
อย่าเป็นคนดี เพียงเพราะมีคนดู เปลี่ยน Performative Kindness สู่ Mindful Kindness ด้วยสติรู้เท่าทัน
เคยสงสัยไหมว่าความใจดีที่แสดงออก ไม่ว่าจะจากตัวเราเองหรือจากผู้คนที่เราพบเห็น มาจากใจที่อยากช่วยเหลือจริงๆ หรือเป็นเพียงการแสดงแลกยอดไลก์
การเลือกวางกระแสสังคม แล้วหันกลับมาให้ความสำคัญกับ ‘ตัวเอง’ เป็นอย่างแรก
นานวันเพื่อนฝูงบางคนยังคงขยันเร้าหรือให้เราเข้าสู่โลกของแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง TikTok เพราะมันเป็นจักรวาลที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์ที่หลากหลาย และรวดเร็วทันกระแส
แต่ ณ เวลานี้บนโทรศัพท์ของเราก็ยังไม่มีแอปพลิเคชันที่ว่า
ส่วนหนึ่งก็เพราะเราอาจจะไม่ได้มีความต้องการที่จะตามกระแสสังคม ตามเทรนด์
หรือต้องรู้เท่าทันในทุกๆ ดราม่าเป็นคน ‘แรกๆ’ เสมอ เพราะการรู้ที่หลังจากแพลตฟอร์มอื่น
หรือจากคำบอกเล่าที่คนรอบตัวแวะเวียนมาเมาท์มอย มันก็ไม่ได้แย่เสมอไป
หรือกระทั่งหากจะพลาดบางข่าว หรือบางดราม่าไปบ้าง เราก็ไม่ได้ติดอะไร
เพราะนั่นอาจทำให้เรารู้สึกไม่ปวดหัวเหมือนตอนที่เคยวิ่งตามทุกข่าวให้ทัน
แบบที่เคยเป็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
การกรองการรับรู้ข่าวสารของตัวเองให้ ‘จำกัด’ ขึ้น ที่หากอยากรู้เรื่องอะไรก็ค่อยไปเสิร์ชหา
แทนการมอนิเตอร์บนโลกอินเทอร์เน็ตตลอดเวลาว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร
เป็นวิธีที่ทำให้เราสามารถกลับมาโฟกัส ‘ตัวเอง’ ได้เพิ่มขึ้น
และถ้าหากคุณ คุณ คุณ และคุณ กำลังปวดหัวกับการต้องขึ้นขบวนเทรนด์ต่างๆ ให้ทันตลอดเวลา จนบางครั้งก็ละเหี่ยใจเสียเหลือเกิน
ลองฝึกหาความสุขจาก ‘JOMO’ หรือ ‘Joy Of Missing Out’ ซึ่งหมายถึงการวางกระแสสังคมแล้วกลับมาอยู่กับตัวเองบ้าง ซึ่งเป็นด้านกลับของ FOMO (Fear Of Missing Out)
ที่หมายถึงความกลัวที่จะตกขบวนข่าวสารจึงต้องรู้เท่าทันกระแสสังคมตลอดเวลา
(แต่ถ้าใครแฮปปีดีกับการทันทุกกระแส ก็ไม่ว่ากัน ไม่ใช่เรื่องผิด
แต่ถ้าใครเหนื่อย อยากพักบ้าง เรียนเชิญอ่านบทความนี้ได้เลยค่ะ)
‘JOMO’ คือ การกลับมามีความสุขกับสิ่งที่จับต้องได้ในปัจจุบัน
พูดง่ายๆ ว่า มันคือความสุขของการอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ต้องคลุกคลีกับสื่อโซเชียลตลอดเวลา ที่บางครั้งเลื่อนผ่านโดยไม่ตั้งใจก็มีเรื่องราวท็อกซิกมาทำให้เราปวดหัวได้ง่ายๆ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตัดขาดจากโซเชียลไปเลยนะ เพราะบางคนก็ยังต้องทำงานที่ต้องใช้สื่อออนไลน์อยู่ เพียงแต่เราก็แค่ ‘เลือก’ ว่าเราอยากเสพอะไร และไม่อยากเสพอะไร โดยไม่ต้องกดดันว่าต้องรู้ไปเสียทุกเรื่องก็เท่านั้นเอง
“ความหมายของ JOMO คือการโอบรับไอเดียการค้นหาความสุขและความพึงพอใจ โดยการเลือกไม่เข้าร่วมหรือพลาดกิจกรรมต่างๆ ไปบ้าง
และหันจัดลำดับความสำคัญในเรื่อง Self-care ของตัวเอง
สิ่งนี้เป็นประโยชน์มาก เพราะเมื่อเราโฟกัสกับสิ่งที่เราอยากมีส่วนร่วมได้เองอย่างมีสติ มันจะไม่ได้ให้ความรู้สึกกดดันที่จะต้องเข้าร่วม”
นักจิตวิทยาซูซาน อัลเบอร์ (Susan Albers) กล่าว
คริสเต็น ฟูลเลอร์ (Kristen Fuller) แพทย์และนักเขียนด้านสุขภาพจิตได้เขียนอธิบายเกี่ยวกับ JOMO และ FOMO ลงบนเว็บไซต์ Psychology Today ได้อย่างน่าสนใจว่าแรงผลักประการหนึ่งของ FOMO คือ ‘แรงกดดันทางสังคม’ อนึ่งเมื่อเราอยู่ในหน้าที่การทำงานที่จำเป็นต้องเข้าร่วมกิจกรรมบางอย่าง หรือกระทั่งเราถูกกดดันให้ต้องรู้เรื่องข่าวสารจากครอบครัว หรือเพื่อน มันก็สามารถสร้างความกลัวที่จะพลาดอะไรไป ถ้าเราไม่ตามให้ทันเหตุการณ์ ซึ่งหากอิงจากการสำรวจโดย LinkedIn พบว่า 70% ของคนทำงาน ยอมรับว่า แม้จะลาพักร้อนแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตัดขาด ‘งาน’ ออกไปได้จริงๆ รวมถึงยังเช็กข้อความ อีเมล หรือโซเชียลมีเดียต่างๆ อยู่ ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ความสุขในการไปเที่ยวถูกช็อตฟีล
