The Present Move

Ayatana คาเฟ่สไตล์มินิมอลที่ขยับ ‘ธรรมะ’ ให้โมเดิร์นและใกล้ตัวคนรุ่นใหม่ผ่านการออกแบบประสบการณ์

The Present Move | Mindful Global Citizens

“แค่เราปล่อยวาง เราก็เป็นอิสระแล้ว”

ความไม่เที่ยง การปล่อยวาง การรู้จักให้ สมาธิ อิสระ และธรรมะ สิ่งเหล่านี้แฝงตัวอยู่รอบๆ บริเวณพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่นิยมไปกันมากที่สุดในเวลานี้ที่เรียกว่า ‘คาเฟ่’ 

แม้คาเฟ่กับแนวคิดสติเตือนใจจะดูเป็นสองสิ่งที่ไม่น่าจะเดินไปด้วยกันได้ แต่คาเฟ่ที่ชื่อ ‘Ayatana’ (อายตนะ) กลับทำให้ทั้งสองสิ่งหลอมรวมกันเป็นหนึ่งได้อย่างแนบเนียนตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งสาขาแรกที่บางแสน ชลบุรี และสาขาล่าสุดซึ่งตั้งอยู่เด่นชัดหน้าปากซอยเจริญกรุง 13

‘อายตนะ’ คือ การรับรู้ผ่านช่องทางทั้ง 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ที่หนุ่มอินทีเรียดิไซเนอร์และเจ้าของร้านแห่งนี้อย่าง ออฟ-พงศภัทร์ อานามนารถ วัย 36 ปี ตั้งใจใช้เป็นที่ตั้งในการทำธุรกิจคาเฟ่นี้ เขาเอา 2 กิจกรรมที่ชอบทำเป็นประจำอย่างการไปปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ กับการไปคาเฟ่ จิบกาแฟชิลๆ มาเบลนเข้าหากัน หลังจากที่ทำความเข้าใจว่าทุกประสาทสัมผัสนั้นเชื่อมโยงกัน และมีผลต่อความคิด ความอ่าน ความรู้สึก และการกระทำ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่คาเฟ่ วัด โบสถ์ หรือที่ไหนก็แล้วแต่ ประสบการณ์ที่ทำให้ประสาทสัมผัสของเรารับรู้ถึง ‘ธรรมะ’ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และเป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ไม่ยาก และไม่ไกลตัว หากทำให้มันดู ‘โมเดิร์น’ ขึ้น

ขณะที่สาขาบางแสนมีพื้นที่ให้ได้นั่งสมาธิกันถึงในคาเฟ่ สาขาเจริญกรุงนี้ก็เล่นกับ ‘ตา’ ด้วยสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่มองแล้วสงบ อบอุ่น ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์งานคราฟต์จากวัสดุธรรมชาติ รูปปั้นมือขนาดใหญ่ที่กำลังปล่อยลูกโป่งให้ลอยไปอย่างอิสระใจกลางร้านเพื่อสื่อถึงการปล่อยวาง ข้อความตามจุดต่างๆ ที่ชวนฉุกคิด การทาสีผนังที่ไม่ได้เนี้ยบ การปูกระเบื้องที่เส้นไม่ตรงเป๊ะ และลวดลายต่างๆ ที่ไม่เท่ากัน ซึ่งสะท้อนถึงความไม่เที่ยง ฯลฯ

เล่นกับ ‘หู’ ด้วยเพลงเพราะๆ คลอให้ผู้ได้ฟังรู้สึกสบายใจ
เล่นกับ ‘จมูก’ ด้วยกลิ่นเบเกอรีหอมๆ ที่อบกันเองแบบโฮมเมดทั้งวัน
เล่นกับ ‘ลิ้น’ ด้วยรสชาติเบเกอรีและเมนูเครื่องดื่มที่คัดมาแล้วว่าทำลายสุขภาพน้อยที่สุด 

