The Present Move

Why Has Nobody Told Me This Before? : เรียนรู้ปัจจุบันขณะและการยอมรับความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่

The Present Move | Mindful Global Citizens

“หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมชุดเครื่องมือที่ใช้กันโดยจิตแพทย์และนักจิตบำบัด แต่มันไม่ใช่ทักษะสำหรับผู้ป่วยเท่านั้น ทว่าเป็นทักษะชีวิตที่จะช่วยนำทางพวกเราทุกคนให้ก้าวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก เมื่อเราเข้าใจกลไกการทำงานของจิตใจและเรียนรู้วิธีที่เหมาะสมในการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึก เราไม่เพียงสร้างเบาะไว้รองรับจิตใจในวันที่พายุถาโถมเข้าใส่ แต่ยังสามารถเติบโตและรับมือกับโลกได้ดีขึ้นในทุกๆ วัน”

นี่คือคำโปรยปกหลังหนังสือ ‘วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ’ (Why Has Nobody Told Me This Before?) ของ ด็อกเตอร์ จูลี สมิธ (Dr.Julie Smith) นักจิตวิทยาคลินิกผู้มีประสบการณ์การให้คำปรึกษาให้คนหลากหลายวงการมามากกว่า 10 ปี รวมถึงเธอยังให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตใจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ โดยมีผู้ติดตามมากกว่า 3.5 ล้านคนในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือการชวนมองโลกผ่านมุมมองทางจิตวิทยาเพื่อที่จะให้เรามีสติรู้ตัว เพื่อตั้งรับและจัดการกับปัญหาในวันที่ชีวิตโยนบททดสอบอันหนักหนามาให้นั่นจึงเป็นเหตุที่ ‘อาการจิตตก’ (Low Mood) เป็นสิ่งที่ผู้เขียนหยิบยกมาคุยตั้งแต่ช่วงต้นที่พลิกหน้ากระดาษมาในบทที่ 1

“เราทุกคนล้วนมีวันที่จิตตกกันทั้งนั้น ทุกคนเลย”

แต่ที่ต่างกันคือแต่ละคนจะมีวันเหล่านั้นบ่อยแค่ไหน และอาการจิตตกนั้นรุนแรงเพียงใด หลายคนอาจรู้สึกหนักอึ้งเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรู้สึกหนักอึ้งแต่ไม่สามารถบอกอะไรใครได้ และในโลกแห่งสุขนิยม ผู้คนรอบข้างกลับบอกให้เรา ‘ยิ้มสู้’ อยู่ตลอดเวลา ให้กดความรู้สึกแย่ๆ เอาไว้ แทนที่จะปล่อยมันออกไป

แต่อันที่จริงแล้วการทำยอมรับความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ เพื่อตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า อาจเป็นเรื่องสำคัญกว่า

ในหนังสือเล่มนี้จึงนำพาเราออกเดินทางสำรวจความรู้สึกของตัวเองผ่านการอยู่กับปัจจุบันขณะ ได้รับรู้ รู้สึก และตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเจอตรงหน้าแบบไม่จมดิ่ง โดยผู้เขียนมีเครื่องมือที่แนะนำในการช่วยเราแกะก้อนความรู้สึกจิตตกในใจออกมาได้ ดังนี้

| ทำความเข้าใจ ‘เหตุการณ์ภายนอก’ ที่ส่งผลกระทบต่อ ‘ภาวะภายใน’
ผ่านการทำความเข้าใจความคิด อารมณ์ พฤติกรรม และความรู้สึกทางกาย

ทั้ง 4 อย่างที่กล่าวไป ทั้งหมดทั้งมวลล้วนส่งผลและกระทบต่อกันเพื่อสร้างการรับรู้ที่เรามีต่อประสบการณ์หนึ่ง ซึ่งเรามักจะรับรู้ทั้งความคิด อารมณ์ ความรู้สึกทางกาย และพฤติกรรมในคราวเดียว ไม่ได้แยกส่วนกัน ราวกับว่าทั้ง 4 อย่างนั้นเกาะเกี่ยวราวกับว่าเป็นเรื่องเดียวกันอย่างแยกไม่ขาด