ดังนั้นเราอาจจะต้องฝึกการให้เวลากับตัวเองกันบ้าง ไม่ว่าจะการจัดตารางชัดเจนสำหรับทำงาน และเวลาส่วนตัว และฝึกพูดว่า ‘ไม่’ เพื่อปกป้องตัวเอง และไม่ทำให้ตัวเองต้องรู้สึกเหนื่อยในบางโอกาส เพราะการเลือกดูแลตัวเอง และให้ความสำคัญกับใจเราก่อนนั้น มันไม่ผิดเลย ซึ่งการที่เราจะใช้ชีวิตแบบ JOMO บ้าง มันก็เป็นทางเลือกที่จะทำให้เราไม่เสียเวลาไปกับคนอื่น แล้วหันมามีเวลาให้กับตัวเอง และคนรอบข้างที่อยากใช้เวลาด้วยมากขึ้น
แม้จะฟังแล้วดูจะไม่มีข้อเสียอะไร แต่จริงๆ ก็ยังมีข้อกังวลอยู่เล็กน้อยเหมือนกัน
ตามการศึกษาของ คริสโตเฟอร์ บาร์รี (Christopher Barry) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงตัน
เขาพบว่าผู้ที่เลือกจะเป็น JOMO และเลือกไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม บางคนก็ยังจะติดตามสิ่งที่คนอื่นทำอยู่ดี แทนที่จะใช้เวลากับตัวเองจริงๆ ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า แม้จะเลือกไม่ไป ไม่ยุ่ง หรือแสร้งไม่สนใจ แต่ลึกๆ แล้วก็ยังอยากจะรู้อีกอยู่ดี
เพราะฉะนั้นคงต้องถามตัวเองว่าเรามีความสุขแบบไหนมากกว่ากัน
แฮปปีกับการปลีกตัวออกจากกระแสสังคม หรือชอบที่จะอยู่ในกระแสสังคมมากกว่า
คุณเลือกได้ และไม่มีทางไหนผิดเลย
“บางคนก็สนุกกับการได้พลาดอะไรบางอย่างไป ไม่ใช่เพราะอยากจะสันโดษอะไร หรืออยากจะอยู่อย่างสงบๆ แบบเซน (Zen) แต่อาจจะอยากหลีกเลี่ยงปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมากกว่า”
บาร์รีกล่าว เราจึงต้องมาพิจารณากันว่าผู้คนอยากจะพลาดบางสิ่งบางอย่างไป
ด้วยเหตุผลอะไร?
“หากเป็นเพราะพวกเขาอยากจะรีชาร์จ นั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว
แต่หากพวกเขาแค่กำลังจะหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่าง
นั่นอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว”
เพราะนั่นอาจจะไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด
แง่หนึ่งสิ่งนี้คือการได้กลับมาให้ความจริงใจกับตัวเอง และรับรู้ความต้องการที่แท้จริงของเราเอง JOMO จึงอาจเปรียบเสมือนช่วงเวลาพักใจ ที่ทำให้เราสามารถจัดการเวลาตัวเองได้ดีขึ้น จากที่ต้องงุ่นอยู่กับการตามคนอื่นให้ทัน ต้องไปทุกนัดที่เพื่อนชวน ต้องซื้อของตามเทรนด์เพราะกลัวตกยุค เพราะตามข่าวสารให้ไว เพราะกลัวเอาไปเมาท์กับเพื่อนไม่ได้ ฯลฯ เมื่อเรามีเวลาให้ ‘ไม่ต้องคิด’ มากขนาดนั้น ใจเราก็สบายขึ้นได้อย่างแน่นอน ซึ่งเราว่ามันก็คือ ‘การบริโภคอย่างมีสติ’ และสอนให้เรารู้จักพูดว่า ‘ไม่’ บ้าง ในสถานการณ์ต่างๆ ที่ใจเราไม่ได้อยากจะทำจริงๆ
เหนื่อยก็พัก ไม่ต้องทันทุกกระแสก็มีความสุขได้ เชื่อเรา 🙂
ส่วนวันไหนหายเหนื่อย และอยากกลับไปติดตามข่าวสารอีกรอบ ก็แค่กลับไป
เอาความสบายใจเป็นที่ตั้งได้เลยค่ะ
เรื่อง | พัชญ์สิตา ไพบูลย์ศิริ
ภาพ | Arunnoon
เคยสงสัยไหมว่าความใจดีที่แสดงออก ไม่ว่าจะจากตัวเราเองหรือจากผู้คนที่เราพบเห็น มาจากใจที่อยากช่วยเหลือจริงๆ หรือเป็นเพียงการแสดงแลกยอดไลก์
‘ฟ้าไม่เคยมืดเกินมองเห็นดวงดาว’ หรือ ‘โตขึ้นมาเป็นความสุข’ ชื่อหนังสือจากปลายปากกาของ ศร-ศวัส มลสุวรรณ นักเขียนและเจ้าของเพจ ‘คิดมาก’ ที่หลายคนรู้จัก
หากกล่าวคำว่า ‘Mindfulness’ คุณมักคิดถึงอะไร? สติสตางค์ การนั่งสมาธิ ความธรรมะธัมโม และอื่นๆ อีกมากมาย