และการสัมผัสประสบการณ์ดีๆ กระทบไปสู่ความสบายทาง ‘กาย’ ตามด้วยความสบายทาง ‘ใจ’ ที่ทุกการสั่งเมนูภายในร้าน ลูกค้าจะได้รับเหรียญ ‘อายตนะ’ คืนกลับมา 1 เหรียญ เปรียบเสมือน 1 บาท เพื่อให้นำไปหยอดตามกล่องบริจาคที่ตั้งอยู่ในร้าน 6 กล่อง ซึ่งเป็นตัวแทนการช่วยเหลือผู้คนและสังคมตามด้านต่างๆ 6 ด้าน ทั้งช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา ช่วยเหลือผู้พิการทางการได้ยิน ช่วยเหลือเด็กยากไร้ที่ขาดแคลนอาหาร ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม ช่วยเหลือมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งที่คอยช่วยชีวิตผู้คนมาตลอด รวมถึงช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจ โรงพยาบาลศิริราช และอีกมากมาย โดยที่ทุกคนไม่ต้องหยิบเงินมาบริจาคเอง เพียงแค่ใช้เหรียญนี้เพื่อเรียนรู้ถึง ‘การให้’ ก็พอแล้ว

คาเฟ่ ‘หาธรรม’ ของนักออกแบบ

“อายตนะ หมายถึงการรับรู้ผ่านช่องทางทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งในมุมมองทางโลก ก็คือ ‘ประสาทสัมผัส’ แต่พอเป็นภาษาธรรมก็จะเกี่ยวกับ ‘การเชื่อมโยงของทุกประสาทสัมผัสเข้าด้วยกัน’ พอตาเราเห็นสิ่งหนึ่ง มันจะไปกระทบกับใจ พอหูเราได้ยินเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี มันก็จะไปกระทบกับใจ เช่นเดียวกับการได้กลิ่นหอมๆ รับรสชาติจากเมนูอาหาร หรือการสัมผัสบรรยากาศต่างๆ ที่ล้วนกระทบกับใจได้ทั้งหมดเลย ฉะนั้นในแง่ทางธรรม เราจะทำคาเฟ่ยังไงดีให้พื้นที่ตรงนี้ เป็นพื้นที่ที่อยู่แล้วสบายใจ ไม่กระทบกับใจในแง่ลบ” 


‘ออฟ’ แห่ง Ayatana เปิดคาเฟ่ต้อนรับการมาเยือนของเราอย่างสบายๆ ทั้งหมดที่เขาเกริ่นมา เขาพูดให้เราฟังอย่างตั้งใจ และเราก็พยักหน้าตามเพราะสปาร์กจอยกับแนวคิดของเขา หนุ่มอินทีเรียดิไซเนอร์คนนี้เล่าให้ฟังว่า ดวงตาเห็นธรรมที่อยาก ‘หาทำ’ คาเฟ่ เริ่มต้นจากการอยากทำธุรกิจร่วมกันกับคนที่บ้าน และสถานที่ที่เขาบอกว่าเป็นที่ที่ไปกันอยู่แล้วแทบจะทุกวัน และเป็นอย่างแรกๆ ที่เด้งเข้ามาในหัวเขาเมื่อคิดจะลองทำธุรกิจใหม่นี้ดู นั่นก็คือ ‘คาเฟ่’

“ผมมองว่าปัจจุบันเรามีคาเฟ่ในประเทศไทยเยอะมาก ทุกคนทำคาเฟ่ และคาเฟ่ก็มีหลายรูปแบบ มีทั้งคาเฟ่สำหรับคนที่ชอบกาแฟ ชอบเครื่องดื่ม ชอบขนม บางคนไปคาเฟ่เพื่อเช็กอินถ่ายรูป บางคนทำคาเฟ่เพราะอยากทำเป็นอาชีพ หาเลี้ยงชีพตัวเอง ซึ่งมันก็เป็นธุรกิจหนึ่งที่เติบโตในบ้านเรา ผมที่คิดอยากจะทำธุรกิจคาเฟ่ ก็แค่อยากจะทำมันออกมาให้เป็นประโยชน์อะไรสักอย่างด้วย เพราะการที่คาเฟ่จะอยู่ได้ คิดว่าคงต้องมีแกนบางอย่างที่ทำให้ยังคงอยู่ และคนอยากไปแวะเวียนอยู่เรื่อยๆ”

