเขาเคารพนับถือ หรือมองว่ามีสถานะสูงกว่าตัวเอง

ผลงานวิจัยดังกล่าวที่ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Applied Psychology ระบุว่า นักศึกษาปริญญาตรีจำนวน 171 คน ได้รับโจทย์ให้ขยับแถบเลื่อนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ได้มากที่สุดในระยะเวลาที่กำหนด หลังจากนั้น ทุกคนต้องตั้งเป้าหมายครั้งถัดไปของตัวเอง โดยนักวิจัยแบ่งกลุ่มการทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 

  1. กลุ่มแรกคือ คนที่บอกเป้าหมายกับผู้ช่วยที่อ้างว่าเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอก
  2. กลุ่มที่สองคือ คนที่บอกเป้าหมายกับผู้ช่วยที่อ้างว่าเป็นนักศึกษาวิทยาลัยชุมชน
  3. กลุ่มที่สามคือ คนที่ไม่ได้บอกเป้าหมายกับใครเลย

ผลการศึกษาคือ กลุ่มแรกมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มสองและสามกลับไม่ได้พัฒนาผลงานของตัวเองให้ดีขึ้น

อีกหนึ่งการทดลอง กำหนดให้นักศึกษาจำนวน 292 คน ตั้งเป้าหมายการเรียนในช่วงเปิดเทอม และแบ่งปันเป้าหมายดังกล่าวกับคนอื่น ซึ่งเมื่อสิ้นสุดภาคการศึกษา ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่า นักศึกษาที่เปิดเผยเป้าหมายกับคนที่มีสถานะสูงกว่า มักจะมีความมุ่งมั่นในการทำให้เกรดดีขึ้น เนื่องจากการแบ่งปันเรื่องราวกับคนประเภทนี้เปรียบเสมือน ‘แรงจูงใจ’ ในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ เพราะเราสนใจว่า ‘คนที่มีสถานะสูงกว่า’ เขาจะคิดอย่างไรกับเรา เช่น การเปิดเผยเป้าหมายเรื่องเลื่อนตำแหน่งกับ ‘หัวหน้า’ อาจทำให้เรามีแรงจูงใจในการทำงานมากกว่าการบอกเป้าหมายดังกล่าวกับเพื่อน

อีกทั้ง การแบ่งปันเรื่องราวกับคนอื่นยังอาจทำให้เราได้รับคำแนะนำที่ดี หรือคำพูดปลอบโยนหัวใจจากคนที่รักและหวังดีกับเราด้วยใจจริง ทำให้เราเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงกล้าที่จะทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น เพราะรู้ว่ามีใครอีกคนคอยสนับสนุนและผลักดันเราอยู่เสมอ 

| เลือกทางที่ใช่สำหรับคุณ

แท้จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่มีคำตอบตายตัวว่า เราควรจะบอกเป้าหมายกับคนอื่นหรือไม่ เลือกแบบไหนแล้วจะบรรลุผลสำเร็จ เพราะแต่ละคนก็มีเงื่อนไขชีวิต ประสบการณ์ และมุมมองความคิดที่ไม่เหมือนกัน ทำให้รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้แตกต่างกัน 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือ ‘การสำรวจตัวเอง’ เพื่อให้เข้าใจว่าตัวเราเป็นคนแบบไหน อยากเดินทางแบบใดเพื่อไปสู่เป้าหมาย บางคนอยากแบ่งปันเรื่องนี้กับคนสนิท เพราะมองว่ามันคือแรงสนับสนุนที่สำคัญ บางคนไม่อยากบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะไม่สามารถแบกรับอิทธิพลจากบุคคลภายนอก แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นแบบไหน ขอแค่คุณเลือกทางที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่จำเป็นต้องฝืนเลือกทางที่ไม่ใช่ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี

สุดท้ายนี้ ในความเป็นจริง บางครั้งก็หลีกเลี่ยงได้ยากที่จะไม่บอกเป้าหมายกับคนใกล้ตัว หรือบางคนอาจได้รับการตอบกลับที่ไม่ดีหลังจากบอกไปแล้ว สิ่งสำคัญคือเราต้องเชื่อมั่นในตนเอง มากกว่าให้คุณค่ากับคำพูดหรือสายตาของคนอื่น ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะตัดสินเราอย่างไร เพราะเรารู้ดีที่สุดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และทำเพื่อเป้าหมายใดในชีวิต เปลี่ยนคำติชมให้เป็นแรงผลักดันที่จะพาคุณไปสู่ฝันที่เป็นจริง

Writer | จุฬาลักษณ์ เดชะ

Illustrator | Arunnoon

เพราะนี่คือสิ่งที่ (นักจิตวิทยา) ไม่เคยบอก เราทุกคนล้วนเป็นใครสักคนที่อาจต้องการให้ใครอีกคนรับฟังอย่างเข้าถึงใจและไม่ใคร่ตัดสิน

เคยไหม? อยากพูดกับใครสักคนแต่ไม่รู้ว่า ‘เขาคนนั้น’ จะเป็น ‘ใคร’ในโลกที่แสนปั่นป่วนมากมายหลายเรื่องราวที่เข้ามาปะทะเราแทบไม่มีใครสักคนที่สามารถ ‘รับฟัง’ เราได้อย่างเข้าถึงใจและไม่ใคร่ตัดสิน

Pendulum Lifestyle มองชีวิตเป็นลูกตุ้มที่แกว่งไปมา มีขึ้นสูง ลงดิ่ง ไม่ได้บาลานซ์ทุกวัน 

การกดดันตัวเองตลอดเวลาว่า “ชีวิตฉันต้องบาลานซ์เท่านั้น!” อยู่ทุกวัน ถ้าไม่บาลานซ์สักวันแปลว่า ต้องมีอะไรผิดพลาด คิดแบบนี้บางครั้งมันก็… เหนื่อย