The Present Move

ล้มเหลว ไร้จุดหมาย ก็อาจแวะพักระหว่างทางได้ ชวนอ่าน ‘ร้านชำอิงอิง ที่พักพิงสำหรับผู้อ่อนล้า’ หนังสือฮีลใจคนวัยทำงาน

The Present Move | Mindful Global Citizens

เพราะอะไรหลายคนถึงยอมจากบ้านเกิด เข้ามาแสวงหาความสำเร็จในเมืองใหญ่?

สำหรับคนต่างจังหวัดที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงาน พอเรียนจบก็อยากทำงานหาเงิน แต่กลับบ้านเกิดไปก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ทำ สถานที่เที่ยวจำเจ การเดินทางไม่สะดวก สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ เพื่อตามหาโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ

ส่วนจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและความมุ่งมั่นของแต่ละคน ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นระหว่างทางของการแสวงหาความสำเร็จนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายคนต้องหาพื้นที่พักพิงทางใจ คล้ายกับเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งจากหนังสือ ‘ร้านชำอิงอิง ที่พักพิงสำหรับผู้อ่อนล้า’ ที่เขียนโดย จางเจียเจีย และแปลโดย ภาวิตา ทองเจริญ

หนังสือบอกเล่าชีวิตของ หลิวสือซาน ชายหนุ่มที่เติบโตในร้านขายของชำ ณ เมืองอวิ๋นเปียน โดยอาศัยอยู่กับยายเพียง 2 คน เขามีความมุ่งมั่นว่าต้องเรียนเก่ง เข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ มีงานที่มั่นคง และมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ

เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน เขาย้ายจากชนบทเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อค้นหาความสำเร็จ ตามวิถีของคนหนุ่มสาวยุคนี้ ด้วยการประกอบอาชีพคนขายประกัน แน่นอนว่า หนทางความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เขาล้มเหลวไปเสียทุกอย่าง ทั้งเรื่องการเรียน การงาน และความรัก 

ทว่า ในค่ำคืนที่สิ้นหวังในชีวิต ชายหนุ่มผู้นี้ดื่มจนเมาเละ และตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองได้กลับมาที่บ้านเกิดอีกครั้ง ได้กลับมาช่วยคุณยาย (หวังอิงอิง) ดูแลร้านชำเล็กๆ ทำให้เขาได้เจอเรื่องราวต่างๆ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ ท่ามกลางผู้เฒ่าผู้แก่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ เพื่อนสมัยเด็กที่ห่างเหินกันไปนาน พร้อมทำภารกิจขายประกันให้ได้ ด้วยความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวทำให้เขาเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ และความท้าทายครั้งสำคัญในชีวิต รวมถึงการจากลาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 

| ความโดดเดี่ยวของการอยู่คนเดียว ภาพสะท้อนคนต่างจังหวัดที่อยู่ไกลบ้าน

ใครที่เคยย้ายจากต่างจังหวัดเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ คงเข้าใจดีว่าชีวิตในเมืองใหญ่ไม่ได้มีแค่สีสัน แสงไฟ และความสนุกสนานเท่านั้น แต่ลึกๆ แล้วหลายคนก็รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว เช่นเดียวกับหลิวสือซานตัวเอกของหนังสือเล่มนี้ ก็ตัดสินใจเข้ามาเรียนต่อและทำงานในเมืองหลวง เพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าชีวิตในชนบทนั้น แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ก็รู้สึกขาดอะไรบางอย่าง และยังเหงาอยู่ดี

วิธีแก้ความเหงาของตัวละครเอกก็ไม่ต่างจากทั่วไป ที่ชอบออกไปข้างนอก เจอเพื่อน กินของอร่อย หรือทำกิจกรรมต่างๆ สิ่งที่ตามมาก็หนีไม่พ้น ค่าใช้จ่ายเพื่อคลายความเหงา เพราะทันทีที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน เงินก็จะลอยออกจากกระเป๋าทันที แต่ด้วยความที่ไม่สามารถทำยอดขายประกันได้มากเท่าที่คิด จึงทำให้สถานะทางการเงินของหลิวสือซานขัดสนอยู่ตลอดเวลา แถมคนรักยังบอกเลิกและมีชายหนุ่มคนใหม่

มาถึงตรงนี้ จะเห็นว่าชีวิตของหลิวสือซานพบเจอแต่ความผิดหวังมาตลอด แต่เขาไม่เคยย่อท้อและพยายามเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้น จนถึงวันที่เขาตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ที่บ้านเกิด และได้รับความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ทำให้เขาสามารถปิดการขายประกันได้หลายฉบับ 

| ‘ความสำเร็จ’ ของคุณคืออะไร?