แกนหลักที่ออฟเอามาใช้กับการคิดคอนเซปต์คาเฟ่ของเขา ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือต้องคิดเยอะให้หัวหมุน แต่เป็นสิ่งที่เขาซึมซับและมีความสนใจอยู่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน อย่างเรื่องของ ‘ธรรมะ’ ที่แม้เขาจะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่สิ่งนี้กับให้แง่คิดอะไรกับตัวเขาไว้มาก

“ไอเดียตั้งต้นของผมกับพี่ๆ คือ ถ้าเราทำประโยชน์ให้ตัวเอง อย่างการทำคาเฟ่ แน่นอนมันได้เงิน แต่ถ้าธุรกิจนั้นมันเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้ด้วยก็คงจะดีเนอะแล้วพอเราปฏิบัติธรรมกันอยู่แล้ว สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ เราสามารถหยิบแก่นบางอย่างของธรรมะเอามาปรับใช้กับการพัฒนาชีวิตตัวเองได้ โดยไม่ต้องเอาเรื่องของความเชื่อทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวเลยก็ได้”

“ตอนผมไปปฏิบัติธรรม วันหนึ่งผมได้นั่งสมาธิ 3 ครั้ง ที่ที่ผมไป ไม่ได้จำเป็นว่าต้องตื่นตี 3 มากวาดลานวัด เพราะแบบนั้นมันฝืนใจเราเกินไป อันนี้คือ 7 โมงเดินจงกรม พอ 9 โมงนั่งสมาธิ มา 4 โมงเย็นนั่งสมาธิอีกรอบ และ 1 ทุ่มนั่งรอบสุดท้าย ตกครั้งละ 40-45 นาที ซึ่งผมมองว่ามันเป็นการเข้าถึงทางธรรมในจุดที่ผมรู้สึกไม่หน่วง ซึ่งแต่ละคนก็มีความคิดไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบเดินขึ้นเขาไปปฏิบัติธรรม หรือสวดมนต์ยาวๆ แต่สำหรับผม อะไรที่ลำบากเกิน มันไม่ตรงจริต แต่สิ่งที่ตรงใจเรามากที่สุดตอนนี้คือการทำสมาธิเป็นหลัก”

“พอผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องความเชื่อ และอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เราไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่เราสามารถเอาหลักธรรมบางอย่างมาลองปฏิบัติจริงได้ ผมมองว่ามันก็เป็นการพัฒนาตัวเองเล็กๆ น้อยๆ ทั้งในแง่การใช้ชีวิต ความคิด การมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไปจนถึงการดูแลสุขภาพ อย่างเมื่อก่อนผมดื่มหนัก ปาร์ตี้หนัก เคยหนักจนล้มในห้องน้ำก็มี พอมาวันหนึ่งเราคิดได้

“ไม่ได้คิดได้ในแง่ศาสนาที่ว่ามันคือการทำผิดศีลนะ แต่เราเข้าใจแล้วว่า การขาดสติเพราะดื่มหนัก มันทำให้เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผมว่ามันก็เรียบง่ายแค่นั้นเลย ไปจนถึงมุมมองที่เรามองคนอื่นก็เปลี่ยนไป ปกติเราก็จะมองแค่ว่าคนนี้ไม่ดีเลย แต่พอเรานึกถึงใจเขามากขึ้น คิดให้ลึกว่าเขาทำแบบนี้เพราะอะไร มันเป็นการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น และเป็นการพัฒนาจิตใจตัวเองให้กลับมาอยู่กับความสงบ”

