
ความไม่สมบูรณ์แบบ คือ บทเรียนชีวิต
มนุษย์ทุกคนล้วนไม่สมบูรณ์แบบ การทำผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอะไร หรือเก่งแค่ไหนก็ตาม
‘ความพอดี’ สำหรับคุณผู้อ่านเป็นอย่างไร?
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แต่ละคนอาจมีภาพจำที่แตกต่างกันออกไป อาจด้วยความที่เรื่องเหล่านี้มันสุดแสนจะนามธรรม แถมภาพในหัวของแต่ละคนที่ว่าด้วย ‘ความพอดี’ นั้นย่อมมีความแตกต่างกัน หรืออาจตั้งเป็นคำถามที่ถกเถียงในเชิงปรัชญาได้เช่นกันว่าหน้าตาของความพอดีนั้นตกลงมันเป็นอย่างไรกันแน่
หรือกระทั่งในการ ‘ปรับสมดุล’ ชีวิตเองก็ตาม อะไรต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่ได้มีหน้าตาและรูปแบบที่ตายตัว เฉกเช่นเดียวกับไลฟ์สไตล์แต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน
ผู้เขียนจึงอยากพาผู้อ่านทุกท่านกำลังไล่สายตาผ่านตัวอักษรนี้ไปรู้จักกับ ‘ลากอม’ (Lagom) ปรัชญาของชาวสวีเดนโบราณที่มาพร้อมกับตำนานไวกิ้ง ที่ว่าด้วยความพอดีและการปรับสมดุลชีวิตให้เป็นไปอย่างเรียบง่ายหากแต่ก็สบายใจไม่ต่างกัน
เพราะความพอดีอาจไม่ได้มีหน้าตาที่ตายตัว
แต่เป็นความรู้สึกที่เราย่อมสัมผัสกับมันได้เมื่อเกิดความพอดีที่แท้จริง
ดังที่เรากล่าวไปข้างต้น ‘ลากอม’ มีที่มาจากเรื่องเล่าอิงประวัติศาสตร์ของชาวไวกิ้งที่พวกเขาจะพูดคำว่า ‘Laget om.’ ในขณะที่ยื่นส่งแก้วไวน์ให้กับคนรอบโต๊ะ ซึ่งมีความหมายในแง่ที่ว่าให้แต่ละคนจิบไวน์เหล่านั้นอย่างพอดิบพอดี และให้ไวน์นั้นเพียงพอต่อบุคคลที่นั่งอยู่ในรอบโต๊ะ
ซึ่งนั่นคือการใช้ให้เห็นถึงความพอดีที่สมดุลกับชีวิต โดยที่ยังเปรียบเทียบภาพให้เห็นว่า “อะไรที่พอดีย่อมดีที่สุด” ซึ่งเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ความพอดีเหล่านั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เพียงบนโต๊ะอาหารและแก้วไวน์อีกต่อไป แต่ในหลายต่อหลายครั้งเรามักเห็นใครหลายคนปรับใช้ปรัชญาลากองในเรื่องของการทำงาน (เช่นดังการกล่าวถึง Work-life Balance) แต่เรื่องอื่นๆ นอกเหนือไปจากนั้นก็ต้องการความพอดีเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับตนเอง ความสัมพันธ์ ฯลฯ ซึ่งลากอมก็จะไม่มุ่งหาทางสุดโต่ง แต่ก็ไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกินไปเช่นเดียวกัน
ซึ่งนั่นจะส่งผลให้เกิดความพอดีที่ดีต่อใจอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกับเรื่องอะไร หากเราหา ‘ความพอดี’ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างมันได้ นั่นก็จะทำให้เราพบเจอกับความสมดุลที่แท้จริงเช่นเดียวกัน
หนึ่งในวิธีที่หาความพอดีได้ที่สุดก็คืออยู่กับปัจจุบันขณะที่ทำให้เราได้ตระหนักรู้ตัวตน และนั่นคือการค้นหาความพอดีให้เกิดขึ้นโดยไม่ต้องเฟ้น
เพราะความ ‘พอดี’ นั้น ‘ดีที่สุด’
มนุษย์ทุกคนล้วนไม่สมบูรณ์แบบ การทำผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอะไร หรือเก่งแค่ไหนก็ตาม
เรากำลังพูดถึงแนวคิดแบบ ‘Serendipity’ หรือความรู้สึก ‘โชคดีที่บังเอิญได้พบ’ ที่ไม่ได้พูดถึงดวง หรือจักรวาลที่มอบโชคดีให้เราจากความบังเอิญ แต่เป็นการที่เรามองความบังเอิญนั้นๆ เป็นโชคดี และต่อยอดมันไปสู่อะไรบางอย่างในชีวิต
สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นนักกีฬาคือ ‘การมีสติ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่คุณจะพลิกวิกฤตจากการเพลี่ยงพล้ำจนเกือบเสียคะแนน นั่นอาจเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่จิตใจของคุณจะแข็งแกร่งมากขึ้น