
ตัวตนอาจไม่ใช่สิ่งที่ค้นหา แต่เป็นการสร้างขึ้นมา
เคยสงสัยไหม? เพราะอะไรใครต่อใครจึงมักพูดว่า “กำลังค้นหาตัวตน” เราบอกเล่าและกล่าวต่อสิ่งนี้ราวกับว่า ‘ตัว’ และ ‘ตน’ เป็นสิ่งที่เราต้องค้นหา
เอ่ยชื่อ ดุจดาว วัฒนปกรณ์ บทบาทที่ใครหลายคนนึกถึงอาจแตกต่างกันไป
ใครที่อยู่คุ้นเคยกับการดูละครเวที อาจรู้ว่าเธอคือหนึ่งในนักแสดงกลุ่ม B-Floor ที่อยู่ในวงการมา 23 ปี แต่สำหรับคนที่เคยฟังพอดแคสต์แนวดูแลจิตใจที่เธอเคยเป็นผู้ดำเนินรายการ หรือแม้กระทั่งเคยเป็นลูกค้าของ Empty Sauce สถานที่ที่เป็นพื้นที่เวิร์กช็อปและบำบัดจิตใจกลางเมืองที่เธอสร้าง อาจรู้ว่าดุจดาวเป็นนักบำบัดที่เดินทางสายนี้มานานกว่า 15 ปี และหนึ่งในไม่กี่คนในไทยที่บำบัดด้วยการเคลื่อนไหว (Movement Psychotherapist)
ในโลกที่หมุนเร็ว เราต่างต้องเจอเรื่องวุ่นวายที่พร้อมจะทำให้สติแตกได้ทุกเมื่อ การกลับมาอยู่กับ ‘ปัจจุบันขณะ’ หรือ ‘Mindfulness’ คือสิ่งที่หลายคนพยายามเรียนรู้และฝึกฝน
เราหลายคนต่างพยายามอยู่กับปัจจุบันขณะในหลากหลายวิธีการ ไม่ว่าจะเป็นการฟังพอดแคสต์ อ่านหนังสือ หรือกระทั่งฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาวิธีดึงสติกลับมา
และหากจะต้องขอคำแนะนำจากใครสักคน ‘นักบำบัด’ อย่างดุจดาวก็เป็นชอยซ์แรกๆ ที่เรานึกถึง นั่นเพราะงานของนักบำบัดผ่านการเคลื่อนไหวคืองานที่ ‘ไม่มีสติไม่ได้’ เพราะมันเรียกร้องการรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ตัดสิน ยิ่งไปกว่านั้นคือ ทุกท่วงท่า ทุกสายตา ทุกถ้อยคำที่เอ่ยออกไป ล้วนถูกเรียบเรียงและออกแบบมาแล้วทั้งหมด
นั่นคือเหตุผลที่วันนี้ เราเดินทางมาถึง SOULSMITH ที่ทำงานของดุจดาว เพื่อคุยตั้งแต่เรื่องวิธีกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะในแบบฉบับของเธอ ความสำคัญของการมีสติ และคำแนะนำจากนักบำบัดอย่างเธอ
| ตั้งแต่ตอนไหนที่คุณสนใจเรื่องการดูแลร่างกายและจิตใจ
เราชอบฝึกร่างกาย ชอบแสดงออก เป็นเด็กที่เต้นมาตลอด มันอยู่ใน DNA ตั้งแต่ตอนประถม ชอบซ้อมเต้น ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เราเบื่อจะเต้น เลยไปอยู่ชมรมละครเวทีแทน หลังจากเรียนจบเราก็เข้าอยู่คณะละคร B-floor ซึ่งเน้นการแสดงแบบ Physical Theatre คือเน้นการใช้ร่างกายในการสื่อสารเล่าเรื่อง ที่นั่นทำให้เราเห็นว่า “แม่เจ้า อะไรต่างๆ ในร่างกายเราสามารถพัฒนาและเพิ่มสกิลของการรู้ตัวได้” เพราะการเล่นละครเวทีไม่มีเบรก ไม่มีคัต สติต้องสูงมาก ต้องรู้ตัวอย่างเดียวเท่านั้น