ธรรม (ะ) ดา สู่ ธรรม (ะ) เดิร์น

“ผมเลยตั้งใจนำเรื่องของธรรมะมาทำให้ ‘โมเดิร์น’ ขึ้น และทำให้คนที่เข้ามาในคาเฟ่ มองเห็นความเป็นไปได้ว่า ธรรมะมันไม่จำเป็นต้องเกี่ยวเนื่องกับศาสนาจ๋าๆ ก็เท่ได้ เข้าถึงได้ และเข้าใจได้ ผมคิดว่าถ้าอยากจะให้คนรุ่นใหม่เข้าใจธรรมะ เข้าใจหลักคิดเกี่ยวกับการรู้จักปล่อยวาง การมีสติ การทำสมาธิ การรู้จักให้ ก็ต้องทำให้เป็นภาษาที่เขาเข้าใจได้ด้วย เพราะถ้าคาเฟ่นี้จะมีพระมานั่งเทศน์ เขาก็คงไม่อิน เราเลยตั้งใจทำสถาปัตยกรรมกับประติมากรรมที่แฝงธรรมะไว้ตามจุดต่างๆ อย่างเนียนๆ และเน้นเอาความสวยให้เขาได้สัมผัสที่ตาก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถ้าร้านสวยเขาจะอยากเช็กอิน และแชร์สิ่งนี้”

ออฟเปลี่ยนภาพจำของธรรมะ ที่คนรุ่นใหม่บางส่วนอาจมองว่ามันเชย และเป็นอะไรที่ดูไม่ทันสมัย ด้วยการออกแบบประสบการณ์ให้ทุกคนที่ได้เข้ามาสัมผัสธรรมะในแบบฉบับ ‘โมเดิร์น’ ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 6 ตามชื่อ อายตนะ 

โมเดิร์นผ่าน ‘สายตา’ ด้วยการนำเสนอประติมากรรมและสถาปัตยกรรมที่แฝงแนวคิดดีๆ สอดแทรกธรรมะ

“ในสาขาบางแสน เราโฟกัสไปที่คำว่า ‘อายตนะ’ ผ่านการทำประติมากรรมลูกบอล 6 ลูกอยู่ในศาลา ที่มีทั้งลูกที่อยู่ในระดับสูงกว่า ลูกที่อยู่ในระดับต่ำลงมา เพื่อให้เป็นตัวแทนของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่อยู่ต่างระดับตามลักษณะทางกายภาพ พอมาที่สาขาเจริญกรุงนี้ เราก็อยากหาจุดเชื่อมโยงกันในเชิงปฏิบัติธรรม เลยทำเป็นประติมากรรมมือขนาดใหญ่ที่กำลังปล่อยลูกโป่งกลมๆ ให้ลอยขึ้นไปบนฟ้า เพราะมือก็เป็นตัวแทนของประสาทสัมผัส และการได้ปล่อยลูกโป่งนั้น ก็เป็นคอนเซปต์ที่สื่อสารถึงการ ‘ปล่อยวาง’ และถ้าลูกค้าได้เห็นคีย์เวิร์ดที่เราเขียนไว้ตามจุดต่างๆ เช่น ‘You will be free when you let go’ และ ‘Let go and be free’ ก็อาจทำให้การมาคาเฟ่ของเขา ทำให้เขาฉุกคิดเล็กๆ ขึ้นมา ‘แค่เราปล่อยวาง เราก็เป็นอิสระแล้ว’ ซึ่งผมคิดว่าใครจะชอบก็ได้ ไม่ชอบก็ได้ อินก็ได้ ไม่อินก็ได้ แต่ถ้าวันหนึ่งมีคนเห็นสิ่งที่ผมอยากสื่อสาร แล้วมันเกิดประโยชน์กับเขา ผมก็ดีใจแล้วนะ”

นอกจากรูปปั้นขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นอยู่กลางร้านที่กลายเป็นภาพจำของคาเฟ่แห่งนี้ไปแล้ว ออฟยังแชร์ให้ฟังต่อว่า เขายังเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติ และเฟอร์นิเจอร์งานคราฟต์ทำมือ เพื่อสื่อสารถึงความธรรมชาติ ที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ เราจะเห็นได้ว่าไม้ที่นี่จะเห็นลายไม้อย่างชัดเจน วัสดุผ้าที่ใช้ตกแต่งร้านทำจากผ้าลินิน ตกแต่งด้วยงานดินเผาที่ออฟชอบเก็บสะสม หินที่นี่ก็ดูเป็นหินที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งอะไรมากมาย แม้แต่มือจับประตูยังทำจากหินอ่างศิลาที่ช่างผู้เชี่ยวชาญขึ้นมือขึ้นมา รวมถึงกระเบื้องที่แต่ละแผ่นของที่นี่ก็มีขนาดไม่เท่ากันเลย ซึ่งออฟก็พูดติดตลกว่า