แต่สิ่งสำคัญก็คือ เราจะต้องฝึก ‘แยก’ สิ่งเหล่านี้ออกจากกันให้ได้ ซึ่งหากทำได้สิ่งที่ตามมาคือ เราจะเห็นสิ่งที่เป็นอยู่และรู้เท่าทันสถานการณ์ที่เกิดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำให้เห็นว่าเราจะมีอะไรที่พอจะทำหรือเปลี่ยนแปลงในตอนนี้ได้บ้าง

ดังเช่นที่ในหนังสือยกตัวอย่างว่า ในห้วงเวลาหนึ่งเราอาจรู้สึกกำลังเศร้า มีความคิดภายในใจว่า “ฉันมันเป็นคนขี้แพ้” ส่งต่อถึงต้องการปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน และรู้สึกพลังงานต่ำ ไม่อยากอาหาร

ซึ่งอาจแกะองค์ประกอบออกมาได้ดังนี้ 

อารมณ์ : เศร้า จิตตก
ความคิด : “ฉันมันเป็นคนขี้แพ้”
พฤติกรรม : ปลีกตัว
ความรู้สึกทางกาย : พลังงานต่ำ ไม่อยากอาหาร

ดังนั้น การจมดิ่งอยู่กับความคิดเชิงลบจะยิ่งเพิ่มความรู้สึกจิตตก และความรู้สึกจิตตกก็จะยิ่งเพิ่มการคิดลบ ซึ่งส่งผลให้เราติดอยู่ในวังวนของอาการจิตตกอย่างแก้ไขไม่ได้

แต่เมื่อเราแยกออกมาเป็นองค์ประกอบปัจจัยให้เห็นออกมาได้แล้ว รวมถึงเข้าใจกลไกทางร่างกาย และได้สังเกตสิ่งที่อยู่ในจิตใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน เราก็จะพัฒนาได้ถึงการตระหนักเพื่อสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมและความสัมพันธ์ รวมถึงผลกระทบที่สิ่งเหล่านั้นส่งผลต่อตัวเรา เมื่อภายนอกและภายในสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างแท้จริง เราก็จะพอรู้ได้ว่ สิ่งที่กำลังกังวลจนไม่สบายตัวและสบายใจอยู่เช่นนี้เป็นเพราะอะไรกันแน่ เป็นเพราะความต้องการบางอย่างที่ไม่ได้รับการตอบสนองหรือเปล่า หรือเป็นเพราะคำถามบางอย่างที่ยังไม่ได้รับคำตอบหรือไม่ ถึงแม้บางสิ่งอย่างจะซับซ้อน แต่หากเราพิจารณาและตระหนักรู้จนเข้าใจ จะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่มากขึ้นอย่างแน่นอน

| เรียนรู้ที่จะรับทุกอารมณ์ : ไม่ปฏิเสธความทุกข์ และไม่หลงระเริงไปกับความสุข

หลายต่อหลายครั้งเรามักรู้สึกว่า ความทุกข์ทนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในขณะที่ความสุขกลับจากไปอย่างรวดเร็วว่องไวเสียเหลือเกิน

ผู้คนอีกหลายคนที่เลือกเข้ามารักษากับนักบำบัดก็เช่นกัน การจัดการอารมณ์มักเป็นสิ่งที่ใครหลายคนต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเจ็บปวด ทุกข์ทน และหมองหม่นทางใจ รวมถึงความต้องการให้ความสุขที่ขาดหายไปกลับมาให้ได้

แต่การมองหาแต่ความสุขโดยต้องการขจัดความทุกข์แบบเขวี้ยงทิ้งไป อาจไม่ส่งผลดีเท่าไร เพราะว่าเรายังไม่ได้แก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างแท้จริง