หากให้นิยามคำว่า ความสำเร็จ ของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน ในยุคสมัยหนึ่งคนมักคิดว่าความสำเร็จ อาจเป็นเรื่องของการมีสินทรัพย์ มีเงินเก็บมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ในยามแก่เฒ่า 

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่แสวงหาความสำเร็จ มักถูกปลูกฝังว่าต้องทำงานหนักและมีรายได้สูง เพื่อสร้างชีวิตที่มั่นคง แต่หากชีวิตของเราคล้ายกับหลิวสือซาน ตัวเอกของเรื่อง ที่แม้จะทุ่มเทสุดความสามารถ แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงานและการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ สิ่งนี้อาจทำให้เราตั้งคำถามกับเส้นทางที่เลือกเดิน

หากมองตามบริบทการใช้ชีวิตของคนหนุ่มสาวยุคนี้ ค่าตอบแทนยังคงมีความสำคัญ แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องการอิสรภาพในการใช้ชีวิต โดยให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance ระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน นอกจากนี้ยังมีแนวคิดใหม่ที่ว่า ความสำเร็จไม่ใช่เป้าหมายหลักหรือแรงขับเคลื่อนของชีวิต แต่เป็นเพียงผลลัพธ์จากการทำงานที่มีความหมาย ความสุขจากการทำงานและการใช้ชีวิตต่างหากที่เป็นพลังสำคัญในการก้าวไปข้างหน้า

| ไม่เด่น ไม่ดัง จะไม่หันหลังกลับไป

เชื่อว่าคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในเมืองใหญ่หลายคน อาจมาพร้อมกับประโยค “ไม่เด่น ไม่ดัง จะไม่หันหลังกลับไป” สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคหรือความยากลำบากระหว่างทาง

หลิวสือซานก็คิดแบบนี้เช่นกัน แต่เขาอาจไม่ได้หมายถึงชื่อเสียงหรือความมั่งคั่ง แต่หมายถึงการเป็นที่ยอมรับ และทำให้ยายภูมิใจ ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะไม่หันหลังกลับ สู้เต็มที่จนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เป็นไร 

สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ทำได้ดีคือ การปลอบโยนใจในวันที่เราท้อแท้ เพราะเรื่องราวของพระเอกที่ต้องเผชิญกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เราเข้าใจว่าความไม่สมหวังเป็นเรื่องปกติของชีวิต และยังเป็นการเตือนใจเราว่าความสำเร็จไม่ได้มาง่ายๆ แม้จะรู้สึกท้อแท้แค่ไหน แต่ก็ยังมีคนรอบข้างที่พร้อมจะให้กำลังใจและเดินเคียงข้างเราเสมอ

จุดที่ทำให้ผู้อ่านน้ำตาซึมไม่ใช่แค่การจากลา แต่เป็นการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและสบายใจ ร้านชำอิงอิงเป็นเหมือนพื้นที่สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก ผู้อ่านจะรู้สึกถึงความสงบและความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวอักษร ทำให้สามารถสัมผัสถึงความผูกพันระหว่างตัวละครและสถานที่ได้อย่างลึกซึ้ง

ชีวิตที่ไม่ง่ายในเมืองหลวง ทำให้หลายคนต้องดิ้นรนและปรับตัวในรูปแบบที่ต่างกันไป บางคนเลือกที่จะประหยัด หรือทำงานเสริมเพื่อหารายได้ให้ตัวเอง 

สุดท้ายแล้ว หากการออกไปใช้ชีวิตมันเหนื่อยนัก 

การกลับมาพักก็อาจไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไร

Personal Color ​เรื่องราวของ ‘สี’ ที่สัมพันธ์กับความมั่นใจ และ ‘ตัวตน’ อาจไม่ใช่สิ่งที่ต้องค้นหาแต่เป็นการ ‘สร้างขึ้นมา’ 

เรื่องของ ‘สี’ มักเป็นอะไรที่สามารถลองนู่นนี่หรือเรียนรู้ได้ตลอดเวลาอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากการจะเจอ ‘สีที่ชอบ’ แล้ว สิ่งที่หลายคนอาจมองหาคือ ‘สีที่เหมาะสม’ กับตัวเองอีกด้วย