“ช่างเขาจะเกลียดผมมาก (หัวเราะ) เพราะมันคือการจงใจทำให้ไม่เป๊ะ แต่เมื่อแต่ละแผ่นมันไม่เนี้ยบ ไม่เนียน มันก็เป็นธรรมชาติแบบหนึ่ง ก็เหมือนตัวเราแต่ละคนแหละครับ ที่ไม่มีใครเหมือนกันอยู่แล้ว อันนี้ก็เป็นธรรมะข้อหนึ่งนะ”

การได้เปิดคาเฟ่ กลายเป็นบรรยากาศส่วนหนึ่งที่ทำให้ออฟเรียนรู้ที่จะปล่อยวางมากขึ้น เขาเล่าว่าชีวิตนักออกแบบของเขา ปกติต้องทำงานที่ขึ้นอยู่กับความเป๊ะ และซีเรียสทุกจุด ซึ่งเวลารับงานออกแบบเขาจะเครียด รู้สึกเหมือนทำงานอยู่ในที่ที่เขาต้องซีเรียสมาก แม้แต่มิลลิเมตรเดียวก็ห้ามขาดเพราะเป็นหลักจำเป็นในงานออกแบบ แต่พอได้ลองทำเอง ก็ได้รู้สึกปล่อยวางลงบ้าง

ถัดมาคือความประสาทสัมผัสด้านการฟังผ่าน ‘หู’ ด้วยการเปิดเพลง โดยเลือกโหมดเพลงวินเทจ ให้เข้ากับฟีลลิ่งของย่านเก่าที่ดูเรียบโก้ไปในตัว และเล่นกับประสาทสัมผัสการรับกลิ่นผ่าน ‘จมูก’ ด้วยการตั้งใจอบขนมเองอยู่เรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาได้รับกลิ่นหอมๆ จรรโลงใจ และที่ขาดไม่ได้เวลามาคาเฟ่คือการกิน ประสาทสัมผัสของ ‘ลิ้น’ จึงสำคัญ แต่ออฟเล่าว่า ความอร่อยนั้นเป็นปัจเจก แต่เขาจะทำทุกเมนูที่เน้นไปที่วัตถุดิบดีๆ มีคุณภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าดีต่อสุขภาพลูกค้า

“เวลาเราคิดค้นเมนูขึ้นมา รสชาติอาหารทุกอย่าง เราจะพยายามทำให้ตัวเราเองกินได้ด้วย ซึ่งพี่สาวผมจะดูเรื่องเบเกอรีเป็นหลัก และคิดเสมอว่าถ้าเรากินได้ ลูกค้าถึงจะควรกิน เช่นเรื่องของระดับความหวานของเบเกอรีหรือเครื่องดื่ม มันจะกระทบต่อสุขภาพ ความหวานแบบไหน หรือวัตถุดิบอะไรที่จะไม่ทำร้ายเรา มันก็จะไม่ทำร้ายคนอื่นเหมือนกัน ที่เราคำนึงถึงสิ่งนี้ เพราะพี่สาวผมเขามีก้อนเนื้อ โรคผู้หญิง ถ้าเราใส่ชีสหนักๆ ลงไปในบางเมนู มันจะไปกระตุ้นอาการต่างๆ เราก็ต้องพยายามเลี่ยง หรือบางทีเราก็จะคิดค้นสูตรที่เอาบางวัตถุดิบ เช่น เลม่อน มาแก้อันนี้ มาช่วยอันนู้น เพื่อให้ได้รสชาติอร่อย และยังดีต่อสุขภาพ เพราะความหวานเป็นสารก่อการอักเสบ เราก็ต้องมีสิ่งอื่นมาช่วย บางครั้งก็ต้องใช้ศาสตร์ฤทธิ์ร้อน ฤทธิ์เย็นมาประยุกต์ใช้ บางเมนูตอนชิมก็ว่าโอเคนะ แต่กลับบ้านไปแล้วแสบคอ ก็ต้องมาแก้กันใหม่”

ต้องบอกว่าเมนูของทางร้าน จากที่เราได้ลองชิมมาแล้ว บอกเลยว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ และสนับสนุนวัตถุดิบท้องถิ่นของไทยแต่เอามาทำในสไตล์ที่โมเดิร์นได้อย่างน่าอร่อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเมนูที่เป็นการผสมผสานระหว่างสปาร์คกลิ้งยูซุ ที่ด้านบนมีเนื้อลูกตาล! เมนูทาร์ตข้าวเหนียวมะม่วง เมนู Khao Lam Affogato ที่ทำไอศกรีมมะพร้าวโดยใช้มะพร้าวสด ราดด้วยช็อตกาแฟ และข้างล่างเป็นข้าวหลาม เมนูกาแฟนมที่เข้ากับชินนามอนหอมๆ หรือจะเป็นเมนูมัจฉะมะพร้าว ที่เสิร์ฟมะพร้าวเป็นลูกมาให้พร้อมมัจฉะออแกนิกตั้งแต่กระบวนการปลูกที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ฯลฯ

ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสนี้กระทบไปที่ ‘กาย’ และ ‘ใจ’ ที่สร้างความสบายใจในการมาคาเฟ่ครั้งนี้ครั้งเดียว ที่สำคัญไฮไลต์ประจำร้านที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นคือ การคืนเหรียญอายตนะให้ 1 เหรียญต่อทุกเมนูที่สั่ง เพื่อให้ลูกค้านำไปหยอดลงกล่องบริจาคตามแต่ละด้าน เพื่อเรียนรู้ถึง ‘การให้’

 

พื้นที่ที่ไม่ได้มีไว้สอนเรื่องบุญ แต่มีไว้สอนเรื่อง ‘การให้’

กิมมิกที่เป็นภาพจำของ Ayatana คือการให้ทุกคนที่สั่งเมนูอะไรก็ได้ 1 อย่าง จะได้ 1 เหรียญอายตนะ ซึ่งเปรียบเสมือน 1 บาท ให้นำมาหยอดลงกล่องบริจาค เพื่อช่วยเหลือมูลนิธิหรือโครงการด้านผู้บกพร่องทางการได้ยิน ทางสายตา ผู้ป่วยโรคหัวใจ การแบ่งปันอาหาร องค์กรสิ่งแวดล้อม และมูลนิธิบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ ซึ่งทางร้านจะนำไปบริจาคเอง โดยที่ลูกค้า ‘ไม่ต้องเสียเงิน’ บริจาคเอง เพื่อสื่อสารกับลูกค้าทางอ้อมให้รู้จัก ‘การให้’ และการช่วยเหลือผู้อื่นโดยที่ไม่ฝืนหรือบังคับให้เขาต้องควักเงินออกมาบริจาค

“อย่างที่บอกว่าจุดแรกในการอยากทำคาเฟ่ คือเราอยากทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นได้ด้วย เราก็เลยมองว่าการให้ 1 เหรียญแทน 1 บาทกับลูกค้ามันเป็นการซ่อนความหมายไว้อ้อมๆ ถ้าให้ลูกค้าเป็นเงินเลย เขาจะไม่ค่อยแฮปปี้ เพราะฉันไม่ได้อยากบริจาค แต่ว่าเราใช้การคืน 1 เหรียญพลาสติกกลับไป ให้เอาไปแชร์ตามโครงการต่างๆ 6 กล่อง เป็นตัวแทนของประสาทสัมผัสทั้ง 6 เกี่ยวกับตา ก็มูลนิธิช่วยเหลือคนตาบอด เกี่ยวกับหู ก็มูลนิธิช่วยเหลือคนหูหนวก เกี่ยวกับจมูก เราก็จะนำไปช่วยองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับลิ้น เราก็จะช่วยเหลือด้านอาหารให้เด็กยากไร้ รวมถึงอาหารพระสงฆ์ หรือคนยากลำบาก เกี่ยวกับกาย เราก็จะเอาไปสนับสนุนป่อเต็กตึ๊ง เพราะเขาช่วยชีวิตผู้คนมาโดยตลอดอยู่แล้ว และเกี่ยวกับใจ เราก็จะเอาไปช่วยผู้ป่วยโรคหัวใจที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งแต่ละเดือนเราก็จะต้องทำการบ้านว่าจะเอาไปบริจาคที่ไหนบ้าง สลับกันไปครับ”

