กิมมิกที่เป็นภาพจำของ Ayatana คือการให้ทุกคนที่สั่งเมนูอะไรก็ได้ 1 อย่าง จะได้ 1 เหรียญอายตนะ ซึ่งเปรียบเสมือน 1 บาท ให้นำมาหยอดลงกล่องบริจาค เพื่อช่วยเหลือมูลนิธิหรือโครงการด้านผู้บกพร่องทางการได้ยิน ทางสายตา ผู้ป่วยโรคหัวใจ การแบ่งปันอาหาร องค์กรสิ่งแวดล้อม และมูลนิธิบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ ซึ่งทางร้านจะนำไปบริจาคเอง โดยที่ลูกค้า ‘ไม่ต้องเสียเงิน’ บริจาคเอง เพื่อสื่อสารกับลูกค้าทางอ้อมให้รู้จัก ‘การให้’ และการช่วยเหลือผู้อื่นโดยที่ไม่ฝืนหรือบังคับให้เขาต้องควักเงินออกมาบริจาค
“อย่างที่บอกว่าจุดแรกในการอยากทำคาเฟ่ คือเราอยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้ด้วย เราก็เลยมองว่าการให้ 1 เหรียญแทน 1 บาทกับลูกค้ามันเป็นการซ่อนความหมายไว้อ้อมๆ ถ้าให้ลูกค้าเป็นเงินเลย เขาจะไม่ค่อยแฮปปี้ เพราะฉันไม่ได้อยากบริจาค แต่ว่าเราใช้การคืน 1 เหรียญพลาสติกกลับไป ให้เอาไปแชร์ตามโครงการต่างๆ 6 กล่อง เป็นตัวแทนของประสาทสัมผัสทั้ง 6 เกี่ยวกับตา ก็มูลนิธิช่วยเหลือคนตาบอด เกี่ยวกับหู ก็มูลนิธิช่วยเหลือคนหูหนวก เกี่ยวกับจมูก เราก็จะนำไปช่วยองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับลิ้น เราก็จะช่วยเหลือด้านอาหารให้เด็กยากไร้ รวมถึงอาหารพระสงฆ์ หรือคนยากลำบาก เกี่ยวกับกาย เราก็จะเอาไปสนับสนุนป่อเต็กตึ๊ง เพราะเขาช่วยชีวิตผู้คนมาโดยตลอดอยู่แล้ว และเกี่ยวกับใจ เราก็จะเอาไปช่วยผู้ป่วยโรคหัวใจที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งแต่ละเดือนเราก็จะต้องทำการบ้านว่าจะเอาไปบริจาคที่ไหนบ้าง สลับกันไปครับ”
ความรู้สึกที่ได้ ‘ให้’ ที่ออฟอยากสื่อสาร ไม่ใช่การบอกว่าทำแล้วจะได้บุญ แต่เป็นการบอกว่าให้แล้ว ‘ช่วย’ ใครได้บ้าง และยังลดการตั้งคำถามกับการบริจาคที่คาเฟ่ ด้วยการให้เขาจ่ายราคาเท่าเดิม โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เพื่อความจริงใจ ที่สำคัญยังมีหลักฐานชัดเจนว่านำไปบริจาคที่ไหนบ้างเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วย
“ไอเดียหยอดเหรียญจากการที่เราให้เหรียญของทางร้านกลับไปต่อทุกเมนูการสั่ง มันก็มาจากการบริจาคตามวัดนั่นแหละครับ แต่เราอยากทำให้มันโมเดิร์นขึ้น มากกว่าการมองว่านี่คือการบริจาคเพื่อทำบุญ ด้วยการที่คุณจ่ายราคาเท่าเดิมเลย คุณไม่เสียอะไร เราแค่อยากให้คุณได้รู้จักการให้ และช่วยเหลือผู้อื่นตามกล่องบริจาค 6 กล่องของเรา กลายเป็นคอนเทนต์ที่ถ่ายรูปได้ และคนมองว่าน่ารักดีด้วย พอจุดเริ่มต้นมันไม่เหมือนกัน เราไม่ได้อยากได้อะไรจากเขา เราแค่อยากให้เขาให้คนอื่น มันก็เลยไม่ใช่เรื่องน่าตั้งคำถามอะไร”