มีวันหนึ่งที่เราทำแบบฝึกหัดอิมโพรไวส์กับแก๊งละคร แล้วมันมีภาพความทรงจำบางอย่างที่ถูกลืมไปนานแล้วกลับเข้ามา กระทั่งซ้อมจบแล้ว ขับรถกลับมาก็ยังมีภาพแฟลชแบ็กนี้เกิดขึ้น เราก็ตกใจปนอยากรู้ว่ามันมาได้ยังไง หลังจากนั้นพอเราไปซ้อมละคร เราก็เริ่มเห็นว่า การเคลื่อนไหวของร่างกายมีการทำงานบางอย่างกับจิตใจ ช่วงนั้นก็มีความตั้งใจจะเรียนปริญญาโทด้วย ไม่รู้จะเรียนอะไร แต่เลือกเขียนสิ่งที่ตัวเองสนใจออกมาได้เป็นคำว่า การเคลื่อนไหวทางร่างกาย (Body Movement) บวกกับจิตวิทยา (Psychology) และได้ไปเรียนด้านนี้โดยตรงที่ประเทศอังกฤษ
| การใช้ศิลปะเคลื่อนไหวร่างกาย ช่วยเยียวยาตัวเราได้อย่างไร
ถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องการบำบัด คนหนึ่งคนเวลาเต้น เขาจะรู้สึกถึงตัวเอง ซึ่งบางครั้ง เวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ หลายคนไม่รู้สึกถึงตัวเอง ฉันอยู่ตรงไหน เชื่อมโยงยังไงกับโลกใบนี้ แต่เมื่อไหร่ที่เราเต้นหรือเคลื่อนไหว และตั้งใจโฟกัสเป็นที่ๆ เราจะรู้สึกถึงตัวเองจริงๆ เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ รู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่แนบกับกระดูก รู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่เป็น ‘ของเรา’ มันเลยมีสำนึกของอำนาจ (Sense of Power) บางอย่างในตัวเรา มันให้เซนส์ของการรู้จักตัวตนของตัวเอง การเคลื่อนไหวร่างกายสำหรับเราเป็นยานพาหนะที่พาให้เราไปเจอศักยภาพใหม่ มันทำให้เราภูมิใจในตัวเองเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ในแง่การบำบัด เดิมทีจิตบำบัดทั่วไปแบบคลาสสิกคือการพูดคุยกัน แต่จริงๆ ภาษาไม่ได้มีแค่ภาษาพูด และบางครั้งภาษาพูดก็ทำงานไม่ครบถ้วนหากคุณไม่ได้เรียบเรียงเก่งจริงๆ ว่าข้างในคุณเป็นแบบไหน
ขณะเดียวกัน ภาษาร่างกายเป็นภาษาแรกของมนุษย์ และจริงๆ เป็นภาษาที่ทรงพลังมากและเราไม่ต้องแปลความ เพราะฉะนั้น เวลาเราพูดถึงการบำบัดด้วยการเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเต้นท่าสวย หรือท่าทางที่นักบำบัดบอกให้ทำ จริงๆ แค่เรานั่งอยู่ คุยกัน การพยักหน้า การโน้มตัว การเอียงตัว มันกำลังบอกว่าข้างในของเราเกิดอะไรขึ้น
หลายคนบอกว่าการเต้นคือบทกวีของการเคลื่อนไหวที่มาร้อยเรียงต่อกัน เราว่าคำพูดนี้จริง การเต้นคือศิลปะแห่งการเคลื่อนไหว มันไม่จำเป็นต้องมีแบบแผน ล็อกเป็นจังหวะ หรือมีเทคนิค และบางครั้ง การเต้นก็ทำให้เราได้อยู่กับเรื่องบางเรื่องที่เราไม่อยากพูดถึงได้อย่างมีสุนทรียะมากขึ้น
การเคลื่อนไหวเป็นทั้งเครื่องมือที่ทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีสุนทรียะ และเป็นเครื่องมือให้เราได้ค่อยๆ ไตร่ตรองความรู้สึกหรือไอเดียบางอย่างในตัว
| 15 ปี ในบทบาทนักบำบัด และ 23 ปีกับการละคร การเป็นนักบำบัดและนักแสดงมีควาหมายต่อชีวิตคุณอย่างไร