ความรู้สึกที่ได้ ‘ให้’ ที่ออฟอยากสื่อสาร ไม่ใช่การบอกว่าทำแล้วจะได้บุญ แต่เป็นการบอกว่าให้แล้ว ‘ช่วย’ ใครได้บ้าง และยังลดการตั้งคำถามกับการบริจาคที่คาเฟ่ ด้วยการให้เขาจ่ายราคาเท่าเดิม โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เพื่อความจริงใจ ที่สำคัญยังมีหลักฐานชัดเจนว่านำไปบริจาคที่ไหนบ้างเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วย 

“ไอเดียหยอดเหรียญจากการที่เราให้เหรียญของทางร้านกลับไปต่อทุกเมนูการสั่ง มันก็มาจากการบริจาคตามวัดนั่นแหละครับ แต่เราอยากทำให้มันโมเดิร์นขึ้น มากกว่าการมองว่านี่คือการบริจาคเพื่อทำบุญ ด้วยการที่คุณจ่ายราคาเท่าเดิมเลย คุณไม่เสียอะไร เราแค่อยากให้คุณได้รู้จักการให้ และช่วยเหลือผู้อื่นตามกล่องบริจาค 6 กล่องของเรา กลายเป็นคอนเทนต์ที่ถ่ายรูปได้ และคนมองว่าน่ารักดีด้วย พอจุดเริ่มต้นมันไม่เหมือนกัน เราไม่ได้อยากได้อะไรจากเขา เราแค่อยากให้เขาให้คนอื่น มันก็เลยไม่ใช่เรื่องน่าตั้งคำถามอะไร”

“แต่บางทีก็มีคนตั้งคำถามครับ เราเคยได้ยินคนพูดว่า ‘เขาเอาไปทำจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้’ บางคนได้เหรียญก็ไม่เอาไปหยอด เก็บกลับบ้าน แต่พอคนรู้จักคาเฟ่เรามากขึ้น น้องๆ หน้าแคชเชียร์อธิบายชัดเจนมากขึ้น มีป้าย มีเอกสารยืนยันชัดเจน เขาก็เข้าใจ และสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเรา”

โดยกิมมิกกล่องบริจาคนี้จะมีอยู่ทั้งสองสาขาของ Ayatana ซึ่งออฟบอกว่า ตั้งแต่เปิดคาเฟ่มาได้ 3 ปี โมเมนต์ประทับใจที่ติดอยู่ในใจเขาเสมอมาก็คือ

“ตอนที่เราเห็นโมเมนต์ของคนที่เขามาเป็นครอบครัว แล้วแม่ ลูก หรือคุณยาย เขาช่วยกันเลือกว่าจะหยอดลงกล่องไหนดี พร้อมอธิบายให้ลูกเล็กของตัวเองฟังว่า อันนี้เขาจะเอาไปช่วยคนด้านนี้นะ ซึ่งมันมีความหมายมากๆ เพราะจริงๆ แล้ว 1 บาท รวมๆ กันมันช่วยคนได้ และเกิดประโยชน์ได้จริงๆ และในห้วงเวลานั้น ผมว่าคนที่เข้ามา เขาไม่ได้มองว่าเหรียญมันมีค่ากี่บาท แต่เขามองว่ามันเป็นความรู้สึกที่เขารู้สึกว่า อยากจะช่วยใครมากกว่า”

“เมื่อเดือนก่อน เราเพิ่งไปโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ทำให้เราเห็นว่ามีอยู่หลายคนที่เขาไม่มีโอกาสจริงๆ และการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมันก็เป็นประโยชน์มากกับคนที่เขาขาดจริงๆ”

ฉะนั้นแล้ว การช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก ไม่ต้องมองว่ามันเป็นบุญ แต่มองให้เห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม และเรียนรู้ที่จะ ‘ให้’ และแบ่งปันสิ่งดีๆ ต่อผู้อื่น จึงเป็นสารที่เราได้รับจากการมาคาเฟ่แห่งนี้