“แต่บางทีก็มีคนตั้งคำถามครับ เราเคยได้ยินคนพูดว่า ‘เขาเอาไปทำจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้’ บางคนได้เหรียญก็ไม่เอาไปหยอด เก็บกลับบ้าน แต่พอคนรู้จักคาเฟ่เรามากขึ้น น้องๆ หน้าแคชเชียร์อธิบายชัดเจนมากขึ้น มีป้าย มีเอกสารยืนยันชัดเจน เขาก็เข้าใจ และสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเรา”
โดยกิมมิกกล่องบริจาคนี้จะมีอยู่ทั้งสองสาขาของ Ayatana ซึ่งออฟบอกว่า ตั้งแต่เปิดคาเฟ่มาได้ 3 ปี โมเมนต์ประทับใจที่ติดอยู่ในใจเขาเสมอมาก็คือ
“ตอนที่เราเห็นโมเมนต์ของคนที่เขามาเป็นครอบครัว แล้วแม่ ลูก หรือคุณยาย เขาช่วยกันเลือกว่าจะหยอดลงกล่องไหนดี พร้อมอธิบายให้ลูกเล็กของตัวเองฟังว่า อันนี้เขาจะเอาไปช่วยคนด้านนี้นะ ซึ่งมันมีความหมายมากๆ เพราะจริงๆ แล้ว 1 บาท รวมๆ กันมันช่วยคนได้ และเกิดประโยชน์ได้จริงๆ และในห้วงเวลานั้น ผมว่าคนที่เข้ามา เขาไม่ได้มองว่าเหรียญมันมีค่ากี่บาท แต่เขามองว่ามันเป็นความรู้สึกที่เขารู้สึกว่า อยากจะช่วยใครมากกว่า”
“เมื่อเดือนก่อน เราเพิ่งไปโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ทำให้เราเห็นว่ามีอยู่หลายคนที่เขาไม่มีโอกาสจริงๆ และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมันก็เป็นประโยชน์มากกับคนที่เขาขาดจริงๆ”
ฉะนั้นแล้ว การช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก ไม่ต้องมองว่ามันเป็นบุญ แต่มองให้เห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม และเรียนรู้ที่จะ ‘ให้’ และแบ่งปันสิ่งดีๆ ต่อผู้อื่น จึงเป็นสารที่เราได้รับจากการมาคาเฟ่แห่งนี้
สำหรับมุมมองของออฟต่อการนับถือศาสนาของคนรุ่นใหม่ ออฟคิดว่า “ไม่เฉยๆ ไปเลย ก็ไม่นับถือไปเลย ซึ่งผมเข้าใจได้ เพราะในปัจจุบัน คนรุ่นใหม่เห็นภาพแย่ๆ ตามข่าวอยู่ทุกวัน ที่พระอาจจะมีพฤติกรรมไม่ดีต่างๆ มีศีลน้อยลง ปฏิบัติดีน้อยลง พอภาพออกมาแบบนั้นทำให้เขาไม่เชื่อ และไม่รู้จะศรัทธาอะไร คนรุ่นใหม่ยุคนี้ จึงไม่ได้อินกับการทำบุญเพราะอยากได้บุญ แต่เขาจะตั้งคำถามว่า ทำทำไม ทำแล้วได้อะไร มีเหตุผลรองรับว่าการช่วยเหลือผู้อื่นมันจะช่วยให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้นได้อย่างไร จะทำให้ชีวิตของคนยากไร้มีโอกาสมีความสุขมากขึ้นได้อย่างไร ไม่ได้เหมือนรุ่นผู้ใหญ่บางคนที่มองว่าการช่วยเหลือใครสักคนต้องอนุโมทนาบุญ”
สุดท้ายนี้ ออฟคิดว่าอย่างน้อยๆ คาเฟ่ของเขา ก็อาจมีส่วนช่วยเปลี่ยนมุมมองของ ‘การให้’ ให้เป็นเรื่องใกล้ตัวในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อย
ซึ่งสำหรับเขาแล้ว “การให้ มันเป็นเรื่องเบสิกมากเลย แค่เดินเข้ามากินกาแฟที่นี่คุณก็จะได้รู้จักให้แล้ว ในแง่ของธรรมะที่ดูเป็นเรื่องเฉพาะทาง และดูเป็นกรอบ ผมอยากให้คนถอยหลังออกมา แล้วเปลี่ยนธรรมะเป็นคำว่าข้อคิดแทน ผมว่าถ้าเรานำบางมุมมองของธรรมะมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันดู มันเกิดประโยชน์ได้เยอะเลย ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม หรือไม่นับถือศาสนาก็ตาม”