มีความหมายต่อชีวิตเรามาก สำหรับการละคร เวลาคนพูดถึงละครหลายคนจะคิดถึงตอนเป็นโชว์แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นมันมีการซ้อม ทำซ้ำ แบบฝึกหัดมากมายที่ช่วยเพิ่มพูนทักษะความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอน โรงเรียนไม่ได้สอนให้เรารู้เนื้อรู้ตัว ไม่ได้สอนให้ลองหายใจหลายๆ แบบ ไม่ได้สอนเรื่องพลวัตการอยู่กันเป็นกลุ่ม (Group Dynamic) ซึ่งพอมีทักษะเหล่านี้มันทำให้เราตระหนักรู้ในตัวเองและเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้ดีขึ้น เรามีโฟกัสที่นิ่งและยาวนาน เรามีทักษะในการรับรู้ ส่งออก สื่อสาร เป็นทักษะที่วัยเด็กของเราไม่ได้ฝึกฝน นั่นคือพาร์ตการละคร
ส่วนพาร์ตที่เป็นนักบำบัดพาเราไปอีกระดับหนึ่ง แต่ก่อนเราเป็นคนไม่ค่อยมีความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ไม่ค่อยแคร์คนอื่น และคิดว่าไม่เห็นจะต้องแคร์ด้วย แต่พอได้เข้าสู่โลกของนักบำบัดตอนเรียนปริญญาโท เราได้ไปเรียนในที่ที่ห้อมล้อมด้วยอาจารย์ที่เป็นนักจิตบำบัด เพื่อนที่อยากเป็นนักจิตบำบัดมากๆ เราเหมือนอยู่ในดงของคนที่พร้อมจะอยากทำงานให้คนอื่น
เพราะฉะนั้นในแต่ละวัน ไม่ว่าจะทุกข์ทน ยากลำบาก หรือเกิดอะไรขึ้น การตอบสนองที่เราได้มันคือความเห็นอกเห็นใจและห่วงหาอาทร
ถ้าอยู่เมืองไทยแล้วได้รับการปฏิบัติยังไง ที่นั่นคือคนละด้าน ประสบการณ์การนั้นผลักดันให้เราอยากจะฟังคนอื่นมากขึ้น อยากเอื้ออาทรขึ้น ไม่เชื่อความคิดตัดสินคนอื่น ทำให้เราเจออีกเวอร์ชันของตัวเราเองที่เราเคารพตัวเอง ภูมิใจในตัวเอง และมีการเลือกทางในการเลือกตอบสนองต่อโลกใบนี้ได้กว้างขึ้น
การเป็นนักจิตบำบัดฝึกอีกหนึ่งทักษะที่ยิ่งใหญ่มากอีกอย่างหนึ่งสำหรับเรา คือ ทักษะพลอยยินดี ตอนเด็กๆ เราได้ยินคำนี้ในวิชาพระพุทธศาสนาแล้วไม่เคยเข้าใจจนได้มาเป็นนักจิตบำบัด เราเข้าใจการยินดีกับใครสักคนโดยไม่ต้องเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง แล้วมันเป็นการฝึกที่ดีมากสำหรับศิลปินที่เคยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแบบเรา พอเราพลอยยินดีกับคนอื่นได้ ชีวิตก็สบายขึ้นเยอะ
| ถ้าพูดถึงการกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ในบทบาทนักบำบัด การกลับมาอยู่กับปัจจุบันสำคัญระดับไหน
สำคัญมาก (ขำ) มันไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นเรื่องพื้นฐาน การพาตัวเองไปอยู่จุดที่พร้อม
การตั้งสติให้อยู่จุดที่เหมาะสมที่สุด และพยุงไว้จนจบ Session ให้ได้เป็นเรื่องพื้นฐาน
ยิ่งเราเทรนเป็น Dance Movement Therapy ด้วย ร่างกายคือเครื่องมือ คือการพูดและการฟังของเรา ดังนั้นการไม่รู้ว่านั่งท่าไหนอยู่จะทำไม่ได้ เพราะท่านั่งเราก็สื่อสารอยู่
กับบุคคลอื่นๆ ร่างกายเราจะต้องสอดรับกับอีกคน เรารู้ว่าเราตั้งใจจะโน้มไปหาเขาตอนไหน ถ้าคู่ของเราเปลี่ยนอิริยาบถเราก็จะขยับด้วยเพื่อให้มันเชื่อมโยงกับเขา เพื่อเป็นการบอกเขาว่าฉันยังฟังอยู่ การจะจัดวางตัวเองทุกอย่างคือภาษาของเรา
แน่นอนว่าเรามีวันที่แกว่งๆ และเราก็รู้ตัวว่าแกว่ง แต่มันน้อยมากเลยที่เราจะไม่ ‘อยู่’ ที่นี่ ‘ที่นี่และตอนนี้’ (Here and Now) คือวิถีของเรา และการอยู่กับปัจจุบันขณะ (Mindfulness) เป็นสิ่งที่เราไม่มีไม่ได้
| คุณเคยมีวันที่มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะ อยู่กับปัจจุบันขณะได้ยาก แล้วต้องมาสวมหมวก ‘นักบำบัด’ ไหม ถ้ามี คุณผ่านวันเหล่านั้นมาอย่างไร
เช่นกัน เรากลับไปขอบคุณทักษะการละครเวทีบ่อยมาก เพราะชีวิตมันก็ดำเนินไป เราเจอความพังพินาศวุ่นวายในชีวิตเยอะเหมือนกับหลายๆ คนนั่นแหละ
แต่พอคุณเป็นนักแสดงละครเวที คุณรู้ว่ามีคนซื้อบัตรรอดูคุณแล้ว คุณจะมานั่งงอแงว่าฉันท่วมท้น ฉันทำไม่ได้ไม่ได้ มันเป็นวินัยและเป็นหนึ่งในขั้นตอนของอาชีพ ทุกคนมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นหมดแหละ
แต่ในขั้นตอนการเตรียมตัว ช่วงที่ปรับโหมดจากโหมดส่วนตัวไปโหมดนักแสดงที่พร้อมจะเข้าบทบาท เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องฝึกฝนและต้องทำ เราต้องกันเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน คล้ายกับเป็นงานกลุ่ม เราก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อกลุ่ม
พอมาเป็นนักจิตบำบัดเขาก็สอนเหมือนกันเลย สิ่งที่เขาสอนคือ การจัดการตัวเองข้างในอย่างไรเพื่อพาตัวเองไปถึงจุดที่พร้อมจะรับเรื่องของคนอื่น แล้วการรับเรื่องของผู้รับบริการเข้ามาเยอะๆ คุณจะกลับออกไปสู่ชีวิตส่วนตัวอย่างไร
| ก่อนการบำบัด คุณใช้วิธีไหนในการกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ
เราใช้วิธีการเคลื่อนไหวเพื่อให้รู้ตัว มันมีเวอร์ชันเล็กกับเวอร์ชันใหญ่
เวอร์ชันเล็กจะใช้ก่อนการบรรยายหรือไปที่อื่น เราจะตั้งสติให้พร้อมด้วย การเดินไปทั่วๆ ห้อง และใช้มือบีบนวดตัวเอง เอาหลังตัวเองกระแทกข้างฝา และมีท่าที่ทำให้การโฟกัสของเราเฉียบคมขึ้น ให้ข้างในกับข้างนอกมันเชื่อมโยงถึงกัน ส่วนเวอร์ชันใหญ่ก็ทำให้ยาวนานขึ้น
เมื่อเจอกับลูกค้าเสร็จ เราก็ต้องมีวิธีไล่ความรู้สึกออก คนอื่นอาจจะจินตนาการว่าเอาสิ่งที่รับมาออกไปจากร่างกาย แต่เราต้องมีท่าปัดๆ ปาดๆ แล้วจบ
| สำหรับในชีวิตประจำวันที่ไม่ต้องทำงาน คุณมีวิธีการกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะแบบอื่นๆ ไหม
การกลับมาอยู่กับลมหายใจตัวเอง 1 ลมหายใจ
นี่เป็นความท้าทายส่วนตัวมาสักพัก ที่เราคิดว่าเราทำมันสำเร็จแล้ว คือการทำทุกอย่างให้เสร็จจบภายใน 1 ลมหายใจ สมมติเรานั่งหน้าคอมแล้วเราเหนื่อย ถ้าเราอยากกลับมาโฟกัส เราจะ (สูดหายใจลึก 1 ทีประกอบ) แล้วกลับมา
นอกจากนั้น ด้วยความที่เราเป็นคนติดการสัมผัส เราก็จะชอบสัมผัสโต๊ะ สัมผัสพนักที่นั่ง สัมผัสพื้น เราชอบเอาฝ่าเท้าถูพื้น เอาแผ่นหลังสัมผัสพนัก ทำสิ่งเหล่านี้ใน 1 ลมหายใจแล้วเราได้เลย
| มีวันที่วิธีนี้ไม่เวิร์กไหม
มีค่ะ มีวันที่เรามีอารมณ์โกรธท่วมท้น หรืออารมณ์อื่นๆ ที่มาจากเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงาน เราก็จะชอบเดิน
การเดินไปในเมืองโดยไม่มีจุดหมายคืออีกกิจกรรมหนึ่งที่ได้กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะที่เราชอบ หากระหว่างวันการสูดลมหายใจและวิธีที่เคยใช้มันเอาไม่อยู่แล้ว เราจะใช้การเดินเข้ามาช่วยเรา เช่น ตอนประชุมอยู่แล้วความรู้สึกตรงหน้ามันท่วมท้นมาก เราจะบอกคนอื่นว่าเดี๋ยวมานะ แป๊บหนึ่ง เราจะเดินออกไปข้างนอกแวบหนึ่ง ให้สิ่งแวดล้อมล้างๆ ไวบ์เหล่านั้น แล้วกลับเข้ามา จบ เหมือนเป็นการขอเวลานอก
| หากเราไม่กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ คุณคิดว่ามันจะส่งผลต่อชีวิตและการทำงานอย่างไร
เราคิดว่ามันจะทำให้เรารู้สึกไร้พลัง ควบคุมอะไรไม่ได้ ตัวเล็กนิดเดียว เคว้งคว้าง ท้อแท้ หมดหวัง และคงไม่มีความสามารถ
นี่เราไม่ได้พูดสกิลด้วยนะ แค่พูดถึงคำว่า Mindful เพราะบางคน สกิลอย่างเยอะแต่ก็ยังมีความรู้สึกเหล่านี้ เพราะเขาไม่ได้รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ เราเคยได้ยินประโยคหนึ่งในอินเทอร์เน็ตที่บอกว่า ‘ถ้ารู้แล้วก็รู้เลย’ ซึ่งเราคิดว่ามันจริงมาก หลายครั้งเราไม่รู้ ซึ่งคำว่ารู้ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง Knowledge นะ แต่รู้ว่าเราเป็นใคร ตั้งอยู่ตรงไหน มีอะไรแบกอยู่ เชื่อมโยงกับอะไร บางทีพอรู้แค่นี้ เราจะพร้อมกับอะไรก็ตามที่จะเข้ามา
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการตระหนักรู้ เราอาจจะรู้สึกว่าเราเป็นเหยื่อของสถานการณ์ เป็นผู้ถูกกระทำของโลกใบนี้อยู่เสมอ เพราะเราไม่ได้มองเห็นว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่เรามีอำนาจในการกำหนด เลือก ควบคุม ปรับเปลี่ยนได้
จริงๆ เราเป็นทั้งผู้ที่กระทำ (Active) และผู้ที่ตอบรับ (Passive) เป็นได้อย่างมาก และเราสามารถปรับสวิตช์นั้นได้เอง เราเลือกได้เอง และเรากำหนดลีลาในการให้และรับได้หมดเลย
| ตอนเรามีสติหรือไม่มีสติ ร่างกายของเราส่งสัญญาณแบบไหน
มีตลอดค่ะ ร่างกายเราจะมีสิ่งที่เป็นการเคลื่อนไหวที่เราที่เราไม่ได้ตั้งใจจะทำ (Shadow Movement) เช่น บางคนนั่งเขย่าขา กดปากกาป๊อกแป๊กในที่ประชุม หรือการที่เราคิดอะไรไม่ออกแล้วเอามือข้างขวามาเกาตรงท้ายทอย มูฟเมนต์เล็กๆ เหล่านี้เกิดจากสภาวะข้างในที่เจ้าตัวมักจะไม่ค่อยรู้หรอก
แต่ถ้าอยากรู้ ทุกๆ แวบที่นึกได้ เราลองกลับมาสำรวจร่างกายตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไม่ต้องปรับให้มีมารยาทเป๊ะๆ ก็ได้ นั่งท่าไหนก็อยู่ท่านั้น แต่รู้ว่าโอ้ เรานั่งกัดกรามมาสักพักแล้ว
อุ๊ย เล็บจิกนิ้วอยู่นี่นา แปลว่าข้างในมันเครียดนี่หว่า แล้วนั่นเกิดจากเรื่องอะไรล่ะ คำถามเท่านี้มันทำให้เรารู้เท่าทันตัวเอง
คำว่า ‘เท่าทันใจตัวเอง’ อาจนามธรรมสำหรับหลายคน แต่สิ่งที่จับต้องได้คือร่างกายของเรา มันเป็นมอนิเตอร์ที่สะท้อนภาวะข้างในของเรา ถ้าเราฝึกสำรวจและอยากรู้ที่มาของมันสักนิดว่า Shadow Movement พวกนี้มาจากความรู้สึกอะไร และเรื่องอะไรทำให้รู้สึกแบบนั้น คุณอาจจะเข้าใจตัวเองเพิ่มขึ้น
| สำหรับคนทั่วไปที่ต้องเผชิญกับโลกที่หมุนเร็ว เจอความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน ถ้าต้องให้คำแนะนำสักข้อที่จะพาเขากลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ คุณจะแนะนำว่าอะไร
เราคิดว่าการกลับมาให้ความสำคัญกับประสาทสัมผัส (Sensation) ในแต่ละวันเป็นสิ่งที่ดี การไปปรับกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนเป็นเรื่องที่ยากมากอยู่แล้ว แต่ในแต่ละกิจวัตรเราใช้ประสาทสัมผัสอยู่ตลอด
มองเห็น ได้กลิ่น ได้ยิน หรือการลิ้มรส การที่เราเอนจอยประสาทสัมผัสเหล่านั้นให้ชัดขึ้น นั่นจะเป็นที่ที่ทำให้เรากลับมารู้เนื้อรู้ตัวได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนกิจวัตรใดๆ ของเรา
สอง อยากให้ลองเป็นคนเลือกและกำหนดจังหวะของชีวิตตัวเอง จังหวะการพูด การเดิน หรือกระทั่งการตอบอีเมล ตอนนี้ฉันอยากทำให้ช้าลงเพราะอยากพักก่อนสัก 1 นาที เราอยากให้ทุกการกระทำที่เราจะต้องทำอยู่เป็นไปด้วยจังหวะที่ตัวเองกำหนดและเลือกเอง เท่านี้เราก็เพิ่ม Mindfulness ให้ตัวเองได้เยอะแล้ว
Writer | พัฒนา ค้าขาย
Photographer | ณัฐวุฒิ เตจา
เคยสงสัยไหม? เพราะอะไรใครต่อใครจึงมักพูดว่า “กำลังค้นหาตัวตน” เราบอกเล่าและกล่าวต่อสิ่งนี้ราวกับว่า ‘ตัว’ และ ‘ตน’ เป็นสิ่งที่เราต้องค้นหา
มนุษย์ทุกคนล้วนไม่สมบูรณ์แบบ การทำผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอะไร หรือเก่งแค่ไหนก็ตาม
อะไรที่มากเกินไปก็อาจไม่เป็นผลดีตามที่คาดเอาไว้ แม้กระทั่ง ‘การคิดบวก’ (Positive Thinking) ก็เช่นเดียวกัน เพราะในบางครั้งการคิดบวกที่มากเกินไปก็อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายเราได้เช่นเดียวกัน