‘ยอมรับ เอาใจใส่ และมองตามความเป็นจริง’ คือสิ่งที่ ดร.จูลี แนะนำสำหรับการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกให้เท่าทันในเบื้องต้น

การผลักอารมณ์ให้ออกไปโดยยังไม่ได้ไตร่ตรองและปฏิเสธการรับรู้ถึงอารมณ์ จึงเป็นสิ่งอันตรายในระยะยาวหากไม่ได้แก้ไข และนั่นอาจทำให้เกิดปัญหามากกว่าการปล่อยให้มันผ่านไปอย่างเป็นธรรมชาติ

ผู้เขียนยังชวนเราสำรวจเพื่อตระหนักรู้ถึงอารมณ์ผ่านการตั้งคำถามคร่าวๆ ดังนี้

  • อะไรคือสัญญาณแรกๆ ที่บ่งบอกว่าเรากำลังไม่สบายใจ
  • ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้นมีอะไรบ้าง
  • อารมณ์ที่กำลังรู้สึกคืออะไร และเหล่านั้นเกิดขึ้นและแสดงออกถึงส่วนใดของร่างกาย
  • มันบอกอะไรถึงสิ่งที่กำลังกลัวได้บ้าง
  • ขอให้เพื่อนหรือใครสักคนที่เราไว้ใจพิจารณาเรื่องราวนี้ไปพร้อมๆ กัน เพื่อค้นหาความอคติหรือสิ่งที่กำลังเข้าใจผิด แล้วช่วยกันสำรวจมุมมองอื่นๆ ในเรื่องนี้

หากมองจากทั้งสองประเด็นที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้หยิบยกมา จะพอเห็นได้ว่าการรับรู้และอยู่กับปัจจุบันขณะนั้น มีส่วนช่วยในการแกะก้อนความกังวลใหญ่ๆ ให้พอคลายออกมาได้ค่อนข้างมาก เพราะช่วยให้เราได้ขุดเจอต้นตอของปัญหา ทั้งยังสามารถช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ได้คลายกังวลอีกด้วย

ซึ่งเราสามารถใช้ทุกโอกาสและทุกพื้นที่ที่มี เพื่อเรียนรู้ถึงปัจจุบันและฟื้นฟูสภาพจิตใจได้อยู่ตลอดเวลา หรือจะปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญก็ได้เช่นกัน

“ยิ่งความเศร้าคว้านลึกเท่าใด คุณยิ่งกักเก็บความสำราญได้มากเท่านั้น” – KAHLIL GIBRAN.

‘ความเศร้า’ อาจถูกมองว่าเป็นด้านตรงข้ามกับ ‘ความสุข’ คล้ายกับว่าไม่ขาวก็ดำ ไม่คว่ำก็หงาย ไม่ซ้ายก็ขวา แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้น หากลองคิดพิจารณาให้ดีแล้วจะค้นพบว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นคือเรื่องเดียวกันทั้งหมด

เมื่อลูกเปลี่ยนเรา และการเป็นพ่อแม่เต็มไปด้วยบทเรียนพิเศษ คุยกับแม่หน่อยและพ่อบอล จาก ‘เพจมีลูกเป็นครู’ จากบทเรียนที่ทำให้เข้าใจว่าไม่มีอะไรสำคัญเท่าปัจจุบัน

พูดคุยถึงเรื่องราวการเดินทางของครอบครัวที่กลายมาเป็นเรื่องเล่าแห่งความรัก ศรัทธา ปาฏิหาริย์ ในเพจ ‘มีลูกเป็นครู’ ซึ่งมี แม่หน่อย-กนกวรรณ หรุ่นบรรจบ คุณแม่ของน้องตโจ เด็กชายอารมณ์ดีวัย 9 ขวบ เป็นผู้ก่อตั้ง และมี พ่อบอล-รณรงค์ ประดิษฐ์ทัศนีย์ เป็นกองหนุนที่คอยเสริมกำลังใจอยู่ไม่ห่าง