สำหรับมุมมองของออฟต่อการนับถือศาสนาของคนรุ่นใหม่ ออฟคิดว่า “ไม่เฉยๆ ไปเลย ก็ไม่นับถือไปเลย ซึ่งผมเข้าใจได้ เพราะในปัจจุบัน คนรุ่นใหม่เห็นภาพแย่ๆ ตามข่าวอยู่ทุกวัน ที่พระอาจจะมีพฤติกรรมไม่ดีต่างๆ มีศีลน้อยลง ปฏิบัติดีน้อยลง พอภาพออกมาแบบนั้นทำให้เขาไม่เชื่อ และไม่รู้จะศรัทธาอะไร คนรุ่นใหม่ยุคนี้ จึงไม่ได้อินกับการทำบุญเพราะอยากได้บุญ แต่เขาจะตั้งคำถามว่า ทำทำไม ทำแล้วได้อะไร มีเหตุผลรองรับว่าการช่วยเหลือผู้อื่นมันจะช่วยให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้นได้อย่างไร จะทำให้ชีวิตของคนยากไร้มีโอกาสมีความสุขมากขึ้นได้อย่างไร ไม่ได้เหมือนรุ่นผู้ใหญ่บางคนที่มองว่าการช่วยเหลือใครสักคนต้องอนุโมทนาบุญ”

สุดท้ายนี้ ออฟคิดว่าอย่างน้อยๆ คาเฟ่ของเขา ก็อาจมีส่วนช่วยเปลี่ยนมุมมองของ ‘การให้’ ให้เป็นเรื่องใกล้ตัวในชีวิตประจำวันได้ไม่มากก็น้อย

ซึ่งสำหรับเขาแล้ว “การให้ มันเป็นเรื่องเบสิกมากเลย แค่เดินเข้ามากินกาแฟที่นี่คุณก็จะได้รู้จักให้แล้ว ในแง่ของธรรมะที่ดูเป็นเรื่องเฉพาะทาง และดูเป็นกรอบ ผมอยากให้คนถอยหลังออกมา แล้วเปลี่ยนธรรมะเป็นคำว่าข้อคิดแทน ผมว่าถ้าเรานำบางมุมมองของธรรมะมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันดู มันเกิดประโยชน์ได้เยอะเลย ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม หรือไม่นับถือศาสนาก็ตาม”

Writer | พัชญ์สิตา ไพบูลย์ศิริ
Photographer | ณัฐวุฒิ เตจา

เราจะทำใจอย่างไรเมื่อน้องหมาน้องแมวกลับดาว ชวนคุยกับ ‘Pet SOULciety’ เพจที่เห็นคุณค่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์ เพื่อให้ความสูญเสียทิ้งไว้เป็นเพียงความรู้สึกเสียใจ แต่ไม่เสียดาย

เราจะอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างมีความสุขได้อย่างไร ในวันที่ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้วในอดีต หรืออาจเกิดขึ้นในอนาคต เพราะเวลาที่เจ้าของกับสัตว์เลี้ยงจะได้อยู่ด้วยกันในจักรวาลนี้อาจน้อยลงทุกนาที

ปล่อยจอยไปตามจังหวะ ใช้ปัจจุบันขณะในการควบคุมจิตใจ

หลายครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วงเวลาที่เราอยากขมักเขม้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีและทำงานเสร็จสิ้นได้ตามเวลานั้น เหล่านั้นอาจเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่สมองและจิตใจของเราจะหลุดลอยล่องไปตามความคิดใหม่ๆ

จะเบญจเพส หรือ Young Adult แต่เราทุกคนล้วนจำเป็นต้องเติบโต

“โบราณเขาว่าไว้ อายุ 25 จะตกเบญจเพสและฟาดเคราะห์ อาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ให้มีสติและระวังตัว” เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายท่านที่เคยผ่านอายุ 25 ปีมา ย่อมต้องเคยได้ยินอะไรทำนองนี้ผ่านหู ผู้เขียนเองก็ไม่ต